S&P 500 คืออะไร? ทำความเข้าใจดัชนีสำคัญของตลาดหุ้นสหรัฐฯ
S&P 500 หรือ Standard & Poor’s 500 ถือเป็นดัชนีตลาดหุ้นที่โดดเด่นที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และเป็นเครื่องมือวัดสุขภาพเศรษฐกิจอเมริกาที่ทุกคนในวงการยอมรับกันดี มันไม่ใช่แค่ตัวเลขธรรมดา แต่เป็นภาพรวมของบริษัทชั้นนำ 500 รายจากหลากหลายสาขาอุตสาหกรรมในสหรัฐฯ ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อทั้งตลาดหุ้นอเมริกันและเศรษฐกิจระดับโลก สำหรับนักลงทุนชาวไทยที่กำลังมองหาโอกาสขยายพอร์ตลงทุนระยะยาวไปยังต่างแดน การรู้จัก S&P 500 อย่างถ่องแท้จึงเป็นเรื่องที่ห้ามมองข้ามเด็ดขาด เพราะมันช่วยให้คุณมองเห็นภาพใหญ่ของการเติบโตทางเศรษฐกิจและโอกาสที่แท้จริง

กำเนิดและวัตถุประสงค์ของ S&P 500
ดัชนี S&P 500 เกิดขึ้นจากบริษัท Standard & Poor’s ซึ่งปัจจุบันรวมตัวกับ S&P Dow Jones Indices ในปี 1957 โดยจุดประสงค์หลักคือการวัดผลงานของบริษัทขนาดใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ และแสดงภาพรวมของเศรษฐกิจอเมริกันโดยรวม ดัชนีนี้ถูกออกแบบมาเพื่อครอบคลุมหุ้นขนาดใหญ่หรือ Large-Cap Stocks ที่มีอิทธิพลต่อภาคส่วนต่างๆ อย่างแท้จริง ทำให้กลายเป็นเครื่องมือหลักที่นักลงทุน ผู้จัดการกองทุน และนักวิเคราะห์ทั่วโลกพึ่งพาในการประเมินสถานการณ์ตลาดและแนวโน้มเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในช่วงที่โลกเชื่อมโยงกันมากขึ้น มันช่วยให้ทุกคนเข้าใจการเปลี่ยนแปลงที่อาจกระทบต่อพอร์ตลงทุนส่วนตัวได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

S&P 500 ประกอบด้วยอะไรบ้าง? หลักการคัดเลือก 500 บริษัท
S&P 500 รวมหุ้นจากบริษัทมหาชนขนาดใหญ่สุด 500 แห่งที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ เช่น NYSE หรือ Nasdaq แต่ไม่ใช่การสุ่มเลือกแบบง่ายๆ หุ้นเหล่านี้ต้องผ่านการคัดกรองอย่างละเอียดตามเกณฑ์ที่ S&P Dow Jones Indices กำหนดไว้ เกณฑ์หลักๆ ที่ใช้มีดังนี้
- ขนาดมูลค่าตลาด (Market Capitalization): บริษัทต้องมีมูลค่าตลาดใหญ่พอตามมาตรฐาน ซึ่งปรับตามสภาพตลาดเสมอ
- สภาพคล่อง (Liquidity): หุ้นต้องซื้อขายได้บ่อยและปริมาณมาก เพื่อให้การลงทุนสะดวก
- ความเป็นตัวแทนของอุตสาหกรรม (Sector Representation): พยายามกระจายไปยังภาคส่วนต่างๆ เพื่อให้ดัชนีสะท้อนเศรษฐกิจได้ครบถ้วน
- ที่ตั้งของบริษัท (Domicile): ส่วนใหญ่ต้องมีฐานปฏิบัติการในสหรัฐฯ
- ความสามารถในการทำกำไร (Profitability): ต้องมีกำไรสุทธิเป็นบวกในช่วงเวลาที่กำหนด
การคำนวณดัชนีใช้วิธีถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักด้วยมูลค่าตลาด หรือ Market-Cap Weighted นั่นหมายความว่าบริษัทยักษ์ใหญ่ที่มีมูลค่าตลาดสูงจะมีน้ำหนักมากกว่าในการขับเคลื่อนดัชนี เช่น บริษัทดังอย่าง Apple, Microsoft, Amazon, Google (Alphabet) และ Nvidia ซึ่งเป็นผู้นำในวงการเทคโนโลยีและสาขาอื่นๆ ที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจโลกอย่างมหาศาล

ทำไม S&P 500 ถึงสำคัญต่อนักลงทุนทั่วโลก?
S&P 500 ไม่ได้เป็นแค่ดัชนีตัวหนึ่ง แต่เป็นแกนกลางที่นักลงทุนทั่วโลกใช้ตัดสินใจและวิเคราะห์ตลาด การเข้าใจบทบาทของมันจะช่วยให้นักลงทุนไทยจัดการพอร์ตได้ดีขึ้น โดยเฉพาะในการค้นหาโอกาสและลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น
S&P 500 ในฐานะดัชนีชี้วัดเศรษฐกิจ
S&P 500 เปรียบเสมือนบารอมิเตอร์ที่บอกสภาพอากาศของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และตลาดหุ้นทั่วโลก เพราะประกอบด้วยบริษัทขนาดใหญ่ที่สร้างรายได้จากหลายประเทศ การเคลื่อนไหวของมันจึงแสดงถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุน สุขภาพธุรกิจ และแนวโน้มเศรษฐกิจโดยรวม ถ้าดัชนีขึ้น มักหมายถึงเศรษฐกิจแข็งแกร่งและอนาคตสดใส แต่ถ้าลง อาจเป็นสัญญาณเตือนถึงปัญหาที่กำลังมา นักวิเคราะห์และนักลงทุนจึงติดตามมันอย่างใกล้ชิด เพื่อนำข้อมูลไปประกอบการตัดสินใจที่ถูกต้อง
การกระจายความเสี่ยงและผลตอบแทนในระยะยาว
การลงทุนผ่านกองทุนรวมหรือ ETF ที่ติดตาม S&P 500 ถือเป็นวิธีกระจายความเสี่ยงที่ชาญฉลาด เพราะคุณได้ถือครองหุ้น 500 บริษัทจากอุตสาหกรรมหลากหลายในคราวเดียว ซึ่งช่วยลดความผันผวนจากหุ้นตัวเดียว ในระยะยาว ดัชนีนี้มีผลตอบแทนเฉลี่ยที่มั่นคงและน่าประทับใจ แม้จะมีขึ้นลงในระยะสั้น แต่ประวัติศาสตร์พิสูจน์แล้วว่ามันเป็นสินทรัพย์ที่ช่วยสร้างความมั่งคั่งได้ดีสำหรับผู้ที่มุ่งเน้นการเติบโต ข้อมูลจาก S&P Dow Jones Indices ยืนยันการเติบโตที่ต่อเนื่องมาหลายทศวรรษ ทำให้เหมาะสำหรับนักลงทุนที่วางแผนยาวๆ โดยเฉพาะในยุคที่เศรษฐกิจโลกผันผวน
S&P 500 กับ Nasdaq 100 ต่างกันอย่างไร? เลือกอันไหนดี?
ในการลงทุนตลาดหุ้นสหรัฐฯ ดัชนีที่มักถูกนำมาเปรียบเทียบกับ S&P 500 คือ Nasdaq 100 การรู้ความแตกต่างจะช่วยให้คุณเลือกตัวเลือกที่ตรงกับเป้าหมายและระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
เปรียบเทียบโครงสร้างและลักษณะเฉพาะ
| คุณสมบัติ | S&P 500 | Nasdaq 100 |
|---|---|---|
| จำนวนบริษัท | 500 บริษัท | 100 บริษัท (ไม่รวมภาคการเงิน) |
| ประเภทบริษัท | บริษัทขนาดใหญ่จากหลากหลายอุตสาหกรรม (เช่น เทคโนโลยี, การเงิน, สุขภาพ, พลังงาน, สินค้าอุปโภคบริโภค) | เน้นบริษัทในกลุ่มเทคโนโลยีและนวัตกรรมเป็นหลัก (เช่น ซอฟต์แวร์, ฮาร์ดแวร์, อินเทอร์เน็ต, ไบโอเทคโนโลยี) |
| ตลาดหลักทรัพย์หลัก | จดทะเบียนใน NYSE หรือ Nasdaq | จดทะเบียนใน Nasdaq |
| การถ่วงน้ำหนัก | ถ่วงน้ำหนักตามมูลค่าตลาด (Market-Cap Weighted) | ถ่วงน้ำหนักตามมูลค่าตลาด (Market-Cap Weighted) |
S&P 500 เป็นดัชนีที่ครอบคลุมกว้างและแทนภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยรวม ด้วยบริษัทชั้นนำ 500 รายจาก 11 กลุ่มอุตสาหกรรมหลัก จึงกระจายความเสี่ยงได้ดีและสะท้อนภาพรวมเศรษฐกิจได้สมบูรณ์ เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการความมั่นคงและผลตอบแทนที่สอดคล้องกับการขยายตัวของเศรษฐกิจ
Nasdaq 100 มุ่งเน้นบริษัทเทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยไม่รวมภาคการเงิน มีบริษัทชั้นนำ 100 รายที่จดทะเบียนใน Nasdaq ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหุ้นเติบโตที่เต็มเปี่ยมศักยภาพ เช่น Apple, Microsoft, Amazon, Google, Tesla, Meta Platforms
ความผันผวนและโอกาสในการลงทุน
เนื่องจาก Nasdaq 100 มีสัดส่วนหุ้นเทคโนโลยีสูง มันจึงผันผวนมากกว่า S&P 500 หุ้นเหล่านี้ตอบสนองต่อข่าวสารและเศรษฐกิจได้ไว ทำให้มีโอกาสผลตอบแทนสูงในช่วงตลาดดี แต่ก็เสี่ยงตกหนักในช่วงขาลง
- เลือก S&P 500 หาก: คุณอยากกระจายความเสี่ยงกว้างๆ ต้องการความมั่นคง และผลตอบแทนที่ตามเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยรวม เหมาะกับผู้รับความเสี่ยงปานกลางถึงต่ำและลงทุนยาว
- เลือก Nasdaq 100 หาก: คุณมั่นใจในพลังหุ้นเทคโนโลยี รับความผันผวนได้ และหวังผลตอบแทนเหนือกว่าในช่วงเทคโนโลยีบูม เหมาะกับผู้รับความเสี่ยงสูง
วิธีลงทุนใน S&P 500 สำหรับนักลงทุนไทย
นักลงทุนไทยที่อยากเข้าถึง S&P 500 มีทางเลือกหลากหลาย โดยส่วนใหญ่ผ่านกองทุนรวมและ ETF ที่ติดตามดัชนีนี้ ซึ่งทำให้การลงทุนสะดวกและเข้าถึงได้ง่าย
ทำความรู้จักกองทุนรวมและ ETF ที่อ้างอิง S&P 500
การซื้อหุ้นทั้ง 500 ตัวโดยตรงนั้นยากและต้องใช้ทุนมาก แต่กองทุนเหล่านี้ช่วยให้คุณลงทุนในดัชนีได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- กองทุนรวม (Mutual Fund): รวบรวมเงินจากนักลงทุนหลายรายไปลงทุนตามนโยบาย โดยมีผู้จัดการมือโปรดูแล กองทุนที่อ้างอิง S&P 500 จะเลียนแบบผลตอบแทนของดัชนีให้ใกล้เคียงที่สุด
- ETF (Exchange Traded Fund): กองทุนที่ซื้อขายเหมือนหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ มีนโยบายติดตามดัชนีอย่าง S&P 500 ข้อดีคือยืดหยุ่น สามารถเทรดทั้งวัน และค่าธรรมเนียมต่ำกว่ากองทุนรวมทั่วไป
ช่องทางการซื้อ S&P 500 ในประเทศไทย (ผ่านธนาคารและโบรกเกอร์)
ในไทย คุณสามารถลงทุน S&P 500 ได้โดยไม่ต้องเปิดบัญชีต่างประเทศเอง ผ่านธนาคารและโบรกเกอร์ที่นำเสนอผลิตภัณฑ์เหล่านี้
- ธนาคารพาณิชย์: ธนาคารใหญ่ๆ มีบลจ.ในเครือที่ออกกองทุนลงทุน S&P 500 หรือ ETF
- Kasikornbank (KBank): ผ่าน KAsset (บลจ. กสิกรไทย) เช่น K-US500X ที่ลงทุนในกองทุนต่างประเทศอ้างอิง S&P 500
- SCB (ธนาคารไทยพาณิชย์): ผ่าน SCBAM (บลจ. ไทยพาณิชย์) เช่น SCBS&P500E ที่ลงทุนตรงใน ETF อ้างอิง S&P 500 ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บ SCBAM
- บริษัทหลักทรัพย์ (โบรกเกอร์) และแพลตฟอร์มการลงทุน:
- Yuanta Securities (Thailand): บริการซื้อขายกองทุนรวมและ ETF ในและต่างประเทศ อาจมีตัวเลือก S&P 500
- InnovestX: แพลตฟอร์มจาก SCB ที่รวมกองทุนและหุ้นต่างประเทศ
- Finnomena: แพลตฟอร์มแนะนำและซื้อขายกองทุนจากหลายบลจ. รวมกองทุน S&P 500
| ช่องทาง/แพลตฟอร์ม | ผลิตภัณฑ์หลัก | หมายเหตุ |
|---|---|---|
| KAsset (บลจ. กสิกรไทย) | กองทุน K-US500X | ลงทุนในกองทุนต่างประเทศที่อ้างอิง S&P 500 |
| SCBAM (บลจ. ไทยพาณิชย์) | กองทุน SCBS&P500E | ลงทุนใน ETF ต่างประเทศที่อ้างอิง S&P 500 |
| Yuanta Securities | กองทุนรวมและ ETF ต่างประเทศ | อาจมีตัวเลือกกองทุนที่อ้างอิง S&P 500 |
| InnovestX | กองทุนรวม, หุ้นต่างประเทศ (DR) | มีตัวเลือกที่ลงทุนใน S&P 500 เช่น DR ที่อ้างอิง ETF ต่างประเทศ |
| Finnomena | กองทุนรวมจากหลากหลาย บลจ. | รวบรวมกองทุน S&P 500 จาก บลจ. ต่างๆ |
ขั้นตอนการเปิดบัญชีและเริ่มลงทุน
โดยทั่วไป การเริ่มต้นลงทุน S&P 500 ผ่านกองทุนรวมหรือ ETF ในไทยมีขั้นตอนง่ายๆ ดังนี้
- เปิดบัญชีกองทุนรวม/บัญชีซื้อขายหลักทรัพย์: ติดต่อธนาคารหรือโบรกเกอร์ที่สนใจ บางแห่งทำออนไลน์ผ่านแอปได้
- ศึกษาข้อมูลกองทุน/ETF: ดูนโยบาย ค่าธรรมเนียม และผลตอบแทนย้อนหลัง
- โอนเงินลงทุน: ฝากเงินเข้าบัญชีลงทุน
- ส่งคำสั่งซื้อ: เลือกกองทุนหรือ ETF และระบุจำนวนเงินหรือหน่วย
- ติดตามผลการลงทุน: เช็คผลงานอย่างสม่ำเสมอเพื่อปรับกลยุทธ์
ข้อควรรู้และปัจจัยเสี่ยงของการลงทุน S&P 500
ถึงแม้ S&P 500 จะน่าสนใจ แต่ทุกการลงทุนมีความเสี่ยง นักลงทุนไทยควรศึกษาล่วงหน้าเพื่อเตรียมพร้อม
ความเสี่ยงด้านตลาดและเศรษฐกิจ
- ความผันผวนของตลาด: ระยะสั้นอาจขึ้นลงตามเศรษฐกิจโลก การเมือง หรือผลประกอบการบริษัท
- ภาวะเศรษฐกิจถดถอย: ถ้าเศรษฐกิจสหรัฐฯ หรือโลกชะลอ บริษัทในดัชนีอาจกำไรลด ส่งผลให้ราคาตก
- ความเสี่ยงเฉพาะอุตสาหกรรม: แม้กระจายดี แต่ถ้าภาคใดภาคหนึ่งเด่นและกระทบหนัก ก็ลามถึงดัชนีทั้งหมด
ความเสี่ยงด้านค่าเงินและภาษีสำหรับนักลงทุนไทย
สำหรับนักลงทุนไทย S&P 500 ที่อยู่ในสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ มีความเสี่ยงพิเศษที่ต้องระวัง
- ความเสี่ยงด้านค่าเงิน (Exchange Rate Risk): ถ้าบาทแข็งขึ้น vs ดอลลาร์ ผลตอบแทนที่แปลงเป็นบาทอาจลด แม้ทุนในดอลลาร์โต แต่ถ้าบาทอ่อน จะได้กำไรเพิ่ม
- ภาษี: กำไรจากทุนต่างประเทศที่นำกลับไทยอาจเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา รวมทุนกำไรและปันผล กฎอาจซับซ้อนและเปลี่ยน ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหรือเช็คกรมสรรพากร เพื่อความชัดเจน
สรุป: S&P 500 ทางเลือกการลงทุนระยะยาวที่น่าสนใจ
S&P 500 เป็นดัชนีหลักที่ขับเคลื่อนตลาดหุ้นสหรัฐฯ และเศรษฐกิจโลก การลงทุนผ่านกองทุนรวมหรือ ETF ที่อ้างอิงมันคือทางเข้าที่ดีสู่บริษัทชั้นนำและการกระจายความเสี่ยง ด้วยผลตอบแทนยาวนานที่แข็งแกร่ง จึงเป็นตัวเลือกยอดเยี่ยมสำหรับนักลงทุนไทยที่อยากสร้างความมั่งคั่ง แต่จำไว้ว่าความเสี่ยงมีเสมอ ควรศึกษาลึก ทำความเข้าใจตลาด ค่าเงิน ภาษี และประเมินตัวเองให้ดีก่อนเริ่ม
คำถามที่พบบ่อย (FAQs) เกี่ยวกับ S&P 500
S&P 500 คืออะไร และทำไมถึงเป็นดัชนีสำคัญที่นักลงทุนไทยควรสนใจ?
S&P 500 คือดัชนีตลาดหุ้นที่รวบรวมบริษัทขนาดใหญ่ที่สุด 500 แห่งในสหรัฐอเมริกา โดยใช้มูลค่าตลาดถ่วงน้ำหนัก เป็นตัวชี้วัดสุขภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ และตลาดหุ้นโลกที่สำคัญ นักลงทุนไทยควรสนใจเพราะเป็นการลงทุนที่กระจายความเสี่ยงได้ดีในบริษัทชั้นนำระดับโลก และมีประวัติผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว
S&P 500 ประกอบด้วยบริษัทอะไรบ้าง และมีวิธีการคัดเลือกอย่างไร?
S&P 500 ประกอบด้วยบริษัทมหาชนขนาดใหญ่ 500 แห่งที่จดทะเบียนในสหรัฐฯ เช่น Apple, Microsoft, Amazon, Google เป็นต้น การคัดเลือกพิจารณาจากมูลค่าตลาด, สภาพคล่อง, ความเป็นตัวแทนของอุตสาหกรรม, ที่ตั้งของบริษัท และความสามารถในการทำกำไร เพื่อให้ดัชนีสะท้อนภาพรวมเศรษฐกิจได้ครบถ้วน
นักลงทุนไทยสามารถซื้อ S&P 500 ได้จากช่องทางไหนบ้างในประเทศไทย?
นักลงทุนไทยสามารถลงทุนใน S&P 500 ได้ผ่าน:
- กองทุนรวม: ที่ออกโดยบริษัทจัดการกองทุนในเครือธนาคาร เช่น KAsset (K-US500X) หรือ SCBAM (SCBS&P500E)
- ETF: ที่อ้างอิง S&P 500 ซึ่งอาจซื้อขายผ่านโบรกเกอร์หรือแพลตฟอร์มอย่าง InnovestX หรือ Finnomena
- DR (Depositary Receipt): ที่อ้างอิง ETF S&P 500 ซื้อขายในตลาดหุ้นไทย
การลงทุนใน S&P 500 มีผลตอบแทนเฉลี่ยในอดีตเป็นอย่างไร และควรคาดหวังเท่าไร?
