66, Broklyn St, New York, USA
Turning big ideas into great services!

ปริมาณเงินในความหมายอย่างแคบ (M1) คืออะไร ทำไม 5 สิ่งนี้ถึงสำคัญต่อชีวิตประจำวันและเศรษฐกิจไทยในยุคดิจิทัล

Home / เริ่มต้นเทรด / ปริ...

meetcinco_com | 12 10 月

ปริมาณเงินในความหมายอย่างแคบ (M1) คืออะไร ทำไม 5 สิ่งนี้ถึงสำคัญต่อชีวิตประจำวันและเศรษฐกิจไทยในยุคดิจิทัล

บทนำ: ทำไมต้องเข้าใจปริมาณเงินในความหมายอย่างแคบ (M1)?

ปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจนั้นเปรียบเสมือนหัวใจที่ขับเคลื่อนกิจกรรมต่างๆ ให้ไหลลื่น และช่วยสะท้อนภาพรวมของสภาพคล่องทั้งหมด การศึกษาปริมาณเงินในความหมายอย่างแคบ หรือที่เรียกว่า M1 จึงเป็นเรื่องที่จำเป็นสำหรับนักเศรษฐศาสตร์ ผู้กำหนดนโยบาย และคนทั่วไป M1 ทำหน้าที่เป็นตัวชี้วัดเงินที่มีความคล่องตัวสูงสุด ซึ่งพร้อมสำหรับการใช้จ่ายทันทีทันใด ส่งผลกระทบตรงๆ ต่อกำลังซื้อ ราคาสินค้า และแนวทางการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลาง ในบทความนี้ เราจะมาสำรวจนิยาม ส่วนประกอบ ความหมายของ M1 ในระบบเศรษฐกิจไทย รวมถึงผลที่ตามมาต่อชีวิตประจำวันและอนาคตในยุคดิจิทัล

An illustration of a complex economic system with flowing money symbols influencing prices and central bank decisions

ปริมาณเงินในความหมายอย่างแคบ (M1) คืออะไร? นิยามและแนวคิดพื้นฐาน

ปริมาณเงินในความหมายอย่างแคบ หรือ M1 หมายถึงรูปแบบเงินที่คล่องตัวที่สุดและนำไปใช้ชำระค่าสินค้าหรือบริการได้โดยไม่ติดขัดใดๆ เลย มันเป็นตัวบ่งชี้กำลังซื้อและสภาพคล่องที่แท้จริงในมือของประชาชนและภาคธุรกิจ M1 แสดงถึงเงินที่หมุนเวียนในระบบเพื่อการทำธุรกรรมเป็นหลัก โดยธนาคารกลางของแต่ละประเทศจะกำหนด M1 เพื่อนำไปวิเคราะห์และวางนโยบายการเงิน โดยปกติแล้ว M1 ช่วยประเมินระดับกิจกรรมเศรษฐกิจและโอกาสเกิดเงินเฟ้อในระยะสั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ

An illustration of a hand holding cash and a debit card representing immediate spending power and M1 definition

ส่วนประกอบสำคัญของ M1: อะไรบ้างที่นับรวม?

M1 ประกอบด้วยองค์ประกอบหลักสองประการที่คล่องตัวสูง ได้แก่:

  • เงินสดในมือประชาชน (Currency in circulation): ครอบคลุมธนบัตรและเหรียญที่หมุนเวียนในสังคม โดยไม่รวมเงินที่ธนาคารพาณิชย์เก็บไว้ในตู้นิรภัยหรือที่ธนาคารกลางถือครอง เงินสดนี้คือรูปแบบที่คล่องตัวที่สุด เพราะใช้จ่ายได้ตรงๆ โดยไม่ต้องรอ
  • เงินฝากกระแสรายวัน (Demand deposits): คือบัญชีที่ถอนเงินได้ทันทีโดยไม่ต้องแจ้งล่วงหน้า เช่น บัญชีออมทรัพย์ที่ใช้บัตรเดบิตหรือแอปธนาคารถอนหรือโอนได้เลย รวมถึงเงินที่ออกเช็คได้ ประเภทนี้คล่องตัวเกือบเท่าเงินสด เนื่องจากแปลงเป็นเงินสดหรือชำระหนี้ได้รวดเร็ว
An illustration showing stacks of banknotes and coins alongside a mobile banking app screen and a checkbook

