66, Broklyn St, New York, USA
Turning big ideas into great services!

ประเภทกองทุน: 7 สิ่งต้องรู้ เพื่อเลือกกองทุนที่ใช่ สร้างความมั่งคั่งให้คุณ

Home / เริ่มต้นเทรด / ประ...

meetcinco_com | 13 10 月

ประเภทกองทุน: 7 สิ่งต้องรู้ เพื่อเลือกกองทุนที่ใช่ สร้างความมั่งคั่งให้คุณ

บทนำ: กองทุนรวมคืออะไร และทำไมต้องรู้จักประเภทของมัน?

กองทุนรวม หรือที่รู้จักกันในชื่อ Mutual Fund ถือเป็นทางเลือกการลงทุนที่ได้รับความชื่นชอบจากนักลงทุนชาวไทยจำนวนมาก โดยเฉพาะคนที่ไม่มีเวลามากพอจะติดตามข้อมูลตลาดหุ้นด้วยตัวเอง หรือขาดประสบการณ์ในการจัดการพอร์ตลงทุนเอง การเข้าร่วมลงทุนในกองทุนรวมคือการที่นักลงทุนหลายรายนำเงินมาบรรจบรวมกันเป็นทุนก้อนใหญ่ จากนั้นมอบหมายให้ผู้จัดการกองทุนซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญนำไปกระจายลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท ตามแนวทางที่กำหนดไว้ล่วงหน้า ไม่ว่าจะเป็นหุ้น พันธบัตร ทรัพย์สินอสังหาริมทรัพย์ หรือสินทรัพย์อื่นๆ เพื่อหวังผลตอบแทนที่มั่นคงในระยะยาว

ภาพประกอบนักลงทุนหลายคนรวมเงินลงทุนในกองทุนที่จัดการโดยทีมผู้เชี่ยวชาญ

การทำความรู้จักกับประเภทต่างๆ ของกองทุนรวมนั้นสำคัญมาก เพราะแต่ละประเภทมีลักษณะเฉพาะตัว ไม่ว่าจะเป็นแนวทางการลงทุน ระดับความเสี่ยงที่ต้องเผชิญ หรือผลตอบแทนที่คาดหวังไว้ เมื่อเข้าใจดี นักลงทุนจะสามารถคัดเลือกกองทุนที่ตรงกับเป้าหมายส่วนตัว อายุ และความอดทนต่อความเสี่ยงของตนได้ง่ายขึ้น ส่งผลให้แผนการเงินโดยรวมมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และนำไปสู่ความสำเร็จตามที่วาดฝันไว้ได้จริง การวางรากฐานความรู้เหล่านี้จะช่วยให้นักลงทุนชาวไทยตัดสินใจได้อย่างรอบคอบ ลดโอกาสพลาดท่า และเปิดทางสู่การสะสมความมั่งคั่งที่ยั่งยืนในอนาคต

การจัดประเภทกองทุนรวมตามนโยบายการลงทุน

หนึ่งในการแบ่งประเภทที่ได้รับความนิยมมากที่สุดสำหรับกองทุนรวมคือการพิจารณาตามนโยบายการลงทุน ซึ่งช่วยให้เห็นภาพรวมของลักษณะและพฤติกรรมของกองทุนแต่ละตัวได้ชัดเจน โดยอาศัยสินทรัพย์หลักที่กองทุนเน้นลงทุนเป็นเกณฑ์หลักในการจัดกลุ่ม

ภาพประกอบการจำแนกประเภทกองทุนรวมตามประเภทสินทรัพย์พร้อมไอคอนการลงทุนที่หลากหลาย

1. กองทุนรวมตราสารหนี้ (Debt Funds)

กองทุนรวมตราสารหนี้มุ่งเน้นการลงทุนในสินทรัพย์ที่มั่นคง เช่น พันธบัตรรัฐบาล พันธบัตรจากธนาคาร หุ้นกู้ของเอกชน หรือตั๋วเงินระยะสั้นอื่นๆ ข้อดีหลักคือความผันผวนของมูลค่าที่ต่ำกว่ากองทุนหุ้นมาก และโอกาสสูญเสียทุนน้อยกว่า ผลตอบแทนที่คาดหวังจึงอยู่ในระดับปานกลางหรือต่ำ เหมาะกับนักลงทุนที่ให้ความสำคัญกับความมั่นคง ต้องการรายได้สม่ำเสมอ หรือวางแผนเก็บเงินชั่วคราว โดยกองทุนเหล่านี้มักมีสภาพคล่องดี อย่างไรก็ตาม ยังคงมีความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ยที่เปลี่ยนแปลงและความน่าเชื่อถือของผู้ออกตราสาร

ภาพประกอบพอร์ตการลงทุนที่มั่นคงด้วยพันธบัตรรัฐบาลและหุ้นกู้บริษัทสำหรับกองทุนตราสารหนี้

2. กองทุนรวมตราสารทุน (Equity Funds)

กองทุนรวมตราสารทุน หรือที่เรียกกันว่ากองทุนหุ้น ลงทุนหลักในหุ้นของบริษัทที่จดทะเบียนทั้งในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และตลาดต่างประเทศ โดยต้องมีสัดส่วนหุ้นอย่างน้อย 65% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ ข้อเด่นคือมีศักยภาพในการสร้างผลตอบแทนสูงในระยะยาว แต่ต้องแลกมาด้วยความเสี่ยงที่สูงและความผันผวนของราคาที่รุนแรงกว่ากองทุนตราสารหนี้ เหมาะสำหรับผู้ที่ยอมรับความเสี่ยงได้ มีแผนลงทุนยาวนาน และมุ่งหวังการเติบโตของทุน บางกองทุนอาจโฟกัสเฉพาะอุตสาหกรรม เช่น เทคโนโลยี หรือธีมอย่าง ESG เพื่อเพิ่มความเฉพาะเจาะจง

3. กองทุนรวมผสม (Mixed Funds)

กองทุนรวมผสมรวมสินทรัพย์หลากหลายเข้าไว้ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นตราสารหนี้ หุ้น หรือสินทรัพย์อื่นๆ โดยผู้จัดการกองทุนสามารถปรับสัดส่วนได้ตามสถานการณ์ หรือตามที่ระบุในเอกสารชี้ชวน ข้อดีคือช่วยกระจายความเสี่ยงได้ดีกว่าการลงทุนแบบเน้นสินทรัพย์เดียว และสร้างสมดุลระหว่างผลตอบแทนกับความเสี่ยง เหมาะกับนักลงทุนที่ไม่ต้องการความผันผวนสูงเท่ากองทุนหุ้น แต่ยังอยากได้ผลตอบแทนที่เหนือกว่ากองทุนตราสารหนี้

4. กองทุนรวมตลาดเงิน (Money Market Funds)

กองทุนรวมตลาดเงินลงทุนในสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูงและเสี่ยงต่ำ เช่น ตั๋วเงินคลัง พันธบัตรระยะสั้น หรือเงินฝากธนาคาร ข้อเด่นคือมีความเสี่ยงต่ำที่สุดในกลุ่มกองทุนรวม สามารถซื้อขายได้ทุกวันทำการ และให้ผลตอบแทนสูงกว่าบัญชีออมทรัพย์เล็กน้อย เหมาะสำหรับการเก็บเงินชั่วคราว รอโอกาสลงทุนใหม่ หรือเป็นตัวเลือกแทนเงินฝากที่ให้ดอกเบี้ยดีกว่า

5. กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และโครงสร้างพื้นฐาน (Property & Infrastructure Funds)

กองทุนประเภทนี้ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่สร้างรายได้ เช่น อาคารสำนักงาน โรงแรม หรือห้างสรรพสินค้า รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานอย่างสาธารณูปโภคและโทรคมนาคม อาจลงทุนตรงหรือผ่านหน่วยของ REITs (Real Estate Investment Trusts) และกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน ข้อดีคือมีโอกาสได้รับเงินปันผลสม่ำเสมอจากค่าเช่าหรือค่าบริการ เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการรายได้ประจำและแผนยาวนาน แม้จะมีความเสี่ยงระดับปานกลางถึงสูง

6. กองทุนรวมทองคำ/สินค้าโภคภัณฑ์ (Gold/Commodity Funds)

กองทุนรวมทองคำหรือสินค้าโภคภัณฑ์ลงทุนในทองคำหรือสินค้าอื่นๆ เช่น น้ำมัน โลหะมีค่า ผ่านสัญญาซื้อขายล่วงหน้าหรือหน่วยกองทุนต่างประเทศ ข้อเด่นคือช่วยป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อหรือความผันผวนของตลาดหุ้น และอาจให้ผลตอบแทนสูงเมื่อราคาสินค้า上涨 แต่มีความผันผวนสูงและขึ้นกับตลาดโลก เหมาะสำหรับผู้ที่รับความเสี่ยงได้และต้องการกระจายพอร์ตเพิ่มเติม

การจัดประเภทกองทุนรวมตามวัตถุประสงค์และสิทธิประโยชน์ทางภาษี

นอกจากการแบ่งตามนโยบายลงทุน กองทุนรวมยังสามารถจัดกลุ่มได้ตามวัตถุประสงค์และสิทธิประโยชน์ทางภาษี ซึ่งเป็นเรื่องที่นักลงทุนชาวไทยให้ความสนใจเป็นพิเศษ เพราะช่วยในการวางแผนภาษีและเป้าหมายระยะยาว

1. กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF – Retirement Mutual Funds)

กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ หรือ RMF ออกแบบมาเพื่อส่งเสริมการออมสำหรับวัยเกษียณ ข้อเด่นคือสามารถใช้ลดหย่อนภาษีได้ตามที่กรมสรรพากรกำหนด มีนโยบายลงทุนหลากหลายตั้งแต่เสี่ยงต่ำถึงสูง แต่มีข้อกำหนดในการถือครอง เช่น ต้องลงทุนต่อเนื่องจนถึงอายุ 55 ปี และอย่างน้อย 5 ปีเต็มจึงจะขายคืนโดยไม่เสียสิทธิภาษี รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการลดหย่อนภาษี RMF สามารถตรวจสอบได้จาก ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

2. กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF – Super Savings Funds)

กองทุนรวมเพื่อการออม หรือ SSF มาแทนที่ LTF เดิม เพื่อกระตุ้นการออมยาวนาน เงินลงทุนสามารถลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 200,000 บาทต่อปี แต่รวมกับสิทธิเกษียณอื่นๆ ไม่เกิน 500,000 บาท ข้อดีคือยืดหยุ่นกว่า RMF ต้องถืออย่างน้อย 10 ปีนับจากวันที่ซื้อ ไม่บังคับซื้อทุกปี และมีนโยบายลงทุนหลากหลาย เหมาะสำหรับผู้ที่อยากลดภาษีและล็อกเงินได้นาน

3. กองทุนรวมทั่วไป (General Mutual Funds)

กองทุนรวมทั่วไปไม่มีสิทธิภาษีพิเศษ แต่ให้อิสระสูงสุดในการซื้อขาย ไม่มีข้อจำกัดเรื่องเวลาถือครองหรือลดหย่อนภาษี เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการความยืดหยุ่น สภาพคล่องดี หรือแผนลงทุนระยะสั้นถึงกลางที่ไม่เน้นภาษี

ทำความรู้จักระดับความเสี่ยงของกองทุนรวม

ก่อนจะลงทุน กองทุนรวมประเภทไหน การประเมินระดับความเสี่ยงถือเป็นขั้นตอนที่ขาดไม่ได้ ในไทย สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กำหนดให้กองทุนมีระดับเสี่ยงจาก 1 ถึง 8 (บางครั้งขยายถึง 11) เพื่อช่วยให้นักลงทุนตัดสินใจง่ายขึ้น

ตารางด้านล่างสรุปภาพรวมระดับความเสี่ยงและประเภทกองทุนที่เกี่ยวข้อง:

ระดับความเสี่ยง ความเสี่ยง ประเภทกองทุนโดยทั่วไป
1 ต่ำมาก กองทุนรวมตลาดเงิน
2 ต่ำ กองทุนรวมพันธบัตรรัฐบาล
3 ต่ำถึงปานกลาง กองทุนรวมตราสารหนี้
4 ปานกลาง กองทุนรวมผสมแบบยืดหยุ่น
5 ปานกลางถึงสูง กองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศบางส่วน
6 สูง กองทุนรวมตราสารทุน (หุ้นทั่วไป)
7 สูงมาก กองทุนรวมตราสารทุนที่ลงทุนในหุ้นขนาดเล็ก/กลุ่มอุตสาหกรรมเฉพาะ
8 สูงมากที่สุด กองทุนรวมที่ลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์/ทองคำ/อนุพันธ์

*หมายเหตุ: บางบริษัทจัดการกองทุน (บลจ.) อาจแบ่งระดับย่อยละเอียดถึง 1-11 แต่หลักการพื้นฐานคล้ายกัน*

ยิ่งระดับเสี่ยงสูง โอกาสผลตอบแทนก็สูงตาม แต่ความผันผวนและโอกาสขาดทุนก็เพิ่มขึ้น นักลงทุนควรพิจารณาจากปัจจัยส่วนตัว เช่น อายุ ประสบการณ์ และเป้าหมาย เพื่อให้ลงทุนอย่างสบายใจและยั่งยืน อ้างอิงข้อมูลจาก สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)

เลือกประเภทกองทุนรวมอย่างไรให้เหมาะกับตัวคุณ?

การเลือกกองทุนรวมที่ใช่สำหรับตัวเองไม่ได้มองแค่ผลตอบแทนย้อนหลังสูงสุดเท่านั้น แต่ต้องคำนึงถึงสถานการณ์ส่วนตัว โดยเฉพาะนักลงทุนไทยที่อาจมีเป้าหมายและบริบทที่แตกต่าง

ปัจจัยหลักที่ควรพิจารณา:

  1. เป้าหมายการลงทุน:
    • ระยะสั้น (1-3 ปี): เช่น เก็บเงินดาวน์บ้านหรือเที่ยวพักผ่อน ควรเลือกกองทุนสภาพคล่องสูง เสี่ยงต่ำ อย่างตลาดเงินหรือตราสารหนี้ระยะสั้น
    • ระยะกลาง (3-7 ปี): เช่น เงินเรียนลูกหรือซื้อรถ อาจลองกองทุนผสมหรือตราสารหนี้กลาง-ยาว
    • ระยะยาว (เกิน 7 ปี): เช่น วางแผนเกษียณหรือสร้างทรัพย์ เน้นกองทุนหุ้น RMF/SSF เพื่อภาษี หรืออสังหาฯ ที่ให้ผลตอบแทนยาว
  2. ระดับความเสี่ยงที่รับได้:
    • ต่ำ: ถ้ากังวลเรื่องขาดทุน ไปที่ตลาดเงินหรือตราสารหนี้
    • ปานกลาง: อยากได้ผลตอบแทนดีขึ้นแต่ไม่ผันผวนมาก ลองกองทุนผสม
    • สูง: เข้าใจเสี่ยงและอยากโตทุน เลือกหุ้นหรือกองทุนเฉพาะทาง
  3. สภาพคล่องที่ต้องการ:
    • ถ้าต้องการใช้เงินเมื่อไหร่ก็ได้ เลือกกองทุนทั่วไปหรือตลาดเงินที่ไม่มีข้อผูกมัด
    • ถ้าอยากได้สิทธิภาษีและล็อกเงินได้ RMF/SSF คือทางเลือก
  4. อายุและวัยชีวิต:
    • วัยเริ่มทำงาน: เวลายาว รับเสี่ยงได้ เน้นหุ้นเติบโต
    • วัยกลางคน: กระจายเสี่ยงด้วยผสมหรือ RMF/SSF เตรียมเกษียณ
    • วัยใกล้เกษียณ: เน้นมั่นคงเพื่อรักษาทุน

