การวิเคราะห์งบการเงินคืออะไร และทำไมถึงจำเป็นต่อความอยู่รอดของธุรกิจ?
จินตนาการว่าบริษัทของคุณเหมือนร่างกายมนุษย์คนหนึ่ง — หากไม่มีการตรวจสุขภาพประจำปี เราจะไม่รู้ว่าร่างกายนั้นแข็งแรงจริงหรือแค่ดูดีจากภายนอก หรือมีจุดอ่อนที่ซ่อนอยู่ในระบบใดระบบหนึ่ง การวิเคราะห์งบการเงินก็คล้ายกับการตรวจเอ็กซเรย์ครั้งใหญ่ที่เปิดเผยสุขภาพทางการเงินขององค์กรอย่างละเอียด ช่วยให้ผู้บริหาร นักลงทุน หรือเจ้าหนี้มองเห็นภาพรวม ทั้งจุดแข็ง จุดอ่อน และศักยภาพในการเติบโตในอนาคต
ในทางปฏิบัติ การวิเคราะห์งบการเงิน หรือที่เรียกง่ายๆ ว่า “การอ่านงบ” คือการสกัดข้อมูลเชิงตัวเลขจากงบการเงินหลักทั้งสามฉบับ เพื่อประเมินสถานะทางการเงิน ผลประกอบการ และความสามารถในการรักษากระแสเงินสดของบริษัท ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญต่อการตัดสินใจในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุน การให้สินเชื่อ หรือการวางแผนกลยุทธ์ระยะยาว
ความจำเป็นของการวิเคราะห์นี้แตกต่างกันไปตามบทบาทของแต่ละฝ่าย แต่ทุกคนล้วนมีเป้าหมายเดียวกัน คือ “ลดความไม่แน่นอน” จากการตัดสินใจ
- นักลงทุน ใช้การวิเคราะห์เพื่อกรองหุ้นที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง ไม่ใช่แค่ดูดีจากภายนอก แต่ต้องมีศักยภาพเติบโตจริง ควบคู่ไปกับความเสี่ยงที่อยู่ในระดับที่รับได้ โดยเฉพาะในยุคที่ข่าวลือและอารมณ์ตลาดมีผลต่อราคาหุ้นสูง การพึ่งตัวเลขจึงเป็นทางรอดของนักลงทุนระยะยาว
- SME และผู้ประกอบการ ได้ประโยชน์ทันที เพราะสามารถมองเห็น “จุดรั่ว” ภายในองค์กร เช่น ลูกหนี้ค้างชำระนานเกินไป หรือสินค้าคงคลังที่ติดอยู่ในโกดัง ซึ่งกระทบต่อเงินสดหมุนเวียนโดยตรง การวิเคราะห์จึงช่วยให้ปรับกระบวนการทำงาน ตัดสินใจขยายกิจการ หรือแม้แต่ขอสินเชื่อจากธนาคารได้อย่างมั่นใจ
- เจ้าหนี้และสถาบันการเงิน ต้องการคำตอบเดียว: บริษัทจะจ่ายหนี้ได้หรือไม่? การวิเคราะห์งบการเงินจึงเป็นกรอบประเมินความน่าเชื่อถือของลูกหนี้ ว่ามีความสามารถในการชำระหนี้ทั้งระยะสั้นและระยะยาวหรือไม่ ซึ่งจะส่งผลต่อการอนุมัติวงเงินและเงื่อนไขของสินเชื่อ

รู้ทัน 3 งบการเงินหลัก: หัวใจของการตัดสินใจที่แม่นยำ
หากเปรียบบริษัทเป็นร่างกาย งบการเงินทั้งสามฉบับก็เหมือนผลเลือด ค่าเอกซเรย์ และคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ที่ต้องใช้ร่วมกันเพื่อวินิจฉัยอย่างครบถ้วน ไม่มีงบใดงบหนึ่งที่สามารถบอกทุกอย่างได้เพียงลำพัง
งบดุล (Balance Sheet) – ภาพสะท้อน “ความมั่งคั่ง” ณ เวลาหนึ่ง
