Long และ Short: ไขความลับกลยุทธ์ทำกำไรในตลาดทุกสภาวะ
ในโลกของการลงทุนที่เต็มไปด้วยความผันผวนและโอกาส ตลาดการเงินมีการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา ทั้งขึ้นและลง การทำความเข้าใจกลไกพื้นฐานของการเทรดจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง หากคุณเป็นนักลงทุนมือใหม่ที่กำลังมองหาหนทางสร้างผลกำไร หรือเป็นเทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์แต่ต้องการทบทวนและทำความเข้าใจเชิงลึก บทความนี้จะนำคุณไปสำรวจสองแนวคิดหลักที่อยู่เบื้องหลังการเทรดที่ทรงพลังที่สุด นั่นคือ คำสั่ง Long และ คำสั่ง Short
คุณเคยสงสัยไหมว่า นักลงทุนสามารถทำกำไรได้ทั้งในยามที่ราคาหุ้นพุ่งสูงขึ้นและในยามที่ราคาดิ่งลงได้อย่างไร? คำตอบอยู่ที่การใช้คำสั่ง Long และ Short อย่างชาญฉลาด เราในฐานะผู้ให้ความรู้เชื่อว่า การติดอาวุธทางปัญญาให้กับคุณคือก้าวแรกสู่ความสำเร็จในตลาดการเงิน
ในบทความนี้ เราจะอธิบายความหมายที่แท้จริงของคำสั่งทั้งสอง กลไกการทำกำไรและขาดทุนที่ซับซ้อนแต่สามารถเข้าใจได้ง่าย รวมถึงเครื่องมือทางการเงินที่เหมาะสมกับการใช้งานคำสั่งเหล่านี้ พร้อมทั้งแนะแนวทางในการบริหารความเสี่ยง เพื่อให้คุณสามารถประยุกต์ใช้ความรู้เหล่านี้เพื่อคว้าโอกาสในทุกสถานการณ์ตลาดได้อย่างมั่นใจ
มาเริ่มต้นกันที่แนวคิดพื้นฐานที่สุดในโลกการลงทุน ซึ่งก็คือ คำสั่ง Long หรือที่รู้จักกันในชื่อ Long Position หากคุณเป็นนักลงทุนที่เพิ่งเริ่มต้น ก็น่าจะคุ้นเคยกับคำสั่งนี้ดี เพราะนี่คือการเทรดแบบดั้งเดิมที่เรามักจะนึกถึงเป็นอันดับแรกเมื่อพูดถึงการลงทุนในหุ้นหรือสินทรัพย์ต่างๆ
การเปิดสถานะ Long หมายถึง การที่คุณส่งคำสั่ง “ซื้อ” สินทรัพย์ใดๆ ก็ตาม โดยมีความคาดการณ์ว่าราคาของสินทรัพย์นั้นจะ “ปรับตัวสูงขึ้น” ในอนาคต เป้าหมายสูงสุดคือการทำกำไรจากส่วนต่างของราคา โดยการ “ซื้อถูกและขายแพง” เปรียบเสมือนคุณกำลังซื้อเมล็ดพันธุ์ในวันนี้ ด้วยความหวังว่ามันจะเติบโตเป็นต้นไม้ใหญ่ที่ให้ผลผลิตอันล้ำค่าในวันหน้า
- การเปิดสถานะ Long เป็นวิธีการลงทุนที่พบบ่อยที่สุดในตลาดการเงิน
- คุณสามารถใช้กลยุทธ์ Long ในตลาดที่คาดว่าจะมีแนวโน้มขาขึ้น
- การใช้คำสั่ง Long สามารถช่วยให้คุณสร้างกำไรจากการฟื้นตัวของราคาหุ้น
ลองจินตนาการถึงสถานการณ์สมมติ: สมมติว่าคุณกำลังสนใจหุ้นของบริษัทเทคโนโลยีแห่งหนึ่งชื่อ PEAR (ชื่อสมมุติ) และจากการวิเคราะห์ของคุณ พบว่าบริษัทนี้มีผลประกอบการที่แข็งแกร่ง มีนวัตกรรมใหม่ๆ และมีแนวโน้มที่ราคาหุ้นจะเติบโตในอนาคต
- คุณตัดสินใจส่งคำสั่ง ซื้อหุ้น PEAR ที่ราคา 41 บาทต่อหุ้น
- คุณคาดการณ์ว่าราคาหุ้นจะปรับตัวสูงขึ้น
- เมื่อเวลาผ่านไป ราคาหุ้น PEAR ปรับตัวขึ้นตามที่คุณคาดการณ์ โดยขึ้นไปที่ 42 บาทต่อหุ้น
- คุณจึงตัดสินใจส่งคำสั่ง ขายหุ้น PEAR ที่ราคา 42 บาทต่อหุ้น
ในกรณีนี้ คุณจะทำกำไรได้ 1 บาทต่อหุ้น (42 – 41 = 1 บาท) นี่คือแก่นแท้ของการเปิดสถานะ Long ซึ่งเป็นการลงทุนที่เหมาะสมอย่างยิ่งกับช่วงที่ตลาดอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น (Bull Market) หรือเมื่อคุณมีความเชื่อมั่นในการเติบโตของสินทรัพย์นั้นๆ
การลงทุนแบบ Long นี้มักจะมาพร้อมกับความรู้สึกเชิงบวกในตลาด ผู้คนมีความหวัง และเชื่อมั่นในศักยภาพการเติบโต ซึ่งเป็นสภาวะที่นักลงทุนส่วนใหญ่คุ้นเคยและสบายใจที่จะลงทุน
เพื่อให้คุณเข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงหลักการทำงานของ Long Position เราจะมาเจาะลึกถึงกลไกการคำนวณกำไรและขาดทุน รวมถึงปัจจัยที่ส่งผลต่อผลลัพธ์ของการลงทุนประเภทนี้
ประเภท | สูตรคำนวณ | ตัวอย่าง |
---|---|---|
กำไร | (ราคาขาย – ราคาซื้อ) x จำนวนหน่วยสินทรัพย์ | กำไร = (42 – 41) x 1,000 = 1,000 บาท |
ขาดทุน | (ราคาซื้อ – ราคาขาย) x จำนวนหน่วยสินทรัพย์ | ขาดทุน = (41 – 40) x 1,000 = 1,000 บาท |
หลักการทำกำไรจาก Long Position นั้นเรียบง่าย นั่นคือการที่คุณซื้อสินทรัพย์ในราคาหนึ่ง แล้วสามารถขายสินทรัพย์นั้นในราคาที่สูงกว่าได้ โดยส่วนต่างของราคานี้คือผลกำไรของคุณ
กำไรจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อราคาของสินทรัพย์ที่คุณถืออยู่ปรับตัวขึ้นสูงกว่าราคาที่คุณซื้อมา ยิ่งราคาสูงขึ้นมากเท่าไหร่ กำไรที่คุณจะได้ก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น การตัดสินใจเข้าซื้อ ณ จุดที่เหมาะสม และการวิเคราะห์แนวโน้มตลาดได้อย่างแม่นยำ จึงเป็นหัวใจสำคัญของการสร้างผลตอบแทนจากการเปิดสถานะ Long
แน่นอนว่าทุกการลงทุนย่อมมีความเสี่ยง การเปิดสถานะ Long ก็เช่นกัน คุณจะขาดทุนเมื่อราคาของสินทรัพย์ที่คุณถืออยู่ปรับตัวลดลงต่ำกว่าราคาที่คุณซื้อมา
ประเภท | สูตรคำนวณ | ตัวอย่าง |
---|---|---|
กำไร | (ราคาขาย – ราคาซื้อ) x จำนวนหน่วยสินทรัพย์ | กำไร = (42 – 41) x 1,000 = 1,000 บาท |
ขาดทุน | (ราคาซื้อ – ราคาขาย) x จำนวนหน่วยสินทรัพย์ | ขาดทุน = (41 – 40) x 1,000 = 1,000 บาท |
คุณจะเห็นได้ว่า การเทรดแบบ Long นั้นมีเพดานกำไรที่ไร้ขีดจำกัด หากราคาสินทรัพย์ยังคงปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ก็มีขีดจำกัดการขาดทุนที่จำกัดอยู่แค่เงินลงทุนเริ่มต้น (ไม่นับรวมการใช้เลเวอเรจที่อาจทำให้ขาดทุนมากกว่าเงินลงทุนในบางกรณี) การเข้าใจสมดุลระหว่างกำไรและขาดทุนนี้ จะช่วยให้คุณตัดสินใจลงทุนได้อย่างรอบคอบมากขึ้น
หลังจากที่เราได้ทำความเข้าใจเกี่ยวกับคำสั่ง Long กันไปแล้ว มาถึงอีกหนึ่งคำสั่งที่ทรงพลังไม่แพ้กัน นั่นคือ คำสั่ง Short หรือ Short Position ซึ่งเป็นสิ่งที่อาจจะซับซ้อนขึ้นมาเล็กน้อยสำหรับนักลงทุนมือใหม่ แต่นี่คือหัวใจสำคัญที่ทำให้คุณสามารถสร้างผลกำไรได้แม้ในยามที่ตลาดกำลังอยู่ในช่วงขาลง
การเปิดสถานะ Short หมายถึง การที่คุณส่งคำสั่ง “ขาย” สินทรัพย์ไปก่อน โดยที่คุณยังไม่ได้เป็นเจ้าของสินทรัพย์นั้นๆ ด้วยความคาดการณ์ว่าราคาของสินทรัพย์จะ “ปรับตัวลดลง” ในอนาคต หลังจากที่ราคาลดลงตามที่คาดไว้ คุณจะทำการ “ซื้อคืน” สินทรัพย์นั้นในราคาที่ถูกลง เพื่อคืนให้กับผู้ที่คุณยืมมา เป้าหมายคือการทำกำไรจากส่วนต่างของราคา โดยการ “ขายแพงและซื้อคืนถูก” เปรียบเสมือนคุณกำลังยืมร่มจากเพื่อนมาขายในช่วงที่ฟ้าโปร่ง พอฝนตกแล้วราคาร่มตกต่ำลง คุณก็ไปซื้อร่มอันใหม่ในราคาถูกกว่ามาคืนเพื่อน
แนวคิดดั้งเดิมของการ Short Selling ในตลาดหุ้นคือการ “ยืมหุ้นมาขาย” ยกตัวอย่างเช่น:
- คุณคาดการณ์ว่าหุ้นของบริษัท ORANGE (ชื่อสมมุติ) ซึ่งปัจจุบันมีราคา 41 บาทต่อหุ้น กำลังจะปรับตัวลดลง
- คุณจึง “ยืมหุ้น ORANGE” จำนวน 1,000 หุ้นจากโบรกเกอร์ของคุณ และนำหุ้นที่ยืมมานี้ “ขายออกไปในตลาดทันทีที่ราคา 41 บาท” คุณจะได้รับเงินสด 41,000 บาทจากการขายครั้งนี้
- เมื่อเวลาผ่านไป ราคาหุ้น ORANGE ดิ่งลงตามที่คุณคาดการณ์ จนเหลือ 40 บาทต่อหุ้น
- คุณจึงตัดสินใจ “ซื้อหุ้น ORANGE คืนจำนวน 1,000 หุ้นที่ราคา 40 บาท” คุณจ่ายเงินไป 40,000 บาท
- จากนั้น คุณนำหุ้นที่ซื้อคืนมานี้ “คืนให้กับโบรกเกอร์”
ในกรณีนี้ คุณทำกำไรได้ 1 บาทต่อหุ้น (41 – 40 = 1 บาท) หรือคิดเป็นกำไร 1,000 บาท (ไม่รวมค่าธรรมเนียมการยืมหุ้นและอื่นๆ) นี่คือแก่นของการ Short Selling ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญสำหรับนักลงทุนที่ต้องการทำกำไรจากตลาดหมี (Bear Market) หรือจากสินทรัพย์ที่มีแนวโน้มราคาขาลง
อย่างไรก็ตาม การ Short Selling แบบดั้งเดิมในตลาดหุ้นนั้นค่อนข้างซับซ้อน มีข้อจำกัดเรื่องการยืมหุ้น และมีค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม แต่ในยุคปัจจุบัน แพลตฟอร์มการเทรดและเครื่องมือทางการเงินใหม่ๆ ได้เข้ามาทำให้การเปิดสถานะ Short ทำได้ง่ายและเข้าถึงได้มากขึ้นสำหรับนักลงทุนรายย่อย
ดังที่เราได้กล่าวไปแล้ว การ Short Selling หุ้นแบบดั้งเดิมนั้นอาจมีความยุ่งยากและข้อจำกัดหลายประการ ทั้งในเรื่องของการหาหุ้นเพื่อยืม การมีบัญชีที่รองรับการ Short และกฎระเบียบที่เข้มงวด แต่โชคดีที่ปัจจุบันมีเครื่องมือทางการเงินที่เรียกว่า สัญญาซื้อขายส่วนต่าง (Contract for Difference – CFD) ซึ่งเข้ามาช่วยให้นักลงทุนสามารถเปิดสถานะ Short ในสินทรัพย์หลากหลายประเภทได้อย่างสะดวกและง่ายดายขึ้นมาก
CFD ไม่ใช่การเป็นเจ้าของสินทรัพย์โดยตรง แต่เป็นการทำสัญญาเพื่อแลกเปลี่ยนส่วนต่างของราคาสินทรัพย์ระหว่างจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดของสัญญา คุณจึงไม่จำเป็นต้องยืมหุ้นมาขายจริงๆ แต่เป็นการ “เดิมพัน” กับทิศทางราคาของสินทรัพย์นั้นๆ ว่าจะขึ้นหรือลง
ตามที่เราได้พูดคุยกันไปแล้ว มาเจาะลึกถึงข้อดีของ CFD ที่ทำให้การเปิดสถานะ Short ง่ายขึ้นกันบ้าง:
- ไม่ต้องยืมหุ้น: คุณไม่จำเป็นต้องมีกระบวนการยืมหุ้นจากโบรกเกอร์ ทำให้การเข้าถึงการ Short หุ้นง่ายขึ้นมาก
- หลากหลายสินทรัพย์: CFD รองรับการเทรดสินทรัพย์หลายประเภท ไม่ใช่แค่หุ้น แต่ยังรวมถึงคู่สกุลเงิน (Forex), ดัชนีหุ้น, สินค้าโภคภัณฑ์ และคริปโตเคอร์เรนซี ทำให้คุณมีทางเลือกในการทำกำไรจากแนวโน้มขาลงได้ในตลาดที่กว้างขึ้น
- เลเวอเรจ: CFD มักมีการเสนอเลเวอเรจสูง ซึ่งหมายความว่าคุณสามารถควบคุมสินทรัพย์จำนวนมากได้ด้วยเงินลงทุนเริ่มต้นที่น้อยลง อย่างไรก็ตาม นี่คือดาบสองคมที่เพิ่มทั้งโอกาสกำไรและความเสี่ยงขาดทุน
- ทำกำไรได้ทั้งตลาดขาขึ้นและขาลง: ด้วย CFD คุณสามารถเปิดสถานะ Long (Buy) เมื่อคาดว่าราคาจะขึ้น และเปิดสถานะ Short (Sell) เมื่อคาดว่าราคาจะลง ทำให้คุณมีความยืดหยุ่นในการสร้างกำไรในทุกสภาวะตลาด
หากคุณกำลังพิจารณาเริ่มต้นการเทรด Forex หรือกำลังมองหาแพลตฟอร์มที่นำเสนอสินค้า CFD ที่หลากหลาย โมเนต้า มาร์เก็ตส์ เป็นแพลตฟอร์มที่น่าสนใจและควรค่าแก่การพิจารณา แพลตฟอร์มนี้มาจากออสเตรเลีย และนำเสนอผลิตภัณฑ์ทางการเงินกว่า 1,000 รายการ ไม่ว่าคุณจะเป็นเทรดเดอร์มือใหม่หรือมืออาชีพ ก็สามารถค้นหาสิ่งที่เหมาะสมกับความต้องการของคุณได้อย่างแน่นอน
การเข้ามาของ CFD ได้ปฏิวัติวิธีการที่นักลงทุนสามารถเข้าถึงการทำกำไรจากตลาดขาลง ทำให้กลยุทธ์ Short Position ไม่ใช่เรื่องไกลตัวหรือซับซ้อนอีกต่อไป แต่การทำความเข้าใจในกลไกความเสี่ยงและการบริหารจัดการเงินทุนก็ยังคงเป็นสิ่งสำคัญสูงสุด
ประเภท | สูตรคำนวณ | ตัวอย่าง |
---|---|---|
กำไร | (ราคาขาย – ราคาซื้อคืน) x จำนวนหน่วยสินทรัพย์ | กำไร = (41 – 40) x 1,000 = 1,000 บาท |
ขาดทุน | (ราคาซื้อคืน – ราคาขาย) x จำนวนหน่วยสินทรัพย์ | ขาดทุน = (45 – 41) x 1,000 = 4,000 บาท |
เช่นเดียวกับ Long Position การทำความเข้าใจกลไกการคำนวณกำไรและขาดทุนของ Short Position เป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้คุณสามารถประเมินความเสี่ยงและผลตอบแทนได้อย่างถูกต้อง
โดยสรุปแล้ว การเลือกใช้คำสั่ง Long หรือ Short ขึ้นอยู่กับการวิเคราะห์แนวโน้มตลาดของคุณ และความมั่นใจในทิศทางราคาของสินทรัพย์ การเข้าใจความแตกต่างและข้อจำกัดของแต่ละคำสั่ง จะช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างมีข้อมูลและเพิ่มโอกาสในการทำกำไร
FAQ
Q:Long และ Short คืออะไร?
A:Long คือการเปิดสถานะซื้อคาดหวังกรายได้จากการขึ้นของราคา ในขณะที่ Short คือการเปิดสถานะขายคาดว่าprices จะตกลง
Q:CFD คืออะไร?
A:CFD คือสัญญาซื้อขายส่วนต่างที่ช่วยให้การเทรดสินทรัพย์โดยไม่ต้องเป็นเจ้าของสินทรัพย์จริงๆ
Q:การเทรด Long และ Short มีความเสี่ยงอย่างไร?
A:การเปิดสถานะ Long มีเพดานขาดทุนที่จำกัด แต่การเปิดสถานะ Short อาจมีความเสี่ยงขาดทุนไม่จำกัด