66, Broklyn St, New York, USA
Turning big ideas into great services!

แผนภูมิมีกี่ประเภท? 11 แผนภูมิพื้นฐานและขั้นสูงที่คุณต้องรู้เพื่อสื่อสารข้อมูลอย่างมืออาชีพ

Home / ห้องเรียนฟอเร็กซ์ / แผน...

meetcinco_com | 12 10 月

แผนภูมิมีกี่ประเภท? 11 แผนภูมิพื้นฐานและขั้นสูงที่คุณต้องรู้เพื่อสื่อสารข้อมูลอย่างมืออาชีพ

บทนำ: ทำไมการเข้าใจประเภทแผนภูมิจึงสำคัญ

ในยุคที่ข้อมูลกลายเป็นหัวใจหลักในการตัดสินใจ การนำเสนอข้อมูลให้เข้าใจง่ายและชัดเจนย่อมเป็นสิ่งจำเป็นยิ่ง แผนภูมิและกราฟต่างเป็นเครื่องมือที่ทรงพลัง ช่วยเปลี่ยนตัวเลขที่ซับซ้อนให้กลายเป็นภาพที่สื่อสารได้ทันที ผู้รับข้อมูลจึงสามารถจับใจความได้เร็ว ไม่ว่าจะเป็นแนวโน้ม สัดส่วน การเปรียบเทียบ หรือความเชื่อมโยงต่างๆ โดยไม่ต้องค้นหาจากตัวเลขกองพะเนิน การแสดงข้อมูลด้วยภาพ หรือที่เรียกว่า Data Visualization ยังช่วยเสริมการสื่อสารให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ยังสนับสนุนการตัดสินใจทางธุรกิจ การวางแผนกลยุทธ์ และการวิเคราะห์สถานการณ์ให้แม่นยำยิ่งกว่าเดิม บทความนี้จะพาคุณสำรวจประเภทแผนภูมิและกราฟหลากหลาย พร้อมอธิบายการนำไปใช้ที่เหมาะสม เพื่อให้คุณเลือกใช้ได้อย่างถูกต้องและดึงประโยชน์จากข้อมูลได้เต็มที่

ภาพประกอบความสำคัญของการแสดงข้อมูลด้วยภาพด้วยแผนภูมิและกราฟหลากชนิดที่ทำให้ตัวเลขซับซ้อนกลายเป็นภาพที่ชัดเจน

แผนภูมิพื้นฐานที่นักวิเคราะห์ข้อมูลต้องรู้

แผนภูมิพื้นฐานเหล่านี้คือรากฐานสำคัญสำหรับการวิเคราะห์และนำเสนอข้อมูลที่ทุกคนในสายงานควรคุ้นเคย เพราะเป็นประเภทที่ใช้กันอย่างกว้างขวางและให้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพในการสื่อสาร ไม่ว่าจะอยู่ในบริบทไหนก็ตาม

ภาพประกอบนักวิเคราะห์ข้อมูลศึกษาหลักแผนภูมิพื้นฐาน เช่น แผนภูมิแท่ง เส้น และวงกลม เพื่อการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ

1. แผนภูมิแท่ง (Bar Chart)

แผนภูมิแท่งนับเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่นิยมใช้มากที่สุด ด้วยรูปแบบแท่งสี่เหลี่ยมที่ช่วยเปรียบเทียบระหว่างหมวดหมู่ต่างๆ โดยความยาวของแท่งจะสะท้อนค่าของข้อมูลแต่ละส่วน มันเหมาะสำหรับการแสดงยอดขายสินค้า ผลสำรวจความเห็น หรือปริมาณในแต่ละกลุ่ม ข้อดีคือเข้าใจได้ง่ายและเห็นภาพรวมอย่างรวดเร็ว แต่หากมีหมวดหมู่มากเกินไป หรือต้องแสดงแนวโน้มที่ต่อเนื่องกัน อาจไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีนัก ตัวอย่างที่ชัดเจนคือการเปรียบเทียบยอดขายเครื่องดื่มชานมไข่มุกจากแบรนด์ต่างๆ ในกรุงเทพฯ ช่วงไตรมาสล่าสุด ซึ่งคุณสามารถสร้างได้ง่ายๆ ผ่าน Microsoft Excel หรือ Google Sheets

2. แผนภูมิเส้น (Line Chart)

สำหรับการแสดงแนวโน้มหรือการเปลี่ยนแปลงตามเวลา แผนภูมิเส้นคือตัวเลือกที่ลงตัว โดยใช้จุดข้อมูลเชื่อมต่อด้วยเส้นตรงเพื่อให้เห็นการเคลื่อนไหวชัดเจน มันเหมาะกับการติดตามการเติบโตทางเศรษฐกิจ อุณหภูมิรายวัน ราคาหุ้น หรือข้อมูลที่เปลี่ยนไปตามกาลเวลา ข้อดีคือช่วยให้มองเห็นแนวโน้มได้แจ่มชัด และเปรียบเทียบหลายชุดข้อมูลพร้อมกันได้ แต่ถ้ามีเส้นมากเกิน อาจทำให้แผนภูมิดูยุ่งเหยิงและอ่านลำบาก ตัวอย่างเช่น แนวโน้มราคาข้าวสารในตลาดไทยตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเผยให้เห็นการขึ้นลงอย่างต่อเนื่อง

3. แผนภูมิวงกลม (Pie Chart)

แผนภูมิวงกลมช่วยแสดงสัดส่วนของส่วนย่อยต่อภาพรวม โดยแบ่งวงกลมออกเป็นชิ้นๆ แต่ละชิ้นแทนหมวดหมู่หนึ่ง และขนาดชิ้นจะตรงกับสัดส่วนข้อมูล มันเหมาะสำหรับการนำเสนองบประมาณ ส่วนแบ่งตลาด หรือองค์ประกอบต่างๆ ข้อดีคือเข้าใจสัดส่วนได้ทันที แต่ไม่เหมาะกับส่วนย่อยจำนวนมาก เพราะชิ้นเล็กๆ จะอ่านยาก และไม่ดีสำหรับเปรียบเทียบหลายชุดข้อมูลเมื่อเทียบกับแผนภูมิแท่ง ตัวอย่างคือสัดส่วนการใช้จ่ายของครัวเรือนไทยในหมวดอาหารและการเดินทาง ซึ่งบ่งชี้ว่าหมวดไหนใช้จ่ายมากสุด (อ้างอิงข้อมูลจาก สำนักงานสถิติแห่งชาติ)

4. แผนภูมิกระจาย (Scatter Plot)

แผนภูมิกระจายเหมาะสำหรับสำรวจความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรสองตัว โดยแต่ละจุดบนกราฟแทนข้อมูลชุดหนึ่งที่มีค่าตามแกน X และ Y มันช่วยวิเคราะห์ความเชื่อมโยงระหว่างรายได้กับการใช้จ่าย อายุกับการใช้โซเชียลมีเดีย หรือขนาดพื้นที่กับราคาอสังหาฯ ข้อดีคือระบุรูปแบบความสัมพันธ์ได้ เช่น เชิงบวก เชิงลบ หรือไม่มี และดูการกระจายของข้อมูล แต่ไม่เหมาะกับจุดข้อมูลน้อยเกินไปหรือตัวแปรเกินสอง ตัวอย่างคือความสัมพันธ์ระหว่างจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติกับ GDP ของไทย ซึ่งแสดงว่าการท่องเที่ยวส่งผลต่อเศรษฐกิจอย่างไร

5. แผนภูมิพื้นที่ (Area Chart)

แผนภูมิพื้ยหน้าคล้ายแผนภูมิเส้นแต่เติมสีหรือลายในพื้นที่ใต้เส้น เพื่อเน้นปริมาณสะสมตามเวลา มันเหมาะสำหรับยอดขายสะสม พื้นที่ปลูกพืชเศรษฐกิจ หรือการเติบโตของข้อมูลรวม ข้อดีคือเห็นการเปลี่ยนแปลงของปริมาณรวมชัดเจน และเปรียบเทียบหลายชุดได้ แต่ถ้าชุดข้อมูลทับซ้อนมาก อาจอ่านยาก ตัวอย่างเช่นปริมาณส่งออกผลไม้ไทยสะสมรายไตรมาส ซึ่งแสดงการเพิ่มขึ้นตลอดปี

6. ฮิสโทแกรม (Histogram)

ฮิสโทแกรมใช้แสดงการกระจายความถี่ของข้อมูลตัวเลข โดยแบ่งเป็นช่วงๆ และใช้แท่งแสดงจำนวนข้อมูลในแต่ละช่วง มันเหมาะสำหรับวิเคราะห์อายุลูกค้า คะแนนสอบ หรือรายได้ เพื่อเข้าใจรูปแบบข้อมูล ข้อดีคือเห็นรูปร่างการกระจาย เช่น ปกติ เบ้ซ้าย หรือเบ้ขวา และค่าที่พบบ่อย แต่การเลือกช่วงข้อมูลมีผลต่อการตีความ ตัวอย่างคือการกระจายรายได้ประชากรในแต่ละจังหวัดของไทย ซึ่งบ่งบอกความเหลื่อมล้ำในพื้นที่ต่างๆ

7. แผนภูมิรูปภาพ (Pictograph)

แผนภูมิรูปภาพใช้นำเสนอข้อมูลด้วยภาพ โดยแต่ละรูปแทนหน่วยปริมาณหนึ่ง ทำให้ดูน่าสนใจและเข้าใจง่ายสำหรับผู้ชมทั่วไป มันเหมาะกับข้อมูลไม่ซับซ้อนที่ต้องการดึงดูดใจ ข้อดีคือดึงดูดสายตาและจดจำง่าย แต่ไม่แม่นยำเท่าประเภทอื่นถ้าค่าข้อมูลไม่ลงตัวกับหน่วยรูป หรือรูปมีรายละเอียดมาก ตัวอย่างเช่นจำนวนนักท่องเที่ยวตามสัญชาติ โดยใช้รูปธงชาติแทนแต่ละประเทศ

ภาพประกอบแผนภูมิแท่งที่เปรียบเทียบยอดขายสำหรับหมวดหมู่สินค้าต่างๆ ด้วยแท่งที่ชัดเจนและแตกต่าง

แผนภูมิเฉพาะทางและการใช้งานขั้นสูง

นอกจากพื้นฐานแล้ว ยังมีแผนภูมิเฉพาะทางอีกหลายแบบที่ช่วยจัดการข้อมูลซับซ้อนได้ดีขึ้น การทำความเข้าใจเหล่านี้จะยกระดับทักษะการแสดงข้อมูลของคุณให้ก้าวหน้า

8. แผนภูมิต้นไม้ (Treemap) และ แผนภูมิซันเบิร์สต์ (Sunburst Chart)

แผนภูมิต้นไม้และซันเบิร์สต์ช่วยแสดงข้อมูลลำดับชั้นและสัดส่วนพร้อมกัน โดยแผนภูมิต้นไม้ใช้สี่เหลี่ยมซ้อนเพื่อแสดงหมวดหลักและย่อย ขณะที่ซันเบิร์สต์ใช้โครงสร้างวงกลมซ้อน มันเหมาะสำหรับโครงสร้างองค์กร การจัดหมวดสินค้า หรืองบประมาณหลายชั้น ข้อดีคือเห็นโครงสร้างและความสัมพันธ์ชัดเจน แต่ถ้าชั้นมากเกินอาจซับซ้อน ตัวอย่างเช่นโครงสร้างรายได้ธุรกิจค้าปลีกไทยตามประเภทสินค้าและแบรนด์ ซึ่งทำได้ดีใน Power BI หรือ Tableau

9. แผนภูมิฟอง (Bubble Chart)

แผนภูมิฟองพัฒนาจากแผนภูมิกระจายโดยเพิ่มตัวแปรที่สามผ่านขนาดฟอง ทำให้แสดงความสัมพันธ์สามตัวแปรในกราฟเดียว มันเหมาะสำหรับวิเคราะห์ตลาด ความเสี่ยง หรือประสิทธิภาพหลายมิติ ข้อดีคือรวมข้อมูลหลายมิติได้ แต่ถ้าฟองมากหรือขนาดใกล้เคียงอาจตีความยาก ตัวอย่างคือตลาดสมาร์ทโฟนไทย: ส่วนแบ่งตลาด (แกน X) การเติบโต (แกน Y) และราคาเฉลี่ย (ขนาดฟอง)

10. แผนภูมิเรดาร์ (Radar Chart) / แผนภูมิใยแมงมุม (Spider Chart)

แผนภูมิเรดาร์หรือใยแมงมุมใช้เปรียบเทียบข้อมูลหลายมิติในหลายกลุ่ม โดยแต่ละแกนแทนคุณสมบัติหนึ่ง มันเหมาะสำหรับประเมินประสิทธิภาพ ลักษณะสินค้า หรือจุดแข็งจุดอ่อน ข้อดีคือเห็นความแตกต่างในแต่ละมิติเร็ว แต่ถ้ามิติมากหรือค่าต่างกันมากอาจอ่านยาก ตัวอย่างคือเปรียบเทียบคุณสมบัติสมาร์ทโฟนรุ่นต่างๆ ในไทย เช่น กล้อง แบตเตอรี่ ราคา ดีไซน์