งบดุลคือภาพถ่ายทางการเงินของบริษัทในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง เช่น วันที่ 31 ธันวาคมของทุกปี ซึ่งแสดงให้เห็นว่าบริษัทมี “สินทรัพย์” อะไรบ้าง ไม่ว่าจะเป็นเงินสด อาคาร เครื่องจักร หรือลูกหนี้ และที่สำคัญคือสินทรัพย์เหล่านั้นมาจากการลงทุนของเจ้าของ (ส่วนของผู้ถือหุ้น) หรือการกู้ยืม (หนี้สิน)
แก่นหลักของงบนี้อยู่ที่สมการพื้นฐาน:
สินทรัพย์ = หนี้สิน + ส่วนของผู้ถือหุ้น
ตัวอย่างง่ายๆ: หากบริษัทมีสินทรัพย์รวม 10 ล้านบาท และหนี้สิน 4 ล้านบาท แปลว่าส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 6 ล้านบาท ซึ่งแสดงถึง “ทุนของตัวเอง” ที่สามารถรองรับความเสี่ยงได้ หากเกิดภาวะวิกฤต
งบดุลจึงช่วยให้เราเห็นโครงสร้างทางการเงินของบริษัท ว่าพึ่งพาหนี้มากแค่ไหน และมีฐานะการเงินมั่นคงเพียงใด
งบกำไรขาดทุน (Income Statement) – วัด “ความสามารถในการทำกำไร”
ในขณะที่งบดุลเป็นภาพนิ่ง งบกำไรขาดทุนกลับเป็น “วิดีโอ” ที่บันทึกผลการดำเนินงานของบริษัทตลอดระยะเวลาหนึ่ง เช่น 1 ไตรมาส หรือ 1 ปีเต็ม โดยโครงสร้างพื้นฐานคือ:
รายได้ – ต้นทุนและค่าใช้จ่าย = กำไรสุทธิ
งบนี้เปิดโปงว่าบริษัท “ทำเงิน” ได้ดีแค่ไหน ไม่ใช่แค่ยอดขายสูง แต่ต้องดูว่าควบคุมต้นทุนได้หรือไม่ ตัวอย่างเช่น บริษัท A มีรายได้ 50 ล้านบาท แต่ต้นทุนสูงถึง 45 ล้านบาท กำไรเหลือเพียง 5% ขณะที่บริษัท B มีรายได้เพียง 30 ล้านบาท แต่กำไรสุทธิ 10% แสดงว่าบริษัท B บริหารงานมีประสิทธิภาพกว่า
นักวิเคราะห์มักดูแนวโน้มของกำไรสุทธิย้อนหลัง 3-5 ปี เพื่อดูว่าบริษัทเติบโตอย่างยั่งยืนหรือไม่ หรือกำลังเผชิญปัญหา
งบกระแสเงินสด (Cash Flow Statement) – ชี้วัด “ชีพจรของธุรกิจ”
นี่คืองบที่หลายคนมองข้าม แต่กลับเป็นตัวชี้วัดที่ “จริง” ที่สุด เพราะกำไรในงบกำไรขาดทุนอาจยังไม่กลายเป็นเงินสดจริง (เช่น ขายสินค้าแต่ยังไม่ได้รับเงิน) แต่บริษัทต้องใช้เงินสดเพื่อจ่ายค่าแรง ค่าเช่า หรือหนี้สินทันที
งบกระแสเงินสดแบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลัก:
- กิจกรรมดำเนินงาน – เงินสดที่เกิดจากการดำเนินธุรกิจหลัก เช่น การขายสินค้าหรือให้บริการ เป็นส่วนที่สำคัญที่สุด บริษัทที่มีสุขภาพดีควรมีกระแสเงินสดจากกิจกรรมนี้เป็นบวกอย่างสม่ำเสมอ
- กิจกรรมลงทุน – เงินสดที่จ่ายไปหรือได้มาจากการซื้อ/ขายสินทรัพย์ เช่น ซื้อเครื่องจักรใหม่ หรือขายที่ดิน
- กิจกรรมจัดหาเงิน – เงินสดที่ได้จากการกู้ยืม หรือการเพิ่มทุน หรือจ่ายเป็นเงินปันผล
บริษัทที่มีกำไรสูงแต่กระแสเงินสดจากการดำเนินงานติดลบ อาจกำลัง “หายใจไม่ออก” และเสี่ยงต่อการล้มละลายได้แม้จะ “ทำกำไร” อยู่

เทคนิคการวิเคราะห์งบการเงิน: เครื่องมือที่นักลงทุนระดับโลกใช้
เมื่อมีข้อมูลครบถ้วนแล้ว ขั้นต่อไปคือการแปลตัวเลขให้กลายเป็น “ข้อมูลเชิงลึก” ผ่านเทคนิคการวิเคราะห์ที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 3 วิธีหลัก
การวิเคราะห์ตามแนวนอน (Horizontal Analysis)
คือการเปรียบเทียบตัวเลขในงบการเงินช่วงเวลาต่างกัน เช่น เปรียบเทียบรายได้ปี 2566 กับปี 2565 เพื่อดูว่าเติบโตขึ้นกี่เปอร์เซ็นต์ หรือกำไรสุทธิลดลงหรือเพิ่มขึ้นเท่าใด
ตัวอย่าง: หากรายได้ปี 2566 เท่ากับ 120 ล้านบาท และปีก่อนหน้าอยู่ที่ 100 ล้านบาท แสดงว่าเติบโต 20% ซึ่งถือว่าน่าสนใจ แต่หากต้นทุนเพิ่มขึ้นถึง 25% ในขณะที่รายได้เพิ่มแค่ 20% ก็อาจบ่งบอกถึงปัญหาด้านประสิทธิภาพ
วิธีนี้ช่วยให้เห็น “แนวโน้ม” ของบริษัท ว่ากำลังไปในทิศทางใด ดีขึ้นหรือแย่ลง
การวิเคราะห์ตามแนวตั้ง (Vertical Analysis)
เป็นการวิเคราะห์สัดส่วนของแต่ละรายการเทียบกับยอดรวม เช่น ต้นทุนขายคิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของยอดขายรวม หรือลูกหนี้การค้าคิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของสินทรัพย์รวม
ตัวอย่าง: หากบริษัทมียอดขาย 100 ล้านบาท และต้นทุนขาย 70 ล้านบาท แปลว่าต้นทุนขายอยู่ที่ 70% ของรายได้ ซึ่งหากเปรียบเทียบกับอุตสาหกรรมที่มีต้นทุนเฉลี่ย 60% ก็อาจสะท้อนว่าบริษัทบริหารต้นทุนไม่ดีพอ
วิธีนี้เหมาะสำหรับการเปรียบเทียบโครงสร้างทางการเงินระหว่างบริษัทที่มีขนาดต่างกัน หรือวิเคราะห์ปัญหาภายในองค์กร
การวิเคราะห์อัตราส่วนทางการเงิน (Financial Ratio Analysis)
นี่คือวิธีที่ทรงพลังที่สุด เพราะสามารถแปลงตัวเลขเป็น “เครื่องมือวัดประสิทธิภาพ” ได้หลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นสภาพคล่อง ความสามารถในการทำกำไร หรือโครงสร้างหนี้สิน ซึ่งเราจะเจาะลึกเฉพาะอัตราส่วนที่สำคัญที่สุดในหัวข้อถัดไป
เจาะลึกอัตราส่วนวัดสภาพคล่อง: ด่านแรกของการอยู่รอด
“สภาพคล่อง” หรือความสามารถในการจ่ายหนี้ระยะสั้นเป็นปัจจัยชี้เป็นชี้ตายของธุรกิจ หากบริษัทไม่มีเงินสดพอจ่ายค่าใช้จ่ายประจำ เช่น เงินเดือนหรือค่าเช่า แม้มีกำไรในงบดุล ก็อาจต้องปิดกิจการได้ การวิเคราะห์สภาพคล่องจึงเป็นขั้นตอนแรกที่นักวิเคราะห์ทุกคนต้องทำ
อัตราส่วนทุนหมุนเวียน (Current Ratio)
อัตราส่วนนี้บอกว่าบริษัทมี “สินทรัพย์หมุนเวียน” (เช่น เงินสด ลูกหนี้ สินค้าคงคลัง) เป็นกี่เท่าของ “หนี้สินหมุนเวียน” (หนี้ที่ต้องจ่ายภายใน 1 ปี)
- สูตร: สินทรัพย์หมุนเวียน ÷ หนี้สินหมุนเวียน
การตีความ: ค่าที่มากกว่า 1.5–2.0 เท่า ถือว่าปลอดภัย แสดงว่าบริษัทสามารถใช้สินทรัพย์ระยะสั้นชำระหนี้ทั้งหมดได้ หากต่ำกว่า 1.0 เท่า แปลว่าสินทรัพย์ไม่พอหนี้ — สัญญาณเตือนชัดเจนว่าอาจเกิดปัญหาสภาพคล่อง
อัตราส่วนทุนหมุนเวียนเร็ว (Quick Ratio หรือ Acid-Test Ratio)