ตัวอย่างกรณีนักลงทุนไทย:

  • คุณอรุณ (25 ปี): เพิ่งทำงาน อยากซื้อบ้านใน 5-7 ปี รับเสี่ยงปาน-สูง ลองกองทุนผสมหรือหุ้นเติบโตเพื่อให้ทุนงอกเงยทันเวลา
  • คุณสุชาติ (40 ปี): วางแผนเกษียณ ลดภาษี เลือก RMF นโยบายหลากหลายเพื่อกระจายเสี่ยงและผลตอบแทนยาว
  • คุณปราณี (50 ปี): พักเงินจากขายสินทรัพย์ชั่วคราว ไม่เสี่ยง ใช้ตลาดเงินรักษาความคล่องและดอกเบี้ยดีกว่าเงินฝาก

แพลตฟอร์มอย่าง Finnomena, Wealthmagik หรือ Settrade มีเครื่องมือคัดกรองกองทุนและจัดพอร์ตตามเสี่ยง-เป้าหมาย ช่วยในการตัดสินใจได้ดี

คำแนะนำและข้อควรระวังในการลงทุนในกองทุนรวม

แม้กองทุนรวมจะสะดวก แต่การลงทุนต้องมีวินัยและระมัดระวัง เพื่อให้นักลงทุนไทยมั่นใจและลดเสี่ยงได้

  • ศึกษาข้อมูลครบถ้วน: อ่านหนังสือชี้ชวนให้ละเอียด เข้าใจนโยบาย ค่าธรรมเนียม (ซื้อ ขาย จัดการ) และเสี่ยง ก.ล.ต. มีข้อมูลช่วยเหลือเสมอ จาก สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
  • กระจายการลงทุน: อย่าลงทุนกองเดียว กระจายไปหลายประเภทเพื่อลดเสี่ยง หากอย่างหนึ่งตก อีกอย่างอาจชดเชย
  • ลงทุนสม่ำเสมอ (DCA): ลงทุนเท่าเดิมทุกงวด ไม่สนราคาขึ้นลง ช่วยหลีกเลี่ยงจังหวะตลาดผิด เหมาะกับลงทุนยาว โดยเฉพาะหุ้น
  • อย่าดูแค่ผลตอบแทนเก่า: อดีตไม่การันตีอนาคต พิจารณานโยบาย ทีมจัดการ และเศรษฐกิจประกอบ
  • รู้จักค่าธรรมเนียม: มีหลายแบบ ส่งผลต่อผลสุทธิ เปรียบเทียบก่อนลง
  • ประเมินเสี่ยงส่วนตัว: รู้ตัวเองดีที่สุด อย่าเสี่ยงเกินใจรับไหว มิเช่นนั้นอาจตัดสินใจพลาดตอนตลาดผันผวน
  • ติดตามและปรับพอร์ต: ตลาดเปลี่ยน ตรวจผลกองทุนบ้าง และปรับตามเป้าหมาย-เสี่ยงที่อาจเปลี่ยนตามวัย

ข้อควรระวังพิเศษสำหรับไทย:

  • ความผันผวนค่าเงิน: กองทุนต่างประเทศที่ไม่ป้องกัน (Unhedged) อาจเสียหายจากบาทแข็ง-อ่อน
  • กฎภาษี: เข้าใจเงื่อนไข RMF/SSF ดี เพื่อสิทธิเต็มและไม่ผิด
  • ข้อมูลเท็จ: ระวังโฆษณาเกินจริงหรือคำแนะจากคนไม่เชี่ยว ใช้แหล่งน่าเชื่อถืออย่างบลจ. หรือตลาดหลักทรัพย์

สรุป: เส้นทางสู่การลงทุนกองทุนรวมที่มั่นคง

กองทุนรวมเป็นเครื่องมือชั้นเลิศสำหรับนักลงทุนไทยในการสร้างความมั่งคั่งและบรรลุเป้าหมายการเงิน การเข้าใจลึกซึ้งถึงประเภทกองทุนรวมคือพื้นฐานสู่ความสำเร็จ เมื่อรู้ว่านโยบาย เสี่ยง และผลตอบแทนของแต่ละประเภทเป็นอย่างไร คุณจะเลือกได้ตรงกับตัวเอง รับเสี่ยงได้แค่ไหน และแผนการเงินโดยรวม

