ในยุคที่เศรษฐกิจโลกเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน คำว่าเงินเฟ้อมักถูกหยิบยกมาพูดถึงอยู่เสมอ แต่ยังมีอีกหนึ่งสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่ไม่ควรมองข้าม นั่นคือภาวะเงินฝืด ซึ่งหมายถึงการที่ราคาสินค้าและบริการโดยรวมปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้จะดูเหมือนเป็นข่าวดีสำหรับผู้ใช้จ่ายทั่วไป แต่ในความเป็นจริง เงินฝืดกลับซ่อนความเสี่ยงและผลกระทบเชิงลบไว้มากมาย ซึ่งจะส่งผลต่อภาพรวมเศรษฐกิจไทยและวิถีชีวิตประจำวันของประชาชนทุกคน

บทความนี้จะพาคุณสำรวจลึกเข้าไปในปรากฏการณ์เงินฝืด ตั้งแต่ความหมายพื้นฐาน สาเหตุที่ทำให้เกิดขึ้น ข้อดีที่บางครั้งถูกละเลย ข้อเสียที่เป็นภัยร้าย รวมถึงมาตรการรับมือจากธนาคารแห่งประเทศไทยและภาครัฐ พร้อมทั้งเคล็ดลับปฏิบัติจริงสำหรับประชาชนและผู้ประกอบการไทย เพื่อช่วยให้ทุกคนเตรียมตัวรับมือกับความท้าทายทางเศรษฐกิจในช่วงเวลานี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เงินฝืดคืออะไร? สำรวจภาวะเศรษฐกิจที่ราคาสินค้าลดลงไม่หยุดยั้ง
ความหมายของภาวะเงินฝืด
เงินฝืด หรือ Deflation หมายถึงสถานการณ์ที่ราคาสินค้าและบริการในระบบเศรษฐกิจโดยรวมปรับตัวลงอย่างต่อเนื่องในช่วงเวลาที่ค่อนข้างยาวนาน ส่งผลให้มูลค่าของเงินในมือเพิ่มพูนขึ้น หรือพูดง่ายๆ คือ เงินจำนวนหนึ่งสามารถแลกซื้อของได้มากกว่าเดิมในระยะสั้น ผู้บริโภคอาจรู้สึกว่ากำลังซื้อดีขึ้น แต่เมื่อมองในภาพรวมระยะยาว มันกลับก่อให้เกิดปัญหาต่อการลงทุนและโอกาสการจ้างงานอย่างมีนัยสำคัญ

เงินฝืดต่างจากเงินเฟ้ออย่างไร
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น เรามาดูการเปรียบเทียบระหว่างเงินฝืดกับเงินเฟ้อผ่านตารางด้านล่างกัน:
| คุณสมบัติ | เงินฝืด (Deflation) | เงินเฟ้อ (Inflation) |
|---|---|---|
| ระดับราคา | ลดลงอย่างต่อเนื่อง | เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง |
| กำลังซื้อของเงิน | เพิ่มขึ้น (เงินมีมูลค่ามากขึ้น) | ลดลง (เงินมีมูลค่าน้อยลง) |
| ผลกระทบต่อหนี้สิน | ภาระหนี้สินที่แท้จริงเพิ่มขึ้น | ภาระหนี้สินที่แท้จริงลดลง |
| ผลกระทบต่อการลงทุน | ชะลอตัวลง | อาจกระตุ้นหรือชะลอตัวขึ้นอยู่กับระดับ |
| นโยบายรับมือ | กระตุ้นเศรษฐกิจ, ลดดอกเบี้ย | ชะลอเศรษฐกิจ, ขึ้นดอกเบี้ย |
สาเหตุสำคัญที่นำไปสู่ภาวะเงินฝืดในเศรษฐกิจ
ภาวะเงินฝืดไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เป็นผลลัพธ์จากการรวมตัวของปัจจัยทางเศรษฐกิจหลายอย่าง ซึ่งสุดท้ายแล้วก็นำไปสู่การปรับราคาสินค้าและบริการให้ต่ำลงโดยรวม ปัจจัยหลักที่มักถูกกล่าวถึง ได้แก่
อุปทานล้นตลาดเกินกว่าความต้องการ (Supply Exceeds Demand)
เมื่อสินค้าและบริการที่ผลิตออกมามีปริมาณมากกว่าที่ผู้บริโภคต้องการ ผู้ประกอบการมักไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องลดราคาเพื่อเคลียร์สต็อกสินค้าหรือดึงดูดลูกค้าให้มากขึ้น การแข่งขันแบบนี้ค่อยๆ กดดันให้ราคาโดยรวมในตลาดต่ำลงไปเรื่อยๆ ซึ่งอาจเริ่มจากภาคอุตสาหกรรมเฉพาะเจาะจงก่อนขยายตัว
ปริมาณเงินในระบบลดลง (Decrease in Money Supply)
ถ้าหากธนาคารกลางอย่างธนาคารแห่งประเทศไทยเลือกใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวด เช่น การเพิ่มอัตราดอกเบี้ยหรือจำกัดการปล่อยกู้จากธนาคารพาณิชย์ สภาพคล่องในระบบก็จะลดตัวลง ผู้คนและธุรกิจจะมีเงินสดในมือน้อยลง ส่งผลให้การใช้จ่ายโดยรวมชะลอตัว ความต้องการสินค้าลดลงตามไปด้วย และผู้ขายต้องปรับราคาลงเพื่อรักษายอดขาย
ความก้าวหน้าของเทคโนโลยี (Technological Advancement)
การพัฒนาเทคโนโลยีช่วยยกระดับประสิทธิภาพในการผลิต ลดค่าใช้จ่ายในกระบวนการต่างๆ ลงอย่างเห็นได้ชัด เมื่อต้นทุนถูกลง ผู้ประกอบการก็สามารถนำเสนอสินค้าในราคาที่แข่งขันได้มากขึ้น โดยยังคงกำไรไว้ได้ สิ่งนี้ทำให้ราคาหลายประเภทสินค้าปรับตัวลดลงในระยะยาว โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่เทคโนโลยีเข้ามาเปลี่ยนแปลง เช่น อิเล็กทรอนิกส์หรือการสื่อสาร
เศรษฐกิจโลกที่ชะงักงัน (Global Economic Slowdown)
เนื่องจากไทยพึ่งพาการส่งออกและการท่องเที่ยวเป็นหลัก หากเศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะชะลอตัว ความต้องการสินค้าไทยจากต่างประเทศก็จะลดลงตาม ผู้ผลิตในประเทศอาจต้องลดราคาเพื่อรักษาตำแหน่งในตลาดโลก นอกจากนี้ สินค้าราคาถูกจากคู่แข่งต่างชาติยังกดดันราคาภายในประเทศให้ต่ำลงด้วย ซึ่งอาจทำให้ภาคส่งออกไทยได้รับผลกระทบหนัก โดยเฉพาะในช่วงที่เกิดวิกฤตการค้าหรือปัญหาโซ่อุปทานทั่วโลก
ประโยชน์ของเงินฝืด: มุมมองบวกที่มักถูกมองข้าม
ถึงแม้เงินฝืดจะถูกมองเป็นสัญญาณเตือนภัยทางเศรษฐกิจ แต่ก็มีด้านดีที่ควรพิจารณา โดยเฉพาะในช่วงแรกๆ หรือสำหรับบางกลุ่มผู้ได้รับผลกระทบ
กำลังซื้อของผู้บริโภคที่สูงขึ้น
ข้อดีที่เห็นได้ชัดที่สุดคือ เมื่อราคาสินค้าถูกลง เงินในกระเป๋าของประชาชนก็จะมีพลังซื้อที่มากกว่าเดิม ทำให้ซื้อของได้มากขึ้นด้วยเงินเท่าเดิมเดิม ค่าครองชีพโดยรวมดูเหมือนจะเบาลง และผู้คนอาจมีเงินเหลือเก็บมากกว่า โดยเฉพาะกลุ่มรายได้ปานกลางที่ไม่ต้องกังวลกับราคาที่พุ่งสูง
ต้นทุนธุรกิจที่ถูกลง
ในสถานการณ์นี้ ค่าวัตถุดิบและค่าจ้างอาจปรับตัวลดลงตามราคาโดยรวม ซึ่งเป็นโอกาสสำหรับธุรกิจบางประเภทในการลดค่าใช้จ่าย ทำให้สามารถรักษากำไรหรือแข่งขันด้วยราคาที่ต่ำลงเพื่อขยายส่วนแบ่งตลาด โดยเฉพาะธุรกิจที่ยืดหยุ่นและปรับตัวได้เร็ว
การส่งเสริมประสิทธิภาพและการออม
เงินฝืดกดดันให้ธุรกิจต้องหาวิธีเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตและจัดการ เพื่อตัดต้นทุนและรักษาความสามารถในการแข่งขัน บริษัทที่ปรับตัวไม่ทันอาจถูกคัดออกจากตลาด ส่งผลให้เหลือแต่ผู้เล่นที่มีศักยภาพสูง นอกจากนี้ ผู้บริโภคก็มักเลือกออมเงินมากขึ้น เพราะเชื่อว่าค่าเงินในอนาคตจะมีค่ามากกว่า ซึ่งช่วยเสริมสร้างวินัยทางการเงินในสังคม
ข้อเสียร้ายแรงของเงินฝืด: ภัยคุกคามต่อเศรษฐกิจไทยและการดำเนินชีวิต
แม้จะมีด้านบวกอยู่บ้าง แต่ผลกระทบเชิงลบของเงินฝืดนั้นรุนแรงและครอบคลุมกว้าง โดยเฉพาะในประเทศอย่างไทยที่ขับเคลื่อนด้วยการลงทุนและการบริโภคภายใน
การชะงักของเศรษฐกิจและการลงทุน
เมื่อราคาลดลงไม่หยุด ธุรกิจมักคาดหวังว่าราคาในอนาคตจะต่ำกว่านี้อีก จึงเลื่อนการลงทุนและการผลิตออกไป ถ้าผลิตตอนนี้แต่ขายได้ในราคาต่ำกว่า ก็เท่ากับขาดทุน สิ่งนี้ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยรวมชะลอตัว การเติบโตหยุดนิ่ง และอาจนำไปสู่ภาวะถดถอยที่ยืดเยื้อ
การว่างงานที่พุ่งสูง
ธุรกิจที่ลดการผลิตและลงทุนน้อยลง ย่อมต้องการแรงงานน้อยตามไปด้วย หลายองค์กรต้องหดตัวหรือปลดพนักงานเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย ส่งผลให้อัตราการว่างงานเพิ่มขึ้น รายได้ของแรงงานลดลง และการใช้จ่ายในครัวเรือนก็หดตัวตาม ซึ่งยิ่งทำให้วงจรเศรษฐกิจแย่ลงไปอีก
หนี้สินที่หนักหน่วงยิ่งขึ้น
เนื่องจากมูลค่าเงินเพิ่มขึ้น แต่ยอดหนี้ที่ต้องจ่ายยังคงเดิม ภาระหนี้จริงๆ ของผู้กู้ก็สูงขึ้น เพราะต้องใช้เงินที่ “แพงกว่า” ในการผ่อนชำระ ไม่ว่าจะเป็นหนี้ครัวเรือน หนี้ธุรกิจ หรือหนี้ของรัฐ สถานการณ์นี้อาจจุดชนวนวิกฤตหนี้ หากผู้กู้จำนวนมากไม่สามารถรับมือได้ โดยเฉพาะในไทยที่ระดับหนี้ครัวเรือนค่อนข้างสูงอยู่แล้ว
วงจรอุบาทว์ของเงินฝืด
เงินฝืดมักก่อให้เกิดวงจรอันตรายที่แก้ยาก (Deflationary Spiral) ซึ่งเกิดขึ้นดังนี้:
- ผู้บริโภครอราคาต่ำลงอีก จึงเลื่อนการซื้อ (อุปสงค์ลด)
- ธุรกิจเห็นยอดขายตก จึงลดผลิตและตัดราคาเพื่อกระตุ้น
- ราคาต่ำลงทำให้กำไรหด ธุรกิจอาจลดค่าจ้างหรือเลิกจ้าง
- รายได้น้อยลงทำให้ผู้บริโภคใช้จ่ายน้อยลงยิ่งกว่าเดิม
- วงจรนี้วนซ้ำ ส่งเศรษฐกิจสู่ภาวะตกต่ำรุนแรง
ผลกระทบต่อการส่งออกและท่องเที่ยวของไทย
ไทยพึ่งพาการส่งออกและนักท่องเที่ยวอย่างมาก หากเงินฝืดเกิดขึ้น สินค้าไทยอาจแข่งขันได้ดีขึ้นเพราะราคาถูก แต่ถ้าเงินบาทแข็งค่าพร้อมกัน ข้อได้เปรียบนี้ก็อาจหายไป หากเศรษฐกิจโลกเข้าสู่เงินฝืดด้วย ความต้องการจากต่างชาติก็ลดลง ส่งผลกระทบหนักต่อรายได้ทั้งสองภาค โดย ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ชี้ให้เห็นถึงความเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นสำคัญ
มาตรการและกลยุทธ์รับมือเงินฝืดในสถานการณ์ของไทย
การจัดการกับเงินฝืดต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายฝ่าย โดยเฉพาะธนาคารกลางและรัฐบาล ซึ่งในกรณีของไทย มีแนวทางที่ชัดเจนดังต่อไปนี้
บทบาทหลักของธนาคารแห่งประเทศไทย
ในฐานะผู้กำหนดนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีเครื่องมือสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจ:
- ปรับลดอัตราดอกเบี้ย: เพื่อให้การกู้ยืมถูกขึ้น สนับสนุนให้ธุรกิจลงทุนและประชาชนใช้จ่ายมากกว่าเดิม
- มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (Quantitative Easing – QE): ถ้าลดดอกเบี้ยไม่พอ ธปท. อาจซื้อสินทรัพย์อย่างพันธบัตรเพื่อเพิ่มเงินในระบบและกดดอกเบี้ยระยะยาวให้ต่ำ
- การสื่อสารล่วงหน้า (Forward Guidance): เพื่อสร้างความมั่นใจว่าธปท. จะใช้ทุกวิถีทางป้องกันเงินฝืด
นโยบายการคลังจากรัฐบาล
นอกจากการเงิน รัฐบาลยังใช้เครื่องมือการคลังเพื่อหนุนอุปสงค์:
- เพิ่มงบประมาณภาครัฐ: ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานหรือโครงการช่วยเหลือตรง เพื่อสร้างงานและเพิ่มกำลังซื้อ
- ลดหย่อนภาษี: เพื่อให้ประชาชนและธุรกิจมีเงินเหลือใช้จ่ายและลงทุนมากขึ้น
- ช่วยเหลือผู้ส่งออก: ส่งเสริมการค้าเพื่อขยายตลาดและรายได้จากต่างประเทศ
แนวทางสำหรับธุรกิจไทย
ผู้ประกอบการไทยต้องปรับตัวให้ทันสถานการณ์:
- ตัดต้นทุนและยกระดับประสิทธิภาพ: ใช้เทคโนโลยีประหยัดพลังงานหรือปรับกระบวนการให้ดีขึ้น
- สร้างจุดเด่น: หลีกเลี่ยงการแข่งราคา เน้นมูลค่าเพิ่มหรือสินค้าเฉพาะกลุ่ม
- จัดการหนี้: ตรวจสอบและรีไฟแนนซ์เพื่อลดภาระ
- ขยายฐานลูกค้า: หาโอกาสใหม่ทั้งในและต่างประเทศ
คำแนะนำแก่ประชาชนและนักลงทุน
สำหรับบุคคลทั่วไป การเตรียมตัวล่วงหน้าจะช่วยลดความเสี่ยง:
- ตรวจสอบหนี้: ลดหนี้ที่ไม่จำเป็นหรือรีไฟแนนซ์เพื่อดอกเบี้ยต่ำ
- ลงทุนอย่างรอบคอบ: เลือกสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างพันธบัตรแทนหุ้นที่เสี่ยง ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเสมอ โดย สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (NESDC) มีรายงานที่เป็นประโยชน์
- เก็บเงินสด: เพราะมูลค่าเงินจะเพิ่มขึ้น แต่ต้องระวังความเสี่ยงอื่น
- อัพสกิล: เพื่อรักษางานหรือหาโอกาสใหม่ในตลาดที่แข่งขันสูง
สรุป: เงินฝืดใกล้ตัวมากกว่าที่คิดสำหรับเศรษฐกิจไทย
เงินฝืดเป็นสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่ซับซ้อน มีประโยชน์ระยะสั้นสำหรับผู้บริโภคและบางธุรกิจ แต่ข้อเสียที่รุนแรงอาจดึงเศรษฐกิจสู่ภาวะถดถอย โดยเฉพาะในไทยที่พึ่งพาส่งออกและท่องเที่ยว การเข้าใจสาเหตุ ผลกระทบ และวิธีรับมือจึงจำเป็นสำหรับทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นผู้กำหนดนโยบาย ธุรกิจ หรือประชาชน
การติดตามข่าวสารเศรษฐกิจโลกและการเคลื่อนไหวของธปท. กับรัฐบาลอย่างใกล้ชิด จะช่วยให้เราปรับแผนชีวิตและการลงทุนได้ทันท่วงที ลดความเสี่ยงและคว้าโอกาสในช่วงเศรษฐกิจที่ผันผวน
เงินฝืดในประเทศไทยเคยเกิดขึ้นเมื่อไหร่ และส่งผลกระทบอย่างไรในอดีต?
ประเทศไทยเคยเผชิญกับภาวะเงินฝืดในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจเอเชียปี 2540 (ต้มยำกุ้ง) โดยดัชนีราคาผู้บริโภคติดลบในช่วงปี 2541-2542 ผลกระทบในขณะนั้นคือการชะลอตัวทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง การว่างงานที่เพิ่มขึ้น และภาระหนี้สินของภาคธุรกิจและครัวเรือนที่หนักหนาสาหัส เนื่องจากรายได้ลดลงแต่หนี้สินคงที่ ทำให้หลายธุรกิจล้มละลายและประชาชนจำนวนมากประสบปัญหาทางการเงิน
ธนาคารแห่งประเทศไทยมีนโยบายหรือเครื่องมืออะไรบ้างในการรับมือกับภาวะเงินฝืด?
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อลดต้นทุนการกู้ยืม การใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) เพื่อเพิ่มสภาพคล่องในระบบ และการสื่อสารนโยบายเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนและนักลงทุน
ถ้าประเทศไทยเข้าสู่ภาวะเงินฝืด ประชาชนทั่วไปควรปรับแผนการใช้จ่ายและการลงทุนอย่างไร?
ประชาชนควรพิจารณา:
- ลดหนี้สิน: เนื่องจากมูลค่าหนี้ที่แท้จริงจะสูงขึ้น
- ออมเงินสด: เงินสดจะมีกำลังซื้อเพิ่มขึ้นในระยะสั้น
- ลงทุนอย่างระมัดระวัง: อาจพิจารณาสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำและให้ผลตอบแทนคงที่ เช่น พันธบัตรรัฐบาล หรือสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูง
- พัฒนาทักษะ: เพื่อรักษาหรือเพิ่มโอกาสในการจ้างงาน
ภาวะเงินฝืดจะส่งผลกระทบต่อหนี้สินประเภทต่างๆ ของคนไทย เช่น หนี้บ้านหรือหนี้บัตรเครดิตอย่างไร?
ในภาวะเงินฝืด ภาระหนี้สินที่แท้จริงจะสูงขึ้น เพราะเงินที่เรานำไปผ่อนชำระมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับตอนที่กู้ยืมมา หากรายได้ไม่เพิ่มขึ้นหรือลดลง ผู้กู้จะรู้สึกว่าภาระหนักขึ้น หนี้บ้านหรือหนี้รถยนต์ซึ่งเป็นหนี้ระยะยาวจะได้รับผลกระทบมากเป็นพิเศษ ขณะที่หนี้บัตรเครดิตที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงอยู่แล้วก็จะเป็นภาระที่หนักอึ้งหากไม่สามารถชำระได้เต็มจำนวน
ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ในไทยจะรับมือกับความท้าทายจากภาวะเงินฝืดได้อย่างไร?
SME ควรเน้นการลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน มองหานวัตกรรมเพื่อสร้างความแตกต่างให้กับสินค้าและบริการ แทนที่จะแข่งขันด้านราคาเพียงอย่างเดียว นอกจากนี้ การบริหารจัดการกระแสเงินสดและหนี้สินเป็นสิ่งสำคัญ และอาจพิจารณาขยายตลาดไปยังช่องทางออนไลน์หรือต่างประเทศเพื่อกระจายความเสี่ยง
สัญญาณหรือตัวชี้วัดใดบ้างที่บ่งบอกว่าเศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญกับความเสี่ยงเงินฝืด?