อัตราส่วนนี้เข้มงวดกว่า เพราะตัด “สินค้าคงคลัง” ออกจากสินทรัพย์หมุนเวียนก่อน ด้วยเหตุผลที่ว่าสินค้าคงคลังอาจใช้เวลานานในการขาย และอาจสูญเสียมูลค่าได้
- สูตร: (สินทรัพย์หมุนเวียน – สินค้าคงคลัง) ÷ หนี้สินหมุนเวียน
การตีความ: ค่ามากกว่า 1.0 เท่า ถือว่าดีเยี่ยม โดยเฉพาะสำหรับธุรกิจค้าปลีก หรืออุตสาหกรรมที่มีสินค้าคงคลังสูง เพราะแสดงว่าบริษัทสามารถชำระหนี้ได้โดยไม่ต้องพึ่งพาการขายสินค้าในสต็อก

ตัวอย่างจริง: วิเคราะห์งบการเงินบริษัท ABC จำกัด
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน เราจะใช้ข้อมูลงบดุลของ “บริษัท ABC จำกัด” ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566 มาวิเคราะห์จริง
รายการงบดุล บริษัท ABC จำกัด | จำนวนเงิน (บาท) |
---|---|
สินทรัพย์หมุนเวียน | |
เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด | 300,000 |
ลูกหนี้การค้า | 450,000 |
สินค้าคงเหลือ | 500,000 |
รวมสินทรัพย์หมุนเวียน | 1,250,000 |
หนี้สินหมุนเวียน | |
เจ้าหนี้การค้า | 350,000 |
เงินกู้ยืมระยะสั้น | 250,000 |
รวมหนี้สินหมุนเวียน | 600,000 |
หนี้สินรวม | 1,000,000 |
ส่วนของผู้ถือหุ้น | 2,000,000 |
เริ่มวิเคราะห์ด้วยการคำนวณอัตราส่วนสำคัญ:
1. Current Ratio
= 1,250,000 ÷ 600,000 = 2.08 เท่า
อยู่ในเกณฑ์ดีมาก เพราะสูงกว่า 2 เท่า แสดงว่ามีสินทรัพย์หมุนเวียนเพียงพอต่อหนี้สินระยะสั้น
2. Quick Ratio
= (1,250,000 – 500,000) ÷ 600,000 = 750,000 ÷ 600,000 = 1.25 เท่า
ยังสูงกว่า 1 เท่า แม้ตัดสินค้าคงคลังออก แสดงว่าบริษัทมีสภาพคล่องที่แข็งแกร่งจริง
3. อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (D/E Ratio)
= หนี้สินรวม ÷ ส่วนของผู้ถือหุ้น = 1,000,000 ÷ 2,000,000 = 0.5 เท่า
แปลว่า บริษัทใช้หนี้เพียง 0.5 บาทต่อทุน 1 บาท ถือว่ามีความเสี่ยงต่ำ และมีฐานะทางการเงินมั่นคง
สรุป: บริษัท ABC จำกัด มีโครงสร้างทางการเงินที่แข็งแกร่ง ทั้งในด้านสภาพคล่อง ความสามารถในการชำระหนี้ และการพึ่งพาทุนของตัวเองมากกว่าหนี้สิน ซึ่งเป็นจุดแข็งสำหรับการขอสินเชื่อหรือดึงดูดนักลงทุน
จากตัวเลขสู่การบริหาร: กลยุทธ์ปรับปรุงสภาพคล่อง
การวิเคราะห์ไม่ใช่จุดหมายปลายทาง แต่คือเครื่องมือในการ “ดำเนินการ” หากพบว่าบริษัทมีปัญหาสภาพคล่อง หรืออัตราส่วนต่ำกว่าเกณฑ์ ควรดำเนินการดังนี้
- สำหรับผู้ประกอบการ:
- จัดการลูกหนี้อย่างเข้มข้น – เร่งเก็บหนี้ ใช้ระบบเตือนหนี้อัตโนมัติ หรือให้ส่วนลดหากจ่ายเงินเร็ว เพื่อเปลี่ยน “ลูกหนี้” ให้กลายเป็น “เงินสด” ได้เร็วขึ้น
- บริหารสต็อกอย่างชาญฉลาด – ลดสินค้าคงคลังที่ไม่จำเป็น โดยใช้ระบบ Just-in-Time หรือวิเคราะห์ข้อมูลการขายเพื่อสั่งสินค้าตามความต้องการจริง ลดต้นทุนจม
- เตรียมแหล่งเงินทุนฉุกเฉิน – ขอวงเงินเบิกเกินบัญชี (O/D) หรือสินเชื่อหมุนเวียนจากธนาคาร เพื่อรับมือกับช่วงที่กระแสเงินสดติดขัด
- สำหรับนักลงทุน:
- ใช้อัตราส่วนสภาพคล่องเป็นตัวกรองเบื้องต้นก่อนลงทุน บริษัทที่มี Current Ratio ต่ำกว่า 1 หรือ Quick Ratio ติดลบ ถือว่ามีความเสี่ยงสูง โดยเฉพาะในช่วงเศรษฐกิจผันผวน
- สามารถศึกษาข้อมูลงบการเงินของบริษัทจดทะเบียนได้จาก เว็บไซต์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อวิเคราะห์แนวโน้มและเทียบกับคู่แข่ง
การบริหารสภาพคล่องอย่างรุกคือหัวใจของความยั่งยืน โดยเฉพาะในยุคที่ความผันผวนทางเศรษฐกิจสูง ข้อมูลจาก ธนาคารแห่งประเทศไทย ชี้ชัดว่า บริษัทที่มีการจัดการเงินสดอย่างมีประสิทธิภาพ มีโอกาสรอดจากวิกฤตมากกว่าถึง 3 เท่า
นอกจากนี้ นักลงทุนรายย่อยสามารถใช้บริการจากแพลตฟอร์มการลงทุนระดับโลก เช่น Moneta Markets ซึ่งให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับงบการเงิน รวมถึงเครื่องมือวิเคราะห์อัตราส่วนทางการเงินแบบเรียลไทม์ ช่วยให้ตัดสินใจได้แม่นยำยิ่งขึ้น โดยเฉพาะนักลงทุนที่เน้นการลงทุนตามพื้นฐาน (Fundamental Analysis)
สรุป: การอ่านงบการเงิน คือทักษะที่เปลี่ยนนักลงทุนธรรมดาให้กลายเป็นมืออาชีพ
การวิเคราะห์งบการเงินอาจดูซับซ้อนด้วยตัวเลขและสูตรคำนวณ แต่เมื่อเข้าใจพื้นฐานแล้ว จะกลายเป็น “ภาษา” ที่ใช้สื่อสารสุขภาพของบริษัทได้อย่างตรงจุด
ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้ประกอบการที่ต้องบริหารบริษัท หรือนักลงทุนที่ตามหาหุ้นดีราคาถูก การอ่านงบการเงินเป็นทักษะที่ต้องฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่แค่ครั้งเดียว แต่ควรทำทุกไตรมาส เพื่อติดตามแนวโน้ม พัฒนาการ และปรับกลยุทธ์ทันท่วงที
งบดุล งบกำไรขาดทุน และงบกระแสเงินสด คือ “แผนที่” ที่บอกว่าบริษัทอยู่ตรงไหน กำลังมุ่งหน้าไปทิศใด และมีแรงต้านอะไรบ้าง อัตราส่วนทางการเงินคือ “เข็มทิศ” ที่ช่วยชี้ทิศทางอย่างแม่นยำ ด้วยเครื่องมือเหล่านี้ คุณจะไม่ต้องตัดสินใจด้วยความกลัว หรือคาดเดาจากข่าวลืออีกต่อไป
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
สภาพคล่องทางการเงินดูได้จากปัจจัยอะไรบ้าง?
สภาพคล่องสามารถประเมินได้จากอัตราส่วนทางการเงินหลัก เช่น อัตราส่วนทุนหมุนเวียน (Current Ratio) และอัตราส่วนทุนหมุนเวียนเร็ว (Quick Ratio) นอกจากนี้ ควรพิจารณากระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงานที่ต้องเป็นบวก และวงจรเงินสด (Cash Conversion Cycle) ที่สั้น ซึ่งแสดงถึงประสิทธิภาพในการแปลงสินทรัพย์เป็นเงินสดได้เร็ว
การวิเคราะห์งบการเงินมีกี่วิธีหลักๆ และวิธีไหนนิยมที่สุด?
