สรุปตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐ (CPI) ล่าสุด เมษายน 2567
ตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ที่วัดจากดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ประจำเดือนเมษายน 2567 ได้รับการเปิดเผยอย่างเป็นทางการแล้ว โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไป (Headline CPI) ขยายตัว 3.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ซึ่งสูงกว่าระดับ 3.2% ของเดือนก่อนหน้า และยังคงอยู่เหนือคาดการณ์ตลาดที่วางไว้ที่ 3.3% ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า แรงกดดันด้านราคาในระบบเศรษฐกิจยังไม่คลี่คลายตามที่คาดหวัง
ในขณะเดียวกัน อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core CPI) ซึ่งตัดหมวดอาหารและพลังงานออกเพื่อลดความผันผวน อยู่ที่ 3.6% YoY สูงกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ 3.5% และแม้จะลดลงเล็กน้อยจาก 3.8% ในช่วงเดือนมีนาคม แต่ก็ยังคงบ่งชี้ถึงภาวะเงินเฟ้อที่ “เหนียวแน่น” โดยเฉพาะในส่วนของบริการ เช่น ค่าเช่าที่อยู่อาศัยและบริการด้านสุขภาพ

ความร้อนแรงของตัวเลขเงินเฟ้อในครั้งนี้ ทำให้ความหวังในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ภายในไตรมาสที่สองต้องเลือนลางลง ขณะที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (FOMC) เองก็เริ่มส่งสัญญาณชัดเจนว่า ต้องการเห็นข้อมูลเศรษฐกิจเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจผ่อนคลายมาตรการคุมเข้ม ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อแนวทางการลงทุนในตลาดการเงินทั่วโลก
ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) คืออะไร และทำไมจึงสำคัญ?
ดัชนีราคาผู้บริโภค หรือ CPI เป็นตัวชี้วัดที่ใช้ประเมินการเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าและบริการที่ผู้บริโภคทั่วไปซื้อใช้ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นอาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ค่าเดินทาง หรือการดูแลสุขภาพ ตัวเลข CPI จึงมีบทบาทสำคัญในฐานะ “เครื่องวัดค่าครองชีพ” ที่สะท้อนภาระค่าใช้จ่ายจริงของประชาชน
สิ่งที่ทำให้ CPI ได้รับความสนใจอย่างมากจากทั้งภาครัฐและนักลงทุน คือการเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่ Fed ใช้ประกอบการตัดสินใจเรื่องนโยบายการเงิน โดยเฉพาะการปรับขึ้นหรือลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย หาก CPI สูงกว่าเป้าหมาย 2% อย่างต่อเนื่อง หมายความว่าเงินเฟ้อยังไม่เข้าสู่ภาวะควบคุม ซึ่งอาจบีบให้ Fed ต้องคงดอกเบี้ยในระดับสูงต่อไป หรือแม้กระทั่งพิจารณาขึ้นดอกเบี้ยเพิ่มเติม

นอกจากนี้ CPI ยังใช้ในการปรับค่าจ้าง บำนาญ และเงินอุดหนุนต่างๆ เพื่อรักษามูลค่าของรายได้ในยุคเงินเฟ้อ ทำให้การเปลี่ยนแปลงของตัวเลขนี้มีผลต่อทั้งระดับมหภาคและจุลภาคของสังคม
เงินเฟ้อทั่วไป (Headline CPI) vs. เงินเฟ้อพื้นฐาน (Core CPI) ต่างกันอย่างไร?
เมื่อติดตามข่าวเศรษฐกิจ นักลงทุนมักเห็นการรายงานทั้ง Headline CPI และ Core CPI ควบคู่กัน เพราะแต่ละตัวชี้วัดให้ข้อมูลที่ต่างกันและมีความหมายเฉพาะ
**เงินเฟ้อทั่วไป (Headline CPI)** คืออัตราเงินเฟ้อที่คำนวณจากตะกร้าสินค้าและบริการทั้งหมดที่ผู้บริโภคใช้จ่ายจริง รวมถึงหมวดที่มีความผันผวนสูงอย่างพลังงานและอาหารสด ซึ่งอาจได้รับผลกระทบจากปัจจัยชั่วคราว เช่น ภัยธรรมชาติ ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง หรือปัญหาซัพพลายเชน ตัวเลขนี้จึงสะท้อนความรู้สึก “เจ็บจริง” ของประชาชนต่อค่าครองชีพในชีวิตประจำวัน
ในทางกลับกัน **เงินเฟ้อพื้นฐาน (Core CPI)** จะตัดหมวดพลังงานและอาหารสดออก เพื่อกรองผลกระทบจากความผันผวนชั่วคราว และมุ่งเน้นไปที่แนวโน้มเงินเฟ้อในระยะยาว ซึ่ง Fed และนักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่มองว่าเป็นตัวชี้วัดที่ดีกว่าในการประเมินว่า เงินเฟ้อกำลัง “ติดราก” หรือไม่ โดยเฉพาะในส่วนของค่าแรงและราคาบริการที่มีความยืดหยุ่นน้อย
วิเคราะห์ผลกระทบของเงินเฟ้อสหรัฐต่อสินทรัพย์การลงทุนทั่วโลก
ตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องภายในประเทศ แต่เป็น “ปัจจัยปั่นป่วน” ที่ส่งคลื่นสะเทือนไปทั่วตลาดการเงินโลก เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีขนาดใหญ่ที่สุด และเงินดอลลาร์คือสกุลเงินสำรองหลักของโลก ท่าทีของ Fed จึงถูกจับตาอย่างใกล้ชิดจากทุกมุมโลก
ผลกระทบต่อตลาดหุ้น (S&P 500, Nasdaq)
โดยทั่วไป เมื่อเงินเฟ้อสูงและ Fed ส่งสัญญาณคงดอกเบี้ยในระดับสูง ตลาดหุ้นมักตอบสนองในทางลบ โดยเฉพาะดัชนี Nasdaq ที่มีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและเติบโต (Growth Stocks) หนัก ซึ่งมีมูลค่าประเมินจากรายได้ในอนาคต การที่อัตราดอกเบี้ยสูงขึ้นจะทำให้มูลค่าปัจจุบันของรายได้อนาคตลดลง (Discounted Cash Flow ลด) ส่งผลให้ราคาหุ้นปรับฐาน
ในขณะเดียวกัน ต้นทุนการกู้ยืมที่สูงขึ้นยังกระทบต่อกำไรของบริษัท โดยเฉพาะบริษัทที่มีหนี้สินจำนวนมาก หรือต้องพึ่งพาเงินทุนจากภายนอกในการขยายธุรกิจ แม้จะมีบริษัทบางกลุ่มที่อาจได้ประโยชน์จากภาวะเงินเฟ้อ แต่ภาพรวมตลาดมักมีความผันผวนเพิ่มขึ้นในช่วงนี้
ผลกระทบต่อทองคำและสินค้าโภคภัณฑ์
ทองคำมักถูกมองว่าเป็นสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ (Inflation Hedge) เนื่องจากมีมูลค่าทางกายภาพและไม่สามารถพิมพ์เพิ่มได้เหมือนเงินกระดาษ อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์นี้ไม่ได้เป็นเชิงเส้นเสมอไป โดยเฉพาะเมื่อเงินเฟ้อนำไปสู่การขึ้นดอกเบี้ยของ Fed
การที่ดอกเบี้ยนโยบายสูงขึ้นจะทำให้ผลตอบแทนจากสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น พันธบัตรรัฐบาล เพิ่มขึ้น ขณะที่ทองคำไม่มีผลตอบแทนเป็นดอกเบี้ย ทำให้ความน่าสนใจลดลง นอกจากนี้ ค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นจากนโยบายคุมเข้มของ Fed ก็มักจะกดดันราคาทองคำให้ปรับตัวลง ดังนั้น ทองคำจะให้ผลตอบแทนดีในช่วงที่ “เงินเฟ้อสูง + ดอกเบี้ยต่ำ” แต่อาจเผชิญแรงขายหาก “เงินเฟ้อสูง + ดอกเบี้ยสูง”
ผลกระทบต่อตลาดตราสารหนี้ (Bond Yield)
เงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูงจะส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Bond Yield) เพิ่มขึ้นโดยตรง เนื่องจากนักลงทุนต้องการผลตอบแทนที่มากพอจะชดเชยการสูญเสียมูลค่าของเงินในอนาคต ตัวอย่างเช่น หากพันธบัตรให้ผลตอบแทน 4% แต่เงินเฟ้ออยู่ที่ 3.5% ผลตอบแทนที่แท้จริง (Real Yield) จะเหลือเพียง 0.5%
เมื่อ Bond Yield เพิ่มขึ้น ราคาของพันธบัตรเดิมจะลดลง เนื่องจากนักลงทุนจะหันไปซื้อพันธบัตรรุ่นใหม่ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า ทำให้กองทุนตราสารหนี้และผู้ถือพันธบัตรระยะยาวเผชิญกับการขาดทุนจากมูลค่าตลาด
ผลกระทบต่อตลาดคริปโทเคอร์เรนซี
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา คริปโทเคอร์เรนซี โดยเฉพาะ Bitcoin ถูกมองว่าเป็น “ทองคำดิจิทัล” หรือสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ อย่างไรก็ตาม ความเป็นจริงในช่วงที่ Fed คุมเข้มกลับตรงกันข้าม โดยตลาดคริปโทฯ มักเคลื่อนไหวเหมือนสินทรัพย์เสี่ยง (Risk-on Asset)
เมื่อสภาพคล่องในระบบลดลงจากนโยบายการเงินที่เข้มงวด นักลงทุนมักขายสินทรัพย์เสี่ยงเพื่อเก็บสภาพคล่อง ส่งผลให้ราคา Bitcoin และ Altcoins ปรับตัวลงอย่างรุนแรง อย่างไรก็ตาม หากแนวคิดเรื่อง “เงินดิจิทัลของธนาคารกลาง (CBDC)” หรือการยอมรับ Bitcoin ในระดับนโยบายเพิ่มขึ้นในอนาคต ความสัมพันธ์อาจเปลี่ยนแปลงไป
สำหรับนักลงทุนที่สนใจตลาดคริปโทฯ Moneta Markets ให้บริการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลผ่าน CFD ด้วยสเปรดต่ำและระบบการดำเนินคำสั่งที่รวดเร็ว ซึ่งช่วยให้สามารถเข้าถึงตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพในทุกสภาวะ
เจาะลึกผลกระทบต่อเศรษฐกิจและนักลงทุนไทย
แม้ประเทศไทยจะไม่ใช่ประเทศที่ตั้งอยู่ในอเมริกา แต่ผลกระทบจากเงินเฟ้อสหรัฐฯ ล้วนส่งผ่านเข้ามาอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง โดยเฉพาะผ่านช่องทางการเงิน การค้า และการเคลื่อนย้ายเงินทุน
เงินเฟ้อสหรัฐส่งผลต่อค่าเงินบาท (THB) อย่างไร?
กลไกหลักคือ “ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย” (Interest Rate Differential) เมื่อเงินเฟ้อสหรัฐฯ สูง ทำให้ Fed ต้องชะลอการลดดอกเบี้ย หรือแม้แต่พิจารณาขึ้นดอกเบี้ยเพิ่ม ในขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อาจยังคงนโยบายผ่อนคลายเพื่อหนุนเศรษฐกิจในประเทศ ส่งผลให้ผลตอบแทนจากสินทรัพย์ที่รับเป็นดอลลาร์สูงกว่าสินทรัพย์ที่รับเป็นบาท
นักลงทุนต่างชาติจึงมีแรงจูงใจที่จะถอนเงินออกจากระบบการเงินไทย และนำเงินไปลงทุนในสหรัฐฯ ผ่านพันธบัตรหรือเงินฝาก ส่งผลให้ความต้องการดอลลาร์เพิ่มขึ้น และค่าเงินบาทอ่อนค่าลง โดยในเดือนเมษายน 2567 ค่าเงินบาทอ่อนแตะระดับ 36.50 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับที่ไม่เคยเห็นมานานหลายปี
กลุ่มอุตสาหกรรมใดในตลาดหุ้นไทย (SET) ที่ได้และเสียประโยชน์?
* **กลุ่มที่ได้ประโยชน์:** บริษัทส่งออก เช่น ผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ผู้ผลิตอาหารแปรรูป หรือผู้ผลิตยางรถยนต์ จะได้รับประโยชน์โดยตรงจากการอ่อนค่าของบาท เพราะรายได้ที่ได้จากต่างประเทศเมื่อแปลงกลับเป็นบาทจะเพิ่มขึ้น ช่วยหนุนกำไรให้ดีขึ้น
* **กลุ่มที่ได้รับผลกระทบ:** บริษัทที่ต้องนำเข้าวัตถุดิบหรือเครื่องจักรจากต่างประเทศ เช่น กลุ่มปิโตรเคมี กลุ่มค้าปลีกที่นำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือย หรือสายการบิน จะมีต้นทุนเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ บริษัทที่มีหนี้สินในสกุลเงินดอลลาร์ก็จะเผชิญภาระดอกเบี้ยและเงินต้นที่เพิ่มขึ้นเมื่อแปลงเป็นบาท
กลยุทธ์ปรับพอร์ตสำหรับนักลงทุนไทย: ควรเพิ่มหรือลดสัดส่วนสินทรัพย์ใด?
ในภาวะที่เงินเฟ้อสหรัฐฯ ยังไม่คลี่คลาย และทิศทางอัตราดอกเบี้ยยังไม่ชัดเจน นักลงทุนควรปรับพอร์ตอย่างระมัดระวัง:
* **พิจารณาเพิ่มน้ำหนัก:** หุ้นกลุ่มส่งออกที่ได้ประโยชน์จากเงินบาทอ่อน, หุ้น Defensive Stocks อย่างโรงพยาบาล ค้าปลีกจำเป็น หรือสาธารณูปโภค ที่มีรายได้มั่นคงแม้เศรษฐกิจชะลอตัว
* **พิจารณาลดหรือชะลอการลงทุน:** หุ้นกลุ่มนำเข้าที่ต้นทุนสูงขึ้น, หุ้นที่มีหนี้สินสูงและไวต่อการเปลี่ยนแปลงดอกเบี้ย, หรือหุ้นกลุ่มการเงินที่อาจได้รับแรงกดดันจากคุณภาพสินเชื่อหากเศรษฐกิจชะลอตัว
สำหรับนักลงทุนที่ต้องการกระจายความเสี่ยงต่างประเทศ Moneta Markets เสนอแพลตฟอร์มการลงทุนที่ครอบคลุมทั้งหุ้น สินค้าโภคภัณฑ์ ค่าเงิน และคริปโทเคอร์เรนซี พร้อมเครื่องมือวิเคราะห์ขั้นสูงที่ช่วยให้ตัดสินใจได้อย่างแม่นยำ
ท่าทีของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) และแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในอนาคต
หลังการประกาศตัวเลข CPI ที่ยังสูงกว่าคาด คณะกรรมการ FOMC ยังคงยืนยันท่าที “ระมัดระวัง” โดยประธาน Fed เจโรม พาวเวลล์ เน้นย้ำว่า ต้องการเห็น “หลักฐานที่ชัดเจนและยั่งยืน” ว่าเงินเฟ้อกำลังลดลงสู่เป้าหมาย 2% ก่อนจะตัดสินใจลดดอกเบี้ย
จากการวิเคราะห์มุมมองของนักเศรษฐศาสตร์จากสถาบันชั้นนำ คาดว่า Fed จะคงอัตราดอกเบี้ยในระดับ 5.25%-5.50% ต่อไปอย่างน้อยจนถึงปลายปี 2567 โดยโอกาสในการปรับลดดอกเบี้ยครั้งแรกอาจเลื่อนไปเป็นไตรมาสแรกของปี 2568 ขึ้นอยู่กับข้อมูลเศรษฐกิจในอนาคต โดยเฉพาะตัวเลขจ้างงานและ Core CPI ในช่วงไตรมาสที่สาม
นักลงทุนสามารถติดตามข้อมูลอย่างเป็นทางการจาก เว็บไซต์ของธนาคารกลางสหรัฐ ซึ่งเผยแพร่ปฏิทินการประชุม แถลงการณ์ และรายงานเศรษฐกิจ (Beige Book) อย่างโปร่งใส
สรุปและคาดการณ์แนวโน้มเงินเฟ้อสหรัฐในช่วงที่เหลือของปี 2567-2568