เปรียบเทียบ M1 กับปริมาณเงินในความหมายกว้าง (M2 และ M3)

การเข้าใจ M1 ให้ชัดเจนยิ่งขึ้นต้องอาศัยการเปรียบเทียบกับปริมาณเงินที่กว้างกว่า เช่น M2 และ M3 ซึ่งแตกต่างกันในเรื่องความคล่องตัวและองค์ประกอบ ปริมาณเงินทั้งหมดถูกแบ่งตามระดับความคล่องตัวในระบบเศรษฐกิจ โดย M1 เป็นตัวที่แคบและคล่องตัวที่สุด ขณะที่ M2 กับ M3 จะเพิ่มสินทรัพย์ทางการเงินที่คล่องตัวน้อยกว่าเข้าไป

ประเภทปริมาณเงิน ส่วนประกอบหลัก ระดับสภาพคล่อง
**M1 (ปริมาณเงินในความหมายอย่างแคบ)** เงินสดในมือประชาชน + เงินฝากกระแสรายวัน (และเงินฝากออมทรัพย์บางส่วนที่ถอนได้ทันที) สูงสุด (ใช้จ่ายได้ทันที)
**M2 (ปริมาณเงินในความหมายอย่างกว้าง)** M1 + เงินฝากออมทรัพย์ + เงินฝากประจำระยะสั้น + กองทุนตลาดเงินบางประเภท ปานกลาง (เปลี่ยนเป็นเงินสดได้ค่อนข้างเร็ว)
**M3 (ปริมาณเงินในความหมายกว้างที่สุด)** M2 + เงินฝากประจำระยะยาว + ตั๋วเงินคลัง + พันธบัตรระยะสั้น และสินทรัพย์ทางการเงินอื่นๆ ต่ำ (ต้องใช้เวลาในการเปลี่ยนเป็นเงินสด)

จากตารางนี้ เราจะเห็นว่าปริมาณเงินแต่ละประเภทถูกออกแบบมาเพื่อจับภาพระดับความคล่องตัวที่แตกต่างกัน

M2 และ M3 ประกอบด้วยอะไรบ้าง?

  • M2: รวม M1 เข้ากับเงินกึ่งสภาพคล่อง เช่น เงินฝากออมทรัพย์ เงินฝากประจำสั้นๆ และหน่วยลงทุนในกองทุนตลาดเงินบางส่วน แม้จะไม่ใช้จ่ายได้ทันทีเหมือน M1 แต่แปลงเป็นเงินสดได้ไม่ยากนัก
  • M3: กว้างที่สุด โดยขยายจาก M2 ด้วยสินทรัพย์ที่คล่องตัวต่ำกว่า เช่น เงินฝากประจำยาวๆ ตั๋วสัญญาใช้เงิน พันธบัตรสั้น หรือสินทรัพย์อื่นๆ ที่ธนาคารกลางกำหนด ซึ่งต้องใช้เวลากว่าจะแปลงเป็นเงินสดสำหรับใช้จ่าย

ความสำคัญของ M1 ต่อเศรษฐกิจและนโยบายการเงินของไทย

M1 ถือเป็นเครื่องมือหลักในการวิเคราะห์พลวัตเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในไทย ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อาศัยข้อมูล M1 เพื่อประเมินสภาพคล่องทั้งระบบ กำลังซื้อของประชาชน และเตือนภัยเงินเฟ้อหรือเงินฝืด การเปลี่ยนแปลงของ M1 สามารถบอกถึงการเคลื่อนไหวในกิจกรรมเศรษฐกิจได้ชัดเจน เช่น ถ้า M1 เพิ่มขึ้นมาก หมายถึงเงินสดและเงินฝากกระแสรายวันหมุนเวียนมากขึ้น ซึ่งอาจกระตุ้นการบริโภคและลงทุน ส่งผลบวกต่อ GDP แต่ถ้าเพิ่มเกินจริงโดยไม่สอดคล้องกับการผลิต ก็อาจจุดประกายเงินเฟ้อ