สัญญาณที่บ่งชี้ถึงความเสี่ยงเงินฝืด ได้แก่:
- ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ติดลบ: แสดงว่าราคาสินค้าและบริการลดลง
- การชะลอตัวของ GDP: เศรษฐกิจเติบโตช้าลงหรือหดตัว
- อัตราการว่างงานที่เพิ่มขึ้น: ตลาดแรงงานอ่อนแอลง
- การลงทุนภาคเอกชนลดลง: ธุรกิจชะลอการขยายตัว
- อัตราดอกเบี้ยต่ำมาก: นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
- ความเชื่อมั่นผู้บริโภคและภาคธุรกิจลดลง: ผู้คนไม่กล้าใช้จ่ายและลงทุน
ภาวะเงินฝืดจะทำให้ค่าครองชีพในเมืองใหญ่ๆ ของไทย เช่น กรุงเทพฯ หรือภูเก็ต ลดลงจริงหรือไม่?
โดยทฤษฎีแล้ว หากเกิดภาวะเงินฝืด ค่าครองชีพในเมืองใหญ่ๆ ย่อมมีแนวโน้มลดลงตามราคาสินค้าและบริการโดยรวม อย่างไรก็ตาม การลดลงอาจไม่เท่ากันในแต่ละหมวดหมู่ และการที่ค่าครองชีพจะถูกลงจริงหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย รวมถึงรายได้ที่แท้จริงของประชาชนด้วย หากรายได้ลดลงมากกว่าอัตราที่ค่าครองชีพลดลง ก็อาจไม่ได้รู้สึกว่าชีวิตดีขึ้น
การแข็งค่าของเงินบาท มีส่วนทำให้เกิดภาวะเงินฝืดในไทยได้หรือไม่?
การแข็งค่าของเงินบาทสามารถมีส่วนทำให้เกิดภาวะเงินฝืดได้ทางอ้อม เนื่องจาก:
- สินค้านำเข้าราคาถูกลง: เมื่อเงินบาทแข็งค่าขึ้น การนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศจะถูกลง ซึ่งจะไปกดดันราคาสินค้าที่ผลิตในประเทศให้ลดลงตาม
- การส่งออกลดลง: สินค้าส่งออกของไทยจะมีราคาสูงขึ้นในตลาดโลก ทำให้ความสามารถในการแข่งขันลดลง ผู้ผลิตอาจต้องลดราคาเพื่อรักษายอดขาย ซึ่งส่งผลให้รายได้ลดลงและอาจนำไปสู่การลดการผลิตหรือเลิกจ้างงาน
ในภาวะเงินฝืด การออมเงินหรือการลงทุนในสินทรัพย์ใดที่น่าสนใจสำหรับคนไทย?
ในภาวะเงินฝืด เงินสดมีกำลังซื้อเพิ่มขึ้น จึงอาจพิจารณาการออมเงินในบัญชีเงินฝากที่มีสภาพคล่องสูง สำหรับการลงทุน สินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนคงที่และมีความเสี่ยงต่ำ เช่น พันธบัตรรัฐบาล หรือกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น อาจน่าสนใจกว่าหุ้นหรืออสังหาริมทรัพย์ที่มูลค่าอาจลดลง ควรปรึกษาที่ปรึกษาทางการเงินเพื่อวางแผนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ส่วนบุคคล
นอกจากธนาคารแห่งประเทศไทยแล้ว หน่วยงานภาครัฐอื่นๆ เช่น กระทรวงการคลัง มีบทบาทอย่างไรในการจัดการเงินฝืด?
กระทรวงการคลังมีบทบาทสำคัญในการดำเนินนโยบายการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น การเพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานหรือโครงการที่กระตุ้นอุปสงค์ การลดภาษีเพื่อเพิ่มกำลังซื้อให้กับประชาชนและภาคธุรกิจ และการบริหารจัดการหนี้สาธารณะเพื่อให้รัฐบาลมีพื้นที่ในการใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในยามจำเป็น