โดยรวมแล้ว ตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ ล่าสุดชี้ให้เห็นว่าเส้นทางสู่เป้าหมาย 2% ยังคงยาวและต้องใช้เวลา การที่ Core CPI ยังอยู่ในระดับ 3.6% บ่งชี้ว่าแรงกดดันจากค่าแรงและบริการยังไม่คลายตัว

บทวิเคราะห์จาก Bloomberg Economics ประเมินว่าเงินเฟ้อจะยังคงอยู่ในระดับ “เหนียวแน่น” (sticky inflation) อีกหลายไตรมาส โดยต้องจับตาปัจจัยสำคัญ 2 ประการ ได้แก่ 1) ตลาดแรงงานที่ยังแข็งแกร่ง ซึ่งอาจผลักดันค่าจ้างให้สูงขึ้น และ 2) ราคาน้ำมันที่อาจผันผวนจากความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะในตะวันออกกลาง
สำหรับนักลงทุนชาวไทย การติดตามข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยเฉพาะ CPI และท่าทีของ Fed จึงเป็นเรื่องจำเป็นในการบริหารพอร์ตอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในด้านการป้องกันความเสี่ยงจากค่าเงิน การเลือกหุ้นที่ได้ประโยชน์จากภาวะเศรษฐกิจโลก และการกระจายความเสี่ยงไปยังสินทรัพย์ต่างประเทศผ่านแพลตฟอร์มที่เชื่อถือได้ เช่น Moneta Markets ที่ให้บริการซื้อขายทั่วโลกภายใต้การกำกับดูแลตามมาตรฐานสากล
**ตารางข้อมูลเงินเฟ้อสหรัฐ (CPI) ย้อนหลัง (ตัวอย่าง)**
| เดือน/ปี | อัตราเงินเฟ้อทั่วไป (YoY) | อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (YoY) |
|—|—|—|
| ม.ค. 2567 | 3.1% | 3.9% |
| ก.พ. 2567 | 3.2% | 3.8% |
| มี.ค. 2567 | 3.5% | 3.8% |
| เม.ย. 2567 | 3.4% | 3.6% |
ตัวเลข CPI สหรัฐล่าสุดวันนี้ประกาศกี่โมงตามเวลาไทย?
โดยปกติแล้ว สำนักงานสถิติแรงงานสหรัฐ (Bureau of Labor Statistics) จะประกาศตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ในช่วงกลางเดือน เวลา 8:30 น. ตามเวลาท้องถิ่น (ET) ซึ่งจะตรงกับเวลาประมาณ 19:30 น. ตามเวลาประเทศไทย
เงินเฟ้อสหรัฐส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและค่าเงินบาทของไทยอย่างไร?
ผลกระทบหลักคือผ่านช่องทางอัตราดอกเบี้ยและค่าเงิน เมื่อเงินเฟ้อสหรัฐฯ สูง Fed จะคงดอกเบี้ยไว้สูง ทำให้เงินทุนไหลออกจากไทยไปยังสหรัฐฯ ส่งผลให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลง ซึ่งจะกระทบต่อต้นทุนการนำเข้าและภาระหนี้ต่างประเทศ แต่ในทางกลับกันจะเป็นผลดีต่อภาคการส่งออกของไทย
เราจะติดตามตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ เช่น CPI ได้จากเว็บไซต์ใดบ้าง?
แหล่งข้อมูลที่เป็นทางการและน่าเชื่อถือที่สุดคือเว็บไซต์ของหน่วยงานที่เผยแพร่โดยตรง สำหรับตัวเลข CPI สามารถติดตามได้จาก U.S. Bureau of Labor Statistics (BLS) นอกจากนี้ยังสามารถติดตามการรายงานข่าวและบทวิเคราะห์จากสำนักข่าวการเงินชั้นนำ เช่น Bloomberg, Reuters, และ Wall Street Journal
การคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อสหรัฐในปี 2568 และแนวโน้มในอนาคตเป็นอย่างไร?
นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าอัตราเงินเฟ้อสหรัฐจะยังคงชะลอตัวลงอย่างค่อยเป็นค่อยไปในปี 2568 แต่อาจยังไม่กลับสู่เป้าหมาย 2% ของ Fed ได้อย่างสมบูรณ์ ปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตาคือความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจส่งผลต่อราคาพลังงาน และความแข็งแกร่งของตลาดแรงงานที่อาจสร้างแรงกดดันต่อค่าจ้าง
เมื่อ Fed ขึ้นดอกเบี้ยเพื่อสู้กับเงินเฟ้อ จะส่งผลดีหรือผลเสียต่อตลาดหุ้น?
โดยทั่วไปแล้ว การขึ้นดอกเบี้ยมักส่งผลเสียต่อตลาดหุ้นในระยะสั้นถึงกลาง เนื่องจาก
- เพิ่มต้นทุนการกู้ยืมของบริษัท
- ทำให้ผลตอบแทนจากการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงน่าสนใจน้อยลงเมื่อเทียบกับสินทรัพย์ปลอดภัย
- อาจชะลอการเติบโตทางเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตาม หากการขึ้นดอกเบี้ยสามารถควบคุมเงินเฟ้อได้สำเร็จ ในระยะยาวก็จะสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจซึ่งเป็นผลดีต่อตลาดหุ้น
เงินเฟ้อสหรัฐที่สูงขึ้น ส่งผลต่อราคาทองคำและน้ำมันอย่างไร?
ทองคำ: ความสัมพันธ์ซับซ้อน ในแง่หนึ่ง เงินเฟ้อสูงทำให้คนหันมาถือทองคำเพื่อรักษามูลค่า แต่ในอีกแง่หนึ่ง การที่ Fed ขึ้นดอกเบี้ยเพื่อสู้เงินเฟ้อจะทำให้ดอลลาร์แข็งค่า ซึ่งเป็นปัจจัยกดดันราคาทองคำ
น้ำมัน: เงินเฟ้อสูงมักเกิดควบคู่ไปกับราคาน้ำมันที่สูง เนื่องจากพลังงานเป็นต้นทุนสำคัญของทุกอย่าง อย่างไรก็ตาม หากการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวรุนแรง ก็อาจทำให้ความต้องการใช้น้ำมันลดลงและส่งผลให้ราคาปรับตัวลงได้
นักลงทุนรายย่อยควรปรับพอร์ตการลงทุนอย่างไรในช่วงที่เงินเฟ้อผันผวน?
นักลงทุนควรเน้นการกระจายความเสี่ยง (Diversification) และพิจารณาลงทุนในสินทรัพย์ที่สามารถทนทานต่อภาวะเงินเฟ้อได้ดี เช่น หุ้นในกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากเงินบาทอ่อน (ส่งออก), หุ้นกลุ่มสินค้าจำเป็น (Defensive Stocks), หรือสินทรัพย์ทางเลือกอื่นๆ การทบทวนสัดส่วนการลงทุนและหลีกเลี่ยงการลงทุนในบริษัทที่มีหนี้สินสูงเป็นสิ่งสำคัญ
ดัชนี PCE (Personal Consumption Expenditures) ที่ Fed ใช้ดูเงินเฟ้อ ต่างจาก CPI อย่างไร?
PCE เป็นมาตรวัดเงินเฟ้ออีกตัวที่ Fed ให้ความสำคัญอย่างมาก ความแตกต่างที่สำคัญคือ
- ขอบเขต: PCE ครอบคลุมการใช้จ่ายที่กว้างกว่า CPI โดยรวมค่าใช้จ่ายที่จ่ายโดยนายจ้างหรือรัฐบาล (เช่น ประกันสุขภาพ)
- การถ่วงน้ำหนัก: PCE สามารถปรับเปลี่ยนสัดส่วนของสินค้าในตะกร้าได้ตามพฤติกรรมการบริโภคที่เปลี่ยนไป (Substitution Effect) ทำให้หลายคนมองว่าสะท้อนภาพได้ดีกว่า CPI ที่ใช้ตะกร้าสินค้าคงที่
โดยทั่วไปแล้ว ตัวเลข PCE มักจะต่ำกว่า CPI เล็กน้อย