มี 3 วิธีหลัก ได้แก่ การวิเคราะห์ตามแนวนอน (Horizontal Analysis) เพื่อดูแนวโน้ม, การวิเคราะห์ตามแนวตั้ง (Vertical Analysis) เพื่อดูสัดส่วนโครงสร้าง, และการวิเคราะห์อัตราส่วนทางการเงิน (Financial Ratio Analysis) ซึ่งเป็นวิธีที่ได้รับความนิยมสูงสุด เนื่องจากให้ข้อมูลเชิงลึกหลายมิติ เช่น กำไร หนี้สิน และสภาพคล่อง
ขั้นตอนแรกในการเริ่มวิเคราะห์งบการเงินคืออะไร?
ขั้นตอนแรกคือการรวบรวมงบการเงินหลัก 3 ฉบับ ได้แก่ งบดุล งบกำไรขาดทุน และงบกระแสเงินสด อย่างน้อย 2–3 ปีย้อนหลัง เพื่อดูแนวโน้ม จากนั้นศึกษาภาพรวมของแต่ละงบ ก่อนคำนวณอัตราส่วนต่างๆ เพื่อประเมินสุขภาพของบริษัท
อัตราส่วน Current Ratio ที่ดีควรมีค่าประมาณเท่าไหร่?
โดยทั่วไป ค่า Current Ratio ที่อยู่ระหว่าง 1.5 ถึง 2.0 เท่า ถือว่าดี แต่ควรพิจารณาตามอุตสาหกรรมด้วย เช่น ธุรกิจค้าปลีกอาจมีค่าสูงกว่า ขณะที่ธุรกิจบริการอาจอยู่ที่ 1.2 เท่าก็เพียงพอ ควรเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมหรือคู่แข่งโดยตรง
ความแตกต่างระหว่าง งบกำไรขาดทุน และ งบกระแสเงินสด คืออะไร?
งบกำไรขาดทุนใช้หลักการบัญชีแบบคงค้าง จึงรวมรายได้ที่ยังไม่ได้รับเงินสด (เช่น ขายเชื่อ) และค่าใช้จ่ายที่ยังไม่จ่าย ส่วนงบกระแสเงินสดแสดงเฉพาะการไหลเข้าออกของ “เงินสดจริง” เท่านั้น จึงสะท้อนสภาพคล่องที่แท้จริงของบริษัทได้ดีกว่า
เราสามารถหาข้อมูลงบการเงินของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ได้จากที่ไหน?
แหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ที่สุดคือ เว็บไซต์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) โดยเข้าไปที่เมนู “ข้อมูลบริษัท/หลักทรัพย์” และค้นหาชื่อบริษัทที่ต้องการ นอกจากนี้ ยังสามารถดูจากรายงานประจำปี (แบบ 56-1 One Report) ที่บริษัทจัดทำไว้
ทำไมนักลงทุนจึงต้องให้ความสำคัญกับการอ่านงบการเงิน?
เพราะงบการเงินคือ “ภาษาของธุรกิจ” ที่บอกสุขภาพและความน่าเชื่อถือของบริษัท การอ่านงบช่วยให้ประเมินมูลค่าที่แท้จริง คาดการณ์แนวโน้ม และตัดสินใจบนพื้นฐานข้อมูล ไม่ใช่ความรู้สึกหรือข่าวลือ ซึ่งเป็นหัวใจของการลงทุนระยะยาว ตามที่ผู้เชี่ยวชาญหลายคนแนะนำ เช่นในบทความของ Money Buffalo
หากบริษัทมีกำไรสูง จะหมายถึงมีสภาพคล่องที่ดีเสมอไปหรือไม่?
ไม่เสมอไป บริษัทอาจมีกำไรสูงในงบกำไรขาดทุน แต่หากลูกหนี้ค้างชำระนาน หรือสินค้าติดสต็อก ก็อาจขาดเงินสดจริง จนเกิด “กำไรทางบัญชีแต่ขาดทุนเงินสด” ดังนั้นต้องดูควบคู่กับงบกระแสเงินสดและอัตราส่วนสภาพคล่องเสมอ