11. แผนภูมิแกนต์ (Gantt Chart)

แผนภูมิแกนต์เป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับบริหารโครงการ แสดงตารางเวลาและความคืบหน้า โดยแต่ละแท่งแทนกิจกรรมและความยาวแสดงระยะเวลา มันเหมาะสำหรับวางแผน ติดตามโครงการหลายขั้นตอน ข้อดีคือเห็นภาพรวมชัดเจน แต่ถ้ากิจกรรมมากอาจซับซ้อน ตัวอย่างคือตารางก่อสร้างรถไฟฟ้ากรุงเทพฯ จากออกแบบถึงก่อสร้าง

เลือกใช้แผนภูมิอย่างไรให้เหมาะสม: แนวทางการตัดสินใจ

การเลือกแผนภูมิที่ใช่เป็นกุญแจสำคัญ เพื่อให้ข้อมูลสื่อสารได้ดีและไม่บิดเบือน แนวทางที่ดีควรพิจารณาจากประเภทข้อมูลและเป้าหมายการสื่อสารเป็นหลัก

  1. พิจารณาวัตถุประสงค์หลัก:
    • ต้องการเปรียบเทียบ เช่น ยอดขายหรือคะแนนสอบ: แผนภูมิแท่งหรือคอลัมน์
    • ต้องการแสดงแนวโน้ม หรือเปลี่ยนแปลงตามเวลา เช่น ราคาหุ้นหรืออุณหภูมิ: แผนภูมิเส้นหรือพื้นที่
    • ต้องการวิเคราะห์สัดส่วน หรือส่วนแบ่ง เช่น ส่วนแบ่งตลาดหรืองบประมาณ: แผนภูมิวงกลม ต้นไม้ หรือซันเบิร์สต์
    • ต้องการแสดงความสัมพันธ์ ระหว่างตัวแปร เช่น รายได้กับการใช้จ่าย: แผนภูมิกระจายหรือฟอง
    • ต้องการแสดงการกระจายความถี่ เช่น อายุประชากรหรือคะแนนสอบ: ฮิสโทแกรม
    • ต้องการแสดงลำดับชั้น เช่น โครงสร้างองค์กร: แผนภูมิต้นไม้หรือซันเบิร์สต์
  2. พิจารณาประเภทข้อมูล:
    • ข้อมูลเชิงคุณภาพ: แผนภูมิแท่งหรือวงกลม
    • ข้อมูลเชิงปริมาณ: แผนภูมิเส้น กระจาย หรือฮิสโทแกรม
    • ข้อมูลเชิงเวลา: แผนภูมิเส้นหรือพื้นที่
  3. พิจารณาจำนวนชุดข้อมูลและตัวแปร:
    • ชุดเดียว ตัวแปรเดียว: แผนภูมิแท่งหรือวงกลมสำหรับสัดส่วน
    • หลายชุด ตัวแปรเดียว (เปรียบเทียบ): แผนภูมิแท่งแบบกลุ่ม
    • ชุดเดียว หลายตัวแปร (ตามเวลา): แผนภูมิเส้น
    • หลายชุด หลายตัวแปร (ตามเวลา): แผนภูมิเส้นหลายเส้นหรือพื้นที่เรียงซ้อน
    • สองตัวแปร (ความสัมพันธ์): แผนภูมิกระจาย
    • สามตัวแปร (ความสัมพันธ์): แผนภูมิฟอง

เมื่อเข้าใจวัตถุประสงค์และประเภทข้อมูล คุณจะเลือกแผนภูมิได้เหมาะสม และหลีกเลี่ยงกราฟที่บิดเบือน ซึ่งเป็นปัญหาที่พบบ่อยในการนำเสนอ

ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยในการสร้างแผนภูมิและวิธีแก้ไข

ถึงแม้แผนภูมิจะมีประสิทธิภาพ แต่หากสร้างไม่ถูกต้องอาจนำไปสู่ความเข้าใจผิดได้ โดยเฉพาะในบริบทไทยที่ผู้ใช้หลายคนเจอปัญหาเหล่านี้บ่อยๆ มาดูข้อผิดพลาดหลักและวิธีแก้ไขเพื่อนำเสนอข้อมูลให้ดีขึ้น