ไม่ว่ามือใหม่หรือมีประสบการณ์ การเลือกกองทุนที่ใช่คือก้าวแรกสำคัญ ศึกษาดี กระจายเสี่ยง และลงทุนมีวินัย เพื่อเส้นทางที่มั่นคงและอนาคตการเงินที่สว่างไสว

คำถามที่พบบ่อย (FAQs)

1. กองทุนรวมคืออะไร และมีกี่ประเภทหลักๆ ในตลาดไทย?

กองทุนรวมคือการรวบรวมเงินจากนักลงทุนหลายคนไปให้ผู้จัดการกองทุนมืออาชีพนำไปลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ เช่น หุ้น ตราสารหนี้ อสังหาริมทรัพย์ โดยแบ่งประเภทหลักๆ ได้แก่ กองทุนตราสารหนี้ กองทุนตราสารทุน กองทุนรวมผสม กองทุนตลาดเงิน กองทุนอสังหาริมทรัพย์/โครงสร้างพื้นฐาน กองทุนทองคำ/สินค้าโภคภัณฑ์ นอกจากนี้ยังมีกองทุนที่มีสิทธิประโยชน์ทางภาษีอย่าง RMF และ SSF อีกด้วย

2. RMF กับ SSF แตกต่างกันอย่างไร และควรเลือกลงทุนในกองทุนไหนดี?

RMF (Retirement Mutual Funds) เน้นการออมเพื่อวัยเกษียณ ต้องถือหน่วยลงทุนจนถึงอายุ 55 ปีบริบูรณ์ และลงทุนมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปีเต็ม ส่วน SSF (Super Savings Funds) เน้นการออมระยะยาว ต้องถือหน่วยลงทุนไม่น้อยกว่า 10 ปีนับจากวันที่ซื้อ การเลือกลงทุนขึ้นอยู่กับเป้าหมายและระยะเวลาที่คุณสามารถล็อกเงินไว้ได้ รวมถึงเงื่อนไขการลดหย่อนภาษีสูงสุดของแต่ละประเภท

3. กองทุนรวมตราสารหนี้ เหมาะกับใคร และมีความเสี่ยงต่ำจริงหรือ?

กองทุนรวมตราสารหนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความมั่นคง ผลตอบแทนสม่ำเสมอ และรับความเสี่ยงได้ต่ำ เช่น ผู้ที่ต้องการพักเงินระยะสั้นหรือผู้ที่ใกล้เกษียณ แม้จะถือว่ามีความเสี่ยงต่ำกว่ากองทุนหุ้นมาก แต่ก็ยังมีความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ยและเครดิตของผู้ออกตราสาร ซึ่งอาจทำให้มูลค่าหน่วยลงทุนผันผวนได้บ้าง

4. จะเริ่มต้นลงทุนในกองทุนรวมต้องทำอย่างไร และใช้เงินเท่าไหร่?

การเริ่มต้นลงทุนในกองทุนรวมสามารถทำได้โดยเปิดบัญชีกองทุนกับบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) หรือผ่านธนาคารตัวแทน หรือแพลตฟอร์มการลงทุนออนไลน์ เช่น Finnomena หรือ Wealthmagik โดยใช้บัตรประชาชนและเอกสารยืนยันตัวตนอื่นๆ เงินเริ่มต้นลงทุนมีตั้งแต่หลักร้อยบาทไปจนถึงหลักพันบาท ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละกองทุน

5. ถ้าต้องการลดหย่อนภาษี ควรเลือกลงทุนในกองทุนประเภทไหน?

หากต้องการลดหย่อนภาษี ควรเลือกลงทุนในกองทุน RMF (เพื่อการเกษียณ) หรือ SSF (เพื่อการออมระยะยาว) ซึ่งมีสิทธิประโยชน์ลดหย่อนภาษีตามเงื่อนไขที่กรมสรรพากรกำหนด ควรศึกษาเงื่อนไขการถือครองและวงเงินลดหย่อนให้ดีก่อนตัดสินใจ

6. กองทุนรวมต่างประเทศ (Foreign Funds) ในไทยมีความเสี่ยงและผลตอบแทนอย่างไร?

กองทุนรวมต่างประเทศในไทยมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าและกระจายความเสี่ยงได้ดีกว่าการลงทุนในประเทศ แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูงขึ้น เช่น ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (ถ้ากองทุนไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงไว้) ความเสี่ยงจากนโยบายของประเทศที่ลงทุน และความผันผวนของตลาดโลก เหมาะสำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงและต้องการกระจายการลงทุนไปทั่วโลก

7. ระดับความเสี่ยงของกองทุนรวม 1-8 (หรือ 1-11) คืออะไร และสัมพันธ์กับการเลือกกองทุนอย่างไร?

ระดับความเสี่ยงของกองทุนรวม 1-8 (หรือ 1-11) เป็นการจัดระดับที่กำหนดโดย ก.ล.ต. เพื่อให้นักลงทุนประเมินความเสี่ยงได้ง่ายขึ้น โดยระดับ 1 คือความเสี่ยงต่ำสุด (เช่น กองทุนตลาดเงิน) และระดับ 8 คือความเสี่ยงสูงสุด (เช่น กองทุนทองคำ/สินค้าโภคภัณฑ์) การเลือกกองทุนควรให้สอดคล้องกับระดับความเสี่ยงที่คุณยอมรับได้และเป้าหมายการลงทุนของคุณ

8. ควรใช้กลยุทธ์ DCA (Dollar-Cost Averaging) กับกองทุนรวมประเภทไหนดีที่สุด?

กลยุทธ์ DCA หรือการลงทุนแบบถัวเฉลี่ยต้นทุน เหมาะอย่างยิ่งกับกองทุนรวมที่มีความผันผวนสูงในระยะยาว เช่น กองทุนรวมตราสารทุน (กองทุนหุ้น) เพราะจะช่วยลดความเสี่ยงจากการจับจังหวะตลาดผิดพลาด และทำให้ได้ราคาเฉลี่ยที่ดีในระยะยาว อย่างไรก็ตาม สามารถใช้ได้กับกองทุนทุกประเภทเพื่อสร้างวินัยในการลงทุน

9. มีค่าธรรมเนียมอะไรบ้างที่ต้องรู้ก่อนลงทุนในกองทุนรวมของไทย?

ค่าธรรมเนียมหลักๆ ที่ต้องรู้ ได้แก่ ค่าธรรมเนียมการซื้อ (Front-end Fee) ค่าธรรมเนียมการขายคืน (Back-end Fee) และค่าธรรมเนียมการจัดการ (Management Fee) ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายรายปีที่หักจากมูลค่าทรัพย์สินของกองทุน นอกจากนี้อาจมีค่าธรรมเนียมอื่นๆ เช่น ค่าธรรมเนียมผู้ดูแลผลประโยชน์ ควรศึกษาในหนังสือชี้ชวน

10. ถ้าต้องการถอนเงินจากกองทุนรวม ทำได้ทันทีหรือไม่ และมีเงื่อนไขอะไรบ้าง?

การถอนเงิน (ขายคืนหน่วยลงทุน) จากกองทุนรวมทั่วไปมักจะทำได้ทุกวันทำการ โดยเงินจะเข้าบัญชีภายใน 1-3 วันทำการ ขึ้นอยู่กับประเภทกองทุนและนโยบายของบลจ. อย่างไรก็ตาม กองทุน RMF และ SSF มีเงื่อนไขการถือครองที่เข้มงวด หากขายคืนก่อนกำหนดอาจต้องคืนสิทธิประโยชน์ทางภาษีและเสียค่าปรับ ควรตรวจสอบเงื่อนไขของแต่ละกองทุนอย่างละเอียด

發佈留言