ธปท. นำ M1 มาพิจารณาในการกำหนดนโยบาย เช่น ปรับอัตราดอกเบี้ยหรือทำ Open Market Operations (OMO) เพื่อควบคุมปริมาณเงิน ถ้า M1 โตเร็วกว่าคาดและเสี่ยงเงินเฟ้อ ธปท. อาจขึ้นดอกเบี้ยเพื่อเย็นเศรษฐกิจและชะลอการขยายตัว

M1 ในบริบทของเศรษฐกิจไทย: การวัดผลและข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย

ในไทย ธปท. มีหน้าที่หลักในการรวบรวม วิเคราะห์ และเผยแพร่ข้อมูลปริมาณเงินรวมถึง M1 ข้อมูลเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของสถิติเศรษฐกิจและการเงินสำคัญ ธปท. ดึงข้อมูลจากธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเพื่อคำนวณ M1 ซึ่งรวมเงินสดในมือประชาชนและเงินฝากกระแสรายวัน ณ สิ้นเดือน จากนั้นนำเสนอในรายงานสถิติการเงินบนเว็บไซต์ที่ทุกคนเข้าถึงได้ เพื่อช่วยวิเคราะห์เศรษฐกิจมหภาค

การติดตาม M1 จาก ธปท. ช่วยให้เข้าใจแนวโน้มสภาพคล่อง เช่น ในช่วงวิกฤตหรือการกระตุ้นเศรษฐกิจ M1 อาจผันผวน สะท้อนพฤติกรรมถือเงินของประชาชน เช่น ในยามไม่แน่นอน อาจถือเงินสดมากขึ้นทำให้ M1 สูง หรือถ้าใช้จ่ายลงทุนมาก M1 ก็จะแสดงภาพนั้นชัดเจน สำหรับตัวอย่าง ในช่วงโควิดที่ธปท. ฉีดสภาพคล่อง M1 ขยายตัวเพื่อรองรับการฟื้นตัว

ผลกระทบของ M1 ต่อชีวิตประจำวันของคนไทยและภาคธุรกิจ

การเปลี่ยนแปลง M1 ไม่ใช่แค่ตัวเลข抽象 แต่กระทบชีวิตประจำวันของคนไทยและธุรกิจโดยตรง

  • ต่อผู้บริโภค: ถ้า M1 เพิ่มเร็วเกินการผลิต อาจเกิดเงินเฟ้อ กำลังซื้อลดลง ต้องจ่ายแพงขึ้นสำหรับของเดิม แต่ถ้า M1 ลดมาก อาจบ่งชี้เศรษฐกิจชะงัก การบริโภคลด ราคาตกแต่เสี่ยงว่างงาน
  • ต่อธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง (SME): M1 สูงช่วยเพิ่มสภาพคล่อง ทำให้เข้าถึงทุนง่ายและผู้บริโภคซื้อมากขึ้น ส่งผลดีต่อยอดขาย แต่ถ้า M1 โตผิดปกตินำเงินเฟ้อ ต้นทุนวัตถุดิบและแรงงานแพง กำไรหด
  • ตัวอย่างในประเทศไทย: มาตรการอย่าง “คนละครึ่ง” หรือ “เราเที่ยวด้วยกัน” ฉีดเงินเข้าประชาชน ทำให้เงินสดและเงินฝากกระแสรายวันเพิ่ม สะท้อนใน M1 ที่สูงชั่วคราว กระตุ้นการใช้จ่ายระดับรากหญ้า

อนาคตของ M1 ในยุคเศรษฐกิจดิจิทัลและ CBDC ของไทย

โลกการเงินกำลังเปลี่ยนแปลงรวดเร็วด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล ซึ่งกระทบต่อการวัดและแนวคิดของ M1 อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การชำระเงินผ่านแอปอย่าง PromptPay, KBank Plus, SCB Easy หรือ e-Wallet กำลังแพร่หลายในไทย การทำธุรกรรมเหล่านี้ยังเชื่อมกับเงินฝากกระแสรายวันใน M1 แต่ทำให้เงินหมุนเร็วขึ้น อาจทำให้การตีความ M1 ซับซ้อนกว่าเดิม

ยิ่งไปกว่านั้น การพัฒนาสกุลเงินดิจิทัลจากธนาคารกลาง (CBDC) ที่ ธปท. กำลังทดสอบ หากนำ Retail CBDC มาใช้จริง CBDC อาจรวมใน M1 หรือแทนที่เงินสดบางส่วน เปลี่ยนโครงสร้าง M1 ไป การถือเงินดิจิทัลจากธปท. โดยตรงจะทำให้ความแตกต่างระหว่างเงินสดและเงินฝากเบลอลง และกระทบการควบคุมปริมาณเงินในอนาคต โดยรวมแล้ว เทคโนโลยีเหล่านี้อาจทำให้ M1 มีบทบาทใหม่ในการติดตามเศรษฐกิจดิจิทัล

สรุป: M1 กุญแจสำคัญสู่ความเข้าใจเศรษฐกิจที่แท้จริง

ปริมาณเงินในความหมายอย่างแคบ (M1) ไม่ใช่แค่สถิติธรรมดา แต่เป็นตัวชี้วัดที่ทรงพลังสำหรับสภาพคล่อง กำลังซื้อ และทิศทางเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเตือนเงินเฟ้อ สะท้อนกิจกรรม หรือเป็นฐานสำหรับนโยบายการเงินของ ธนาคารแห่งประเทศไทย

การรู้จัก M1 ช่วยให้ตีความข่าวเศรษฐกิจ การเคลื่อนไหวราคา และผลจากนโยบายได้อย่างมีเหตุผล โดยเฉพาะในยุคเทคโนโลยีการเงินที่ก้าวหน้า การติดตาม M1 จะยังคงเป็นกุญแจสู่การวิเคราะห์และคาดการณ์เศรษฐกิจไทย

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับปริมาณเงินในความหมายอย่างแคบ (M1)

ปริมาณเงิน M1 ในประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา?

ในช่วง 5 ปีล่าสุด ปริมาณเงิน M1 ในไทยผันผวนตามสถานการณ์เศรษฐกิจและมาตรการของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยเฉพาะช่วงโควิดที่ใช้การกระตุ้น ทำให้ M1 ขยายตัวเพื่อช่วยการใช้จ่ายและบริโภค แต่เพื่อตัวเลขที่ชัดเจน ควรดูรายงานสถิติเศรษฐกิจและการเงินล่าสุดจาก ธปท. เพื่อความถูกต้อง

ธนาคารแห่งประเทศไทย (BOT) ตีความการเพิ่มขึ้นหรือลดลงของ M1 อย่างไร?

ธปท. มองว่าการเพิ่มของ M1 เป็นสัญญาณสภาพคล่องสูงขึ้น ซึ่งบ่งบอกกิจกรรมเศรษฐกิจคึกคักและกำลังซื้อดี ถ้าเพิ่มพอเหมาะก็เป็นเรื่องดี แต่ถ้าเกินไปอาจเตือนเงินเฟ้อ ส่วนการลดลงอาจแสดงสภาพคล่องตึง เศรษฐกิจช้าลง หรือประชาชนกังวลจนถือเงินน้อยลง

การชำระเงินแบบดิจิทัล (เช่น PromptPay, Mobile Banking) ส่งผลต่อปริมาณเงิน M1 ในไทยอย่างไร?