  1. การเลือกประเภทแผนภูมิไม่เหมาะสม:
    • ข้อผิดพลาด: ใช้แผนภูมิวงกลมกับหมวดหมู่มากเกิน หรือแผนภูมิเส้นกับข้อมูลไม่ใช่เวลา
    • วิธีแก้ไข: ทบทวนเป้าหมายและประเภทข้อมูลตามแนวทางเลือกใช้ ถ้าต้องการเปรียบเทียบให้ใช้แท่ง ถ้าแนวโน้มให้ใช้เส้น
  2. การใช้สีมากเกินไปหรือไม่เหมาะสม:
    • ข้อผิดพลาด: สีหลากหลายสดใสเกินจนรก หรือสีขัดกับความหมาย เช่น แดงสำหรับเติบโต
    • วิธีแก้ไข: เลือกจานสีเรียบง่าย จำกัดไม่เกิน 5-7 สี ใช้สีต่างชัดเจน และสอดคล้องความหมาย เน้นสีโดดเด่นเฉพาะส่วนสำคัญ
  3. การไม่ใส่หน่วยหรือคำอธิบายชัดเจน:
    • ข้อผิดพลาด: ขาดชื่อแกน หน่วย หรือคำอธิบาย ทำให้ไม่เข้าใจข้อมูล
    • วิธีแก้ไข: ตรวจสอบชื่อแกนพร้อมหน่วย เช่น ล้านบาทหรือ % และคำอธิบายสัญลักษณ์ให้ถูกต้อง
  4. การบิดเบือนแกน:
    • ข้อผิดพลาด: แกน Y ไม่เริ่มที่ 0 หรือสเกลไม่สอดคล้อง ทำให้ดูเกินจริง
    • วิธีแก้ไข: เริ่มแกน Y ที่ 0 เป็นหลัก เว้นแต่เน้นการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยและระบุชัด
  5. การนำเสนอข้อมูลซับซ้อนเกิน:
    • ข้อผิดพลาด: ยัดข้อมูลทุกอย่างในกราฟเดียว จนอ่านยาก
    • วิธีแก้ไข: โฟกัสข้อความหลัก 1-2 เรื่องต่อกราฟ ถ้าข้อมูลมากให้แบ่งหรือใช้แบบ互动

การหลีกเลี่ยงปัญหาเหล่านี้จะทำให้แผนภูมิของคุณไม่เพียงสวยงาม แต่ยังซื่อตรงและสื่อสารได้ดี ซึ่งเป็นหัวใจของการแสดงข้อมูล

สรุป: พลังของการสื่อสารด้วยข้อมูลผ่านแผนภูมิ

จากการสำรวจประเภทแผนภูมิหลากหลายนี้ เราจะเห็นถึงพลังของการแสดงข้อมูลด้วยภาพที่ช่วยเปลี่ยนข้อมูลซับซ้อนให้เป็นเรื่องราวน่าสนใจและเข้าใจง่าย การรู้จักความแตกต่างของแต่ละประเภท ไม่ว่าจะเป็นแผนภูมิแท่งสำหรับเปรียบเทียบ แผนภูมิแกนต์สำหรับจัดการโครงการ หรือแผนภูมิต้นไม้สำหรับข้อมูลชั้นครึ่ง ล้วนช่วยให้เลือกใช้ได้ตรงจุด

พลังแท้จริงของแผนภูมิไม่ใช่แค่นำเสนอตัวเลขให้สวย แต่คือการสร้างความเข้าใจลึกซึ้ง กระตุ้นการตัดสินใจ และเผยแนวโน้มหรือความสัมพันธ์ที่ซ่อนอยู่ การหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดทั่วไปและใช้ตัวอย่างที่เกี่ยวข้องกับไทย จะทำให้แผนภูมิของคุณมีคุณค่าและเข้าถึงผู้ชมได้จริง

ในโลกข้อมูลที่ขับเคลื่อนทุกอย่าง การฝึกเลือกและใช้แผนภูมิอย่างมีประสิทธิภาพจะทำให้คุณเป็นนักสื่อสารข้อมูลที่แข็งแกร่ง ไม่ว่าจะนำเสนอรายงานธุรกิจ วิเคราะห์สังคม หรือเล่าเรื่องผ่านตัวเลข แผนภูมิคือเพื่อนคู่ใจที่ทำให้ข้อมูลมีชีวิตชีวาและทรงพลัง อนาคตของการแสดงข้อมูลยังก้าวหน้าต่อไป โดยเฉพาะแผนภูมิแบบ互动ที่ให้ผู้ชมสำรวจเอง ซึ่งจะยกระดับการสื่อสารให้ดียิ่งขึ้น

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับแผนภูมิ

1. แผนภูมิกับกราฟต่างกันอย่างไร และทำไมคนไทยมักใช้สลับกัน?

โดยทั่วไปแล้ว “แผนภูมิ” (Chart) เป็นคำที่กว้างกว่า ใช้เรียกการแสดงข้อมูลด้วยภาพทุกรูปแบบ รวมถึงแผนภูมิแท่ง, แผนภูมิวงกลม, หรือแผนภูมิภาพ ส่วน “กราฟ” (Graph) มักจะหมายถึงการแสดงความสัมพันธ์ของตัวแปร โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อมูลเชิงปริมาณและต่อเนื่อง เช่น กราฟเส้น (Line Graph) หรือกราฟกระจาย (Scatter Graph) ที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างแกน x และ y คนไทยมักใช้สลับกันเนื่องจากความหมายใกล้เคียงกันและในภาษาพูดมักไม่แยกความแตกต่างอย่างเคร่งครัดนัก

2. ถ้าต้องการแสดงผลสำรวจความคิดเห็นของคนไทยเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ใหม่ ควรใช้แผนภูมิแบบไหนดีที่สุด?

สำหรับการแสดงผลสำรวจความคิดเห็น มักนิยมใช้ แผนภูมิแท่ง (Bar Chart) หรือ แผนภูมิคอลัมน์ (Column Chart) เพื่อเปรียบเทียบสัดส่วนหรือจำนวนของผู้ตอบแบบสอบถามในแต่ละตัวเลือก เช่น เปรียบเทียบความพึงพอใจ (มากที่สุด, มาก, ปานกลาง, น้อย) หรือความถี่ในการใช้ผลิตภัณฑ์ แผนภูมิแท่งยังเหมาะสำหรับการแสดงคำตอบจากคำถามที่มีหลายตัวเลือกอีกด้วย

3. แผนภูมิวงกลมเหมาะกับการแสดงสัดส่วนการใช้งบประมาณของครัวเรือนไทยหรือไม่ มีข้อควรระวังอะไรบ้าง?

แผนภูมิวงกลม (Pie Chart) เหมาะกับการแสดงสัดส่วนการใช้งบประมาณของครัวเรือนไทยได้ดี เมื่อมีหมวดหมู่การใช้จ่ายไม่มากนัก (ไม่เกิน 5-7 หมวดหมู่) และต้องการเห็นภาพรวมของสัดส่วนแต่ละส่วนต่อทั้งหมด

ข้อควรระวัง:

  • หากมีหมวดหมู่มากเกินไป จะทำให้แต่ละส่วนเล็กเกินไปและอ่านยาก
  • ไม่เหมาะสำหรับการเปรียบเทียบสัดส่วนระหว่างหลายชุดข้อมูล (เช่น การใช้งบประมาณปีต่อปี) ควรใช้แผนภูมิแท่งแบบกลุ่มแทน
  • ควรเรียงลำดับส่วนจากมากไปน้อย หรือตามตรรกะที่เข้าใจง่าย และระบุเปอร์เซ็นต์กำกับแต่ละส่วนให้ชัดเจน

4. โปรแกรม Microsoft Excel ใน Office 365 มีแผนภูมิประเภทใดบ้างที่นิยมใช้ในธุรกิจไทย?

Microsoft Excel ใน Office 365 มีแผนภูมิที่นิยมใช้ในธุรกิจไทยมากมาย ได้แก่:

  • แผนภูมิแท่ง (Bar Chart) / แผนภูมิคอลัมน์ (Column Chart): สำหรับเปรียบเทียบยอดขาย, กำไร, หรือผลประกอบการ
  • แผนภูมิเส้น (Line Chart): สำหรับแสดงแนวโน้มยอดขาย, การเติบโตของลูกค้า หรือราคาหุ้น
  • แผนภูมิวงกลม (Pie Chart): สำหรับแสดงส่วนแบ่งการตลาด, สัดส่วนค่าใช้จ่าย
  • แผนภูมิกระจาย (Scatter Plot): สำหรับวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรทางธุรกิจ
  • แผนภูมิพื้นที่ (Area Chart): สำหรับแสดงยอดขายสะสม หรือการเติบโตของรายได้รวม

นอกจากนี้ยังมีแผนภูมิผสม (Combo Chart) สำหรับแสดงข้อมูลสองประเภทในแผนภูมิเดียว เช่น ยอดขาย (แท่ง) กับเป้าหมาย (เส้น) ซึ่งเป็นที่นิยมเช่นกัน

5. ถ้ามีข้อมูลแนวโน้มราคาอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพฯ ย้อนหลัง 10 ปี ควรใช้แผนภูมิอะไรเพื่อแสดงผลให้ชัดเจนที่สุด?

สำหรับข้อมูลแนวโน้มราคาอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพฯ ย้อนหลัง 10 ปี ควรใช้ แผนภูมิเส้น (Line Chart) จะเหมาะสมที่สุด เพราะสามารถแสดงการเปลี่ยนแปลงของราคาตามช่วงเวลาได้อย่างต่อเนื่อง ทำให้เห็นแนวโน้มการขึ้นลง หรือความผันผวนของราคาได้อย่างชัดเจน การใช้แผนภูมิเส้นจะช่วยให้ผู้ชมสามารถติดตามการเปลี่ยนแปลงและคาดการณ์แนวโน้มในอนาคตได้ง่าย

6. การใช้แผนภูมิรูปภาพ (Pictograph) ในการนำเสนอข้อมูลด้านการท่องเที่ยวของประเทศไทย มีข้อดีข้อเสียอย่างไร?

ข้อดีของแผนภูมิรูปภาพ (Pictograph) ในการนำเสนอข้อมูลการท่องเที่ยว:

  • ดึงดูดความสนใจ: รูปภาพทำให้ข้อมูลน่าสนใจและเข้าถึงง่าย โดยเฉพาะกับผู้ชมทั่วไป
  • จดจำง่าย: ผู้ชมสามารถจดจำข้อมูลที่นำเสนอด้วยภาพได้ดีกว่าตัวเลขล้วนๆ
  • สื่อสารได้รวดเร็ว: เหมาะสำหรับการนำเสนอข้อมูลที่ไม่ซับซ้อน เช่น จำนวนนักท่องเที่ยวจากแต่ละประเทศโดยใช้รูปธงชาติ (อ้างอิงข้อมูลจาก กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา)

ข้อเสีย:

  • ความแม่นยำจำกัด: หากค่าข้อมูลไม่ลงตัวกับหน่วยของรูปภาพ อาจทำให้ข้อมูลไม่แม่นยำนัก
  • ไม่เหมาะกับข้อมูลซับซ้อน: ยากที่จะแสดงความสัมพันธ์หรือแนวโน้มที่ซับซ้อน
  • อาจดูไม่เป็นทางการ: ไม่เหมาะกับการนำเสนอในบริบทที่ต้องการความแม่นยำและเป็นทางการสูง

7. มีแผนภูมิประเภทไหนบ้างที่เหมาะสำหรับการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างจำนวนผู้ติดเชื้อ COVID-19 กับมาตรการล็อกดาวน์ในประเทศไทย?

สำหรับการวิเคราะห์ความสัมพันธ์นี้ แผนภูมิที่เหมาะสมที่สุดคือ แผนภูมิเส้น (Line Chart) โดยใช้แกน X เป็นช่วงเวลา และมีเส้นสองเส้นที่แสดง:

  • เส้นหนึ่งแสดงจำนวนผู้ติดเชื้อ COVID-19 รายวัน/รายสัปดาห์
  • อีกเส้นหนึ่งอาจแสดงระดับความเข้มงวดของมาตรการล็อกดาวน์ (อาจใช้คะแนนหรือระดับ)

นอกจากนี้ อาจเพิ่ม แผนภูมิคอลัมน์ (Column Chart) ขนาดเล็กซ้อนทับหรืออยู่ด้านล่าง เพื่อแสดงช่วงเวลาที่มีมาตรการล็อกดาวน์ที่แตกต่างกัน เพื่อให้เห็นความสัมพันธ์เชิงเวลาได้อย่างชัดเจน

8. ในการทำรายงานวิเคราะห์การตลาดสำหรับสินค้าในประเทศไทย ควรใช้แผนภูมิประเภทใดเพื่อเปรียบเทียบส่วนแบ่งตลาดของคู่แข่ง?

ในการเปรียบเทียบส่วนแบ่งตลาดของคู่แข่ง ควรใช้ แผนภูมิวงกลม (Pie Chart) หากต้องการแสดงสัดส่วนของแต่ละบริษัทต่อตลาดรวมทั้งหมด (เช่น บริษัท A มีส่วนแบ่ง 30%, บริษัท B 25% เป็นต้น) หรือใช้ แผนภูมิแท่ง (Bar Chart) / แผนภูมิคอลัมน์ (Column Chart) หากมีคู่แข่งหลายรายและต้องการเปรียบเทียบส่วนแบ่งตลาดแต่ละรายอย่างชัดเจน โดยเฉพาะเมื่อต้องการเปรียบเทียบส่วนแบ่งตลาดในหลายช่วงเวลาหรือหลายภูมิภาค

9. ควรระวังอะไรบ้างเมื่อสร้างแผนภูมิเพื่อหลีกเลี่ยงการบิดเบือนข้อมูล?

เพื่อหลีกเลี่ยงการบิดเบือนข้อมูล ควรระวังสิ่งต่อไปนี้:

  • การเริ่มต้นแกน Y ไม่ใช่ศูนย์: หากไม่ใช่ข้อมูลที่ต้องการเน้นความผันผวนเล็กน้อย ควรเริ่มแกน Y ที่ 0 เสมอ
  • การใช้สเกลที่ไม่สอดคล้องกัน: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าช่วงของแกนถูกต้องและสม่ำเสมอ
  • การเลือกประเภทแผนภูมิที่ไม่เหมาะสม: เลือกแผนภูมิที่ตรงกับวัตถุประสงค์และประเภทข้อมูล
  • การใส่ข้อมูลมากเกินไป: ทำให้แผนภูมิอ่านยากและอาจตีความผิด
  • การใช้สีที่ทำให้เข้าใจผิด: หลีกเลี่ยงการใช้สีที่สื่อความหมายในทางลบกับข้อมูลเชิงบวก หรือในทางบวกกับข้อมูลเชิงลบ
  • การไม่ใส่หน่วยหรือคำอธิบาย: ข้อมูลที่ไม่มีบริบทอาจทำให้เกิดการตีความที่ผิดพลาดได้

10. การใช้สีในแผนภูมิมีผลต่อการสื่อสารอย่างไร และมีหลักการเลือกใช้สีสำหรับผู้ชมชาวไทยหรือไม่?

การใช้สีในแผนภูมิมีผลอย่างมากต่อการสื่อสาร เพราะสีสามารถดึงดูดความสนใจ เน้นข้อมูลสำคัญ และสร้างอารมณ์ได้ดี การเลือกใช้สีที่ดีจะช่วยให้แผนภูมิเข้าใจง่ายและสวยงาม

หลักการเลือกใช้สีสำหรับผู้ชมชาวไทย:

  • ความหมายของสี: แม้จะไม่มีกฎตายตัว แต่สีบางสีอาจมีความหมายเชิงวัฒนธรรม เช่น สีทอง/เหลือง (ความเจริญรุ่งเรือง), สีเขียว (ความอุดมสมบูรณ์/ธรรมชาติ), สีแดง (อันตราย/ความกล้าหาญ), สีฟ้า (ความมั่นคง/เย็น) ควรพิจารณาความหมายเหล่านี้เมื่อเลือกใช้สีให้สอดคล้องกับข้อความที่ต้องการสื่อสาร
  • ความชัดเจนและความแตกต่าง: ควรเลือกใช้สีที่มีความแตกต่างกันอย่างเพียงพอ เพื่อให้แยกแยะข้อมูลแต่ละชุดได้ง่าย โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่มีภาวะตาบอดสี
  • ความสม่ำเสมอ: ใช้สีเดียวกันสำหรับข้อมูลประเภทเดียวกันในแผนภูมิหลายชุดเพื่อความสอดคล้อง
  • จำกัดจำนวนสี: หลีกเลี่ยงการใช้สีมากเกินไป เพราะจะทำให้แผนภูมิรกตาและสับสน
  • ใช้สีเพื่อเน้น: ใช้สีที่โดดเด่นเพื่อเน้นจุดข้อมูลที่สำคัญที่สุด

發佈留言