ในอดีต S&P 500 มีผลตอบแทนเฉลี่ยประมาณ 10% ต่อปีในระยะยาว (ข้อมูลย้อนหลังหลายสิบปี) อย่างไรก็ตาม ผลตอบแทนในอดีตไม่ได้รับประกันผลตอบแทนในอนาคต นักลงทุนควรคาดหวังผลตอบแทนที่สมเหตุสมผลและสอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจโลกในขณะนั้น และเน้นการลงทุนระยะยาวเพื่อลดความผันผวน
S&P 500 กับ Nasdaq ต่างกันอย่างไร ควรเลือกลงทุนในดัชนีไหนดีกว่ากัน?
- S&P 500: ประกอบด้วย 500 บริษัทขนาดใหญ่จากหลากหลายอุตสาหกรรม เป็นตัวแทนเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยรวม กระจายความเสี่ยงดี ความผันผวนปานกลาง
- Nasdaq 100: ประกอบด้วย 100 บริษัทเทคโนโลยีและนวัตกรรมเป็นหลัก (ไม่รวมภาคการเงิน) มีสัดส่วนหุ้นเติบโตสูง ความผันผวนสูงกว่า มีโอกาสได้ผลตอบแทนสูงแต่ก็มีความเสี่ยงสูงเช่นกัน
การเลือกขึ้นอยู่กับ
ถ้าอยากซื้อกองทุน S&P 500 ของ KBank (กสิกร) ต้องทำอย่างไรบ้าง?
คุณสามารถซื้อกองทุน S&P 500 ของ KBank (เช่น K-US500X) ได้ผ่านแอปพลิเคชัน K-My Funds หรือ K PLUS ของธนาคารกสิกรไทย หรือติดต่อสาขาธนาคารกสิกรไทย เพื่อเปิดบัญชีกองทุนรวมและทำรายการซื้อขายได้เลย
การลงทุนใน S&P 500 มีความเสี่ยงอะไรบ้าง และนักลงทุนไทยต้องพิจารณาเรื่องค่าเงินและภาษีด้วยหรือไม่?
ความเสี่ยงหลักได้แก่:
- ความเสี่ยงด้านตลาด: มูลค่าการลงทุนผันผวนตามภาวะตลาดและเศรษฐกิจ
- ความเสี่ยงด้านค่าเงิน: ค่าเงินบาทแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ อาจทำให้ผลตอบแทนในรูปเงินบาทลดลง
- ความเสี่ยงด้านภาษี: กำไรจากการลงทุนในต่างประเทศที่นำกลับเข้ามาในประเทศไทย อาจมีภาระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านภาษี
S&P 500 เหมาะสำหรับนักลงทุนประเภทไหน และควรลงทุนระยะสั้นหรือยาว?
S&P 500 เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการ
ถ้าไม่มีบัญชีหุ้นต่างประเทศ สามารถลงทุนใน S&P 500 ได้หรือไม่?
ได้ คุณสามารถลงทุนใน S&P 500 ได้ผ่านกองทุนรวม หรือ ETF ที่จดทะเบียนในประเทศไทย ซึ่งลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศที่อ้างอิง S&P 500 โดยที่คุณไม่จำเป็นต้องเปิดบัญชีหุ้นต่างประเทศโดยตรง
การลงทุนใน S&P 500 มีค่าธรรมเนียมหรือค่าใช้จ่ายอะไรบ้างที่ต้องรู้?
ค่าใช้จ่ายหลักๆ ได้แก่:
- ค่าธรรมเนียมการซื้อ/ขาย (Front-End/Back-End Fee): บางกองทุนอาจมี
- ค่าธรรมเนียมการจัดการ (Management Fee): เป็นค่าใช้จ่ายรายปีที่หักจากมูลค่ากองทุน
- ค่าธรรมเนียมผู้ดูแลผลประโยชน์ (Trustee Fee)
- ค่าธรรมเนียมอื่นๆ: เช่น ค่าธรรมเนียมการสับเปลี่ยนกองทุน หรือค่าธรรมเนียมการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ (หากมี)
ควรศึกษาข้อมูลจากหนังสือชี้ชวนของแต่ละกองทุนอย่างละเอียด