การชำระเงินดิจิทัลอย่าง PromptPay หรือ Mobile Banking ทำให้ธุรกรรมสะดวกและเร็วขึ้น โดยเชื่อมโยงกับเงินฝากกระแสรายวันหรือออมทรัพย์ที่ถอนได้ทันที ซึ่งเป็นส่วนของ M1 มันไม่เปลี่ยนนิยาม M1 โดยตรง แต่เร่งการหมุนเวียนเงิน ทำให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ลดการถือเงินสด และอาจปรับสัดส่วนใน M1 เช่น เงินฝากเพิ่มขึ้นแทนเงินสด

ในฐานะผู้ประกอบการ SME ในไทย ควรใช้ข้อมูล M1 ในการตัดสินใจทางธุรกิจได้อย่างไร?

ผู้ประกอบการ SME สามารถนำ M1 มาเป็นตัวบ่งชี้แนวโน้มเศรษฐกิจและกำลังซื้อได้ดังนี้:

  • ถ้า M1 เพิ่ม อาจหมายถึงกำลังซื้อสูง ควรขยายผลิตหรือเพิ่มสต็อก
  • ถ้า M1 ลด อาจบ่งชี้การใช้จ่ายระมัดระวัง ควรจัดการสต็อกให้รัดกุม
  • นอกจากนี้ M1 ยังช่วยคาดการณ์ดอกเบี้ยและเงินเฟ้อ ซึ่งกระทบต้นทุนกู้และการทำธุรกิจ

M1 ที่สูงขึ้นหมายถึงเศรษฐกิจไทยกำลังดีขึ้นเสมอไปหรือไม่?

ไม่ใช่เสมอไป M1 สูงอาจดีถ้าสะท้อนการเติบโตจริงและบริโภคเพิ่ม แต่ถ้าเพิ่มผิดปกติโดยไม่สอดคล้องกับการผลิต อาจนำเงินเฟ้อที่กระทบกำลังซื้อและเสถียรภาพระยะยาว ดังนั้น ธปท. ต้องดูปัจจัยอื่นๆ ร่วมด้วย

M1 กับอัตราดอกเบี้ยในไทยมีความสัมพันธ์กันอย่างไร?

M1 กับอัตราดอกเบี้ยเชื่อมโยงกันแน่นหนา อัตราดอกเบี้ยนโยบายของ ธปท. กระทบต้นทุนกู้และเงินฝาก ถ้าขึ้นดอกเบี้ยเพื่อลดความร้อนแรง ประชาชนและธุรกิจอาจใช้จ่ายน้อยลงและฝากเงินมากขึ้น ชะลอ M1 แต่ถ้าลดดอกเบี้ยกระตุ้นเศรษฐกิจ M1 อาจเพิ่ม

หากมีเงินสดจำนวนมากในมือประชาชน จะส่งผลต่อ M1 และเศรษฐกิจไทยอย่างไร?

เงินสดจำนวนมากในมือประชาชน (ส่วนของ M1) ถ้าไม่นำไปฝากหรือใช้ทันที อาจบ่งชี้ความไม่แน่นอน ทำให้คนเก็บไว้เพื่อความปลอดภัย ส่งผลให้เงินไม่หมุนเวียนเต็มที่ ชะลอเศรษฐกิจ แต่ถ้านำไปใช้หรือลงทุน จะกระตุ้นสภาพคล่องและการเติบโต

นักลงทุนรายย่อยในตลาดหุ้นไทยควรให้ความสนใจ M1 หรือไม่ และเพราะเหตุใด?

นักลงทุนรายย่อยควรสนใจ M1 เพราะมันบ่งชี้สภาพคล่องระบบและกำลังซื้อ ถ้า M1 เพิ่มเหมาะสม อาจหมายถึงเศรษฐกิจโตและผลประกอบการบริษัทดี สนับสนุนตลาดหุ้น แต่ถ้าลด อาจเตือนเศรษฐกิจช้า กระทบตลาด อย่างไรก็ตาม ควรพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ด้วยในการตัดสินใจลงทุน

發佈留言