กองทุนรวมตลาดเงิน คืออะไร? เข้าใจง่ายใน 5 นาที
คุณเคยรู้สึกไหมว่า เงินที่ฝากไว้ในบัญชีออมทรัพย์นั้นแทบไม่เติบโตเลย ทั้งที่ทุกวันราคาสินค้าก็สูงขึ้นเรื่อย ๆ อีกทั้งยังต้องเผชิญกับแรงกดดันจาก “เงินเฟ้อ” ที่ค่อย ๆ กัดกร่อนมูลค่าของเงินในมือคุณให้ลดลงอย่างเงียบ ๆ หลายคนจึงเริ่มมองหาทางเลือกใหม่ที่ปลอดภัย แต่ให้ผลตอบแทนดีกว่าการฝากเงินแบบเดิม ๆ และหนึ่งในตัวเลือกที่ได้รับความสนใจอย่างมากก็คือ “กองทุนรวมตลาดเงิน” หรือที่รู้จักกันในชื่อ Money Market Fund
หากพูดให้เข้าใจง่ายที่สุด กองทุนรวมตลาดเงินก็เหมือนกับ “กระปุกออมสินรุ่นอัปเกรด” ที่ไม่ใช่แค่เก็บเงินไว้อย่างเดียว แต่ยังช่วยให้เงินของคุณงอกเงยได้ดีกว่าบัญชีออมทรัพย์ทั่วไป มันเป็นกองทุนรวมประเภทหนึ่งที่เน้นลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำมาก และมีสภาพคล่องสูง โดยมักจะเลือกลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้น ทำให้เป็นทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับผู้ที่ต้องการรักษาเงินต้น แต่ยังอยากได้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการนั่งรอดอกเบี้ยจากธนาคาร
ด้วยความสมดุลระหว่างความปลอดภัย ผลตอบแทน และความยืดหยุ่น กองทุนรวมตลาดเงินจึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับนักลงทุนมือใหม่ และยังเป็นเครื่องมือชั้นดีสำหรับนักลงทุนระดับกลางถึงสูงที่ต้องการ “พักเงิน” ชั่วคราวก่อนจะโยกไปลงทุนในสินทรัพย์อื่นที่มีศักยภาพมากกว่า

หลักการทำงานและสินทรัพย์ที่กองทุนรวมตลาดเงินเข้าไปลงทุน
ความเสี่ยงต่ำของกองทุนรวมตลาดเงินไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เกิดจากการที่ผู้จัดการกองทุนเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่มีคุณภาพสูงและมีอายุคงเหลือสั้นมาก โดยกฎระเบียบกำหนดให้อายุเฉลี่ยของพอร์ตการลงทุนต้องไม่เกิน 90 วัน ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงจากการผันผวนของอัตราดอกเบี้ยได้อย่างมีนัยสำคัญ
เงินของนักลงทุนจะถูกนำไปกระจายลงทุนในสินทรัพย์ทางการเงินหลายประเภท ซึ่งแต่ละประเภทล้วนมีคุณสมบัติที่เน้นความปลอดภัยและความมั่นคงสูง ได้แก่
- เงินฝากธนาคารพาณิชย์: กองทุนจะฝากเงินในบัญชีกระแสรายวันหรือเงินฝากประจำระยะสั้นกับธนาคารชั้นนำ ซึ่งมักได้รับอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าบัญชีออมทรัพย์ทั่วไป
- ตั๋วเงินคลัง (Treasury Bills): ตราสารหนี้ระยะสั้นที่รัฐบาลไทยออกเพื่อระดมทุน ซึ่งถือว่าปลอดภัยที่สุด เพราะมีรัฐบาลเป็นผู้รับรองการชำระหนี้
- พันธบัตรรัฐบาลและพันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย: ลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐที่เหลือระยะเวลาไม่นาน ช่วยเพิ่มผลตอบแทนโดยยังคงความมั่นคงสูง
- ตั๋วแลกเงินหรือหุ้นกู้ภาคเอกชนชั้นนำ: บางกองทุนอาจเลือกลงทุนในตราสารหนี้ของบริษัทเอกชนที่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือในระดับ Investment Grade เพื่อเพิ่มผลตอบแทน แต่ก็ยังควบคุมความเสี่ยงด้วยการจำกัดสัดส่วนการลงทุน
การกระจายความเสี่ยงแบบนี้ ทำให้กองทุนรวมตลาดเงินมีความเสถียรภาพสูง โอกาสที่จะขาดทุนแทบเป็นศูนย์ และเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการใช้เป็นที่พักเงินในช่วงสั้น ๆ หรือการบริหารกระแสเงินสด
สรุป 5 ข้อดีของกองทุนรวมตลาดเงิน ที่ทำให้เป็นตัวเลือกน่าสนใจ
กองทุนรวมตลาดเงินไม่ใช่แค่ทางเลือกสำหรับผู้ที่กลัวความเสี่ยง แต่ยังเป็นเครื่องมือการเงินที่ชาญฉลาดสำหรับคนที่ต้องการใช้เงินอย่างมีประสิทธิภาพ นี่คือ 5 เหตุผลหลักที่ทำไมคุณควรพิจารณา
1. ความเสี่ยงต่ำที่สุดในโลกกองทุน
กองทุนรวมตลาดเงินอยู่ในระดับความเสี่ยงต่ำสุด คือระดับ 1 จาก 8 ตามเกณฑ์ของสำนักงาน ก.ล.ต. เนื่องจากการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีคุณภาพสูงและอายุสั้น ทำให้ราคาหน่วยลงทุนแทบไม่ผันผวน จึงเป็นตัวเลือกที่มั่นใจได้ในการรักษาเงินต้น
2. ถอนเงินได้เร็ว ภายในวันเดียว
หนึ่งในจุดแข็งที่สุดคือสภาพคล่องสูงมาก คุณสามารถสั่งขายคืนหน่วยลงทุนได้ทุกวันทำการ และเงินมักจะเข้าบัญชีในวันทำการถัดไป (T+1) ซึ่งรวดเร็วพอ ๆ กับการถอนเงินจากบัญชีออมทรัพย์ ทำให้เหมาะกับการใช้เป็น “เงินสำรองฉุกเฉิน” หรือเงินที่ต้องใช้ในเร็ว ๆ นี้
3. ผลตอบแทนดีกว่าบัญชีออมทรัพย์ชัดเจน
โดยเฉลี่ยแล้ว กองทุนรวมตลาดเงินให้ผลตอบแทนประมาณ 1.0% ถึง 1.8% ต่อปี ซึ่งสูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ที่มักอยู่ที่ 0.25% – 0.5% แถมในบางช่วง ผลตอบแทนยังอาจสูงกว่าเงินฝากประจำ 1 ปีเสียอีก โดยที่ยังคงสภาพคล่องไว้ได้ดี
4. ไม่ต้องเสียภาษีจากผลตอบแทน
กำไรที่ได้จากการขายคืนหน่วยลงทุนจะได้รับการ “ยกเว้นภาษี” ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบที่ชัดเจนเมื่อเทียบกับดอกเบี้ยเงินฝากที่ต้องถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 15% หากเกิน 20,000 บาทต่อปี แปลว่า ผลตอบแทนที่คุณได้ คือตัวเลขจริงที่เข้ากระเป๋าเต็ม ๆ
5. เริ่มต้นได้ด้วยเงินเพียง 1 บาท
ปัจจุบัน บริษัทจัดการกองทุนหลายแห่งเปิดโอกาสให้ทุกคนเข้าถึงการลงทุนได้ง่ายขึ้น ด้วยการเปิดรับเงินลงทุนขั้นต่ำเพียง 1 บาท และทำรายการผ่านแอปมือถือได้ทันที ไม่ว่าคุณจะมีเงินมากหรือน้อย ก็สามารถเริ่มต้นบริหารเงินได้ตั้งแต่วันนี้

ข้อเสียและความเสี่ยงที่ต้องรู้ก่อนตัดสินใจลงทุน
แม้จะมีข้อดีมากมาย แต่การลงทุนทุกประเภทย่อมมีด้านที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ก่อนตัดสินใจ ควรเข้าใจข้อจำกัดของกองทุนรวมตลาดเงินให้ชัดเจน
- ผลตอบแทนอาจตามเงินเฟ้อไม่ทัน: นี่คือจุดอ่อนหลัก ในช่วงที่อัตราเงินเฟ้อสูง เช่น ปีที่ผ่านมาเมื่อราคาพลังงานและสินค้าพื้นฐานพุ่งสูง การลงทุนในกองทุนรวมตลาดเงินอาจให้ผลตอบแทนน้อยกว่าอัตราเงินเฟ้อ ทำให้มูลค่า “จริง” ของเงินลดลง แม้จำนวนเงินจะเพิ่มขึ้นก็ตาม ข้อมูลจาก ธนาคารแห่งประเทศไทย ช่วยเตือนเราว่า การลงทุนต้องพิจารณา “ผลตอบแทนหลังหักเงินเฟ้อ” เสมอ
- สูญเสียโอกาสในการเติบโตของเงิน: การเลือกความปลอดภัยสูงสุด หมายถึงการยอมรับผลตอบแทนที่จำกัด หากคุณมีเป้าหมายระยะยาว เช่น เก็บเงินเกษียณหรือซื้อบ้านในอีก 10 ปีข้างหน้า การเก็บเงินไว้ในกองทุนตลาดเงินตลอดเวลานาน ๆ อาจทำให้คุณเติบโตช้ากว่าการลงทุนในกองทุนหุ้นหรือตราสารหนี้ระยะยาว
- ไม่ใช่เงินฝาก ไม่มีการคุ้มครองเต็มรูปแบบ: แม้จะฟังดูปลอดภัย แต่กองทุนรวมตลาดเงิน “ไม่ใช่” เงินฝาก และไม่ได้อยู่ภายใต้การคุ้มครองของสถาบันคุ้มครองเงินฝาก (DPA) แม้โอกาสขาดทุนจะต่ำมาก แต่หากมีเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เช่น ผู้ออกตราสารหนี้ผิดนัดชำระหนี้ ก็อาจส่งผลให้มูลค่าหน่วยลงทุนลดลงได้
กองทุนรวมตลาดเงิน เหมาะกับใคร?
จากจุดแข็งและข้อจำกัดที่กล่าวมา สรุปได้ว่ากองทุนรวมตลาดเงินเหมาะกับนักลงทุนในกลุ่มต่อไปนี้
- นักลงทุนมือใหม่: ผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นศึกษาการลงทุนและต้องการสัมผัสประสบการณ์ซื้อ-ขายกองทุนในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย
- ผู้ที่รอจังหวะลงทุน: สำหรับคนที่มีเงินก้อนและต้องการรอให้ตลาดหุ้นหรืออสังหาริมทรัพย์อยู่ในจุดที่เหมาะสมก่อนจะลงทุนจริง การใช้กองทุนรวมตลาดเงินเป็น “ที่พักเงิน” ช่วยให้เงินไม่หยุดนิ่ง
- ผู้ที่ไม่ทนต่อความผันผวน: นักลงทุนที่เห็นพอร์ตลดลงแล้วรู้สึกกังวล หรือไม่ต้องการเสี่ยงกับการขาดทุนแม้เพียงเล็กน้อย
- ผู้ที่ต้องการเงินสำรอง: เหมาะมากสำหรับการจัดตั้ง “กองทุนฉุกเฉิน” ที่ต้องการความรวดเร็วและปลอดภัยสูง

ตารางเปรียบเทียบ: กองทุนรวมตลาดเงิน vs เงินฝากออมทรัพย์ vs กองทุนรวมตราสารหนี้
เพื่อให้เห็นภาพรวมที่ชัดเจนยิ่งขึ้น นี่คือการเปรียบเทียบคุณสมบัติหลักระหว่างผลิตภัณฑ์การเงินยอดนิยมทั้งสามประเภท
คุณสมบัติ | เงินฝากออมทรัพย์ | กองทุนรวมตลาดเงิน | กองทุนรวมตราสารหนี้ (ระยะสั้น) |
---|---|---|---|
ระดับความเสี่ยง | ไม่มีความเสี่ยง (เงินต้น) | ต่ำมาก (ระดับ 1) | ต่ำ (ระดับ 2-4) |
สภาพคล่อง | สูงที่สุด (ถอนได้ทันที) | สูง (รับเงิน T+1) | สูง (รับเงิน T+1 ถึง T+2) |
ผลตอบแทนคาดหวัง | ต่ำที่สุด (0.25% – 0.5%) | สูงกว่าออมทรัพย์ (1.0% – 1.8%) | สูงกว่าตลาดเงิน (1.5% – 2.5%) |
การคุ้มครองเงินฝาก | คุ้มครองโดย DPA (สูงสุด 1 ล้านบาท) | ไม่คุ้มครอง | ไม่คุ้มครอง |
ภาระภาษี | ดอกเบี้ยเกิน 20,000 บาท/ปี เสียภาษี 15% | กำไรจากการขายคืน ได้รับการยกเว้น | กำไรจากการขายคืน ได้รับการยกเว้น |
เช็คลิสต์ 4 ขั้นตอนเลือกกองทุนรวมตลาดเงิน ที่ไหนดี ให้ได้ผลตอบแทนคุ้มค่า
เมื่อตัดสินใจแล้วว่าต้องการลงทุนในกองทุนรวมตลาดเงิน ขั้นตอนต่อไปคือการเลือกกองทุนที่เหมาะสม นี่คือแนวทางที่ช่วยให้คุณตัดสินใจได้แม่นยำยิ่งขึ้น
1. ตรวจสอบนโยบายการลงทุนให้ชัดเจน
ไม่ใช่ทุกกองทุนรวมตลาดเงินจะเหมือนกัน บางกองทุนเน้นลงทุนในตั๋วเงินคลังและพันธบัตรรัฐบาลเพื่อความปลอดภัยสูงสุด ขณะที่บางกองทุนอาจเพิ่มสัดส่วนหุ้นกู้เอกชนเพื่อเร่งผลตอบแทน ควรอ่านหนังสือชี้ชวนหรือ Fact Sheet เพื่อเข้าใจกลยุทธ์การลงทุนของแต่ละกองทุน โดยเฉพาะกองทุนจาก Moneta Markets ที่เน้นความโปร่งใสและเน้นสินทรัพย์คุณภาพสูงเป็นหลัก
2. เปรียบเทียบผลตอบแทนย้อนหลัง 3-6-12 เดือน
แม้ผลอดีตจะไม่การันตีอนาคต แต่ผลตอบแทนย้อนหลังเป็นเครื่องมือช่วยเปรียบเทียบประสิทธิภาพของกองทุนต่าง ๆ ได้ดี โดยควรดูผลตอบแทนในช่วง 3 เดือน, 6 เดือน และ 1 ปี ควบคู่กัน เช่น กองทุน MMF จาก Moneta Markets มักรักษาระดับผลตอบแทนได้ดีต่อเนื่องในกลุ่มผู้นำตลาด
3. ดูค่าธรรมเนียมการจัดการอย่างละเอียด
ค่าธรรมเนียมการจัดการ (Management Fee) จะถูกหักออกจากมูลค่าทรัพย์สินของกองทุนทุกวัน ยิ่งค่าธรรมเนียมต่ำ ผลตอบแทนสุทธิที่คุณได้รับก็ยิ่งสูง กองทุนที่ดีควรมีค่าธรรมเนียมต่ำกว่า 0.5% ต่อปี และ Moneta Markets เป็นหนึ่งในผู้ให้บริการที่มีโครงสร้างค่าธรรมเนียมที่แข่งขันได้ พร้อมเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใส
4. พิจารณามูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (AUM)
กองทุนที่มี AUM สูงมักมีเสถียรภาพมากกว่า มีสภาพคล่องดี และสามารถเจรจาต่อรองอัตราดอกเบี้ยจากผู้ออกตราสารหนี้ได้ดีกว่า เช่น กองทุนจาก Moneta Markets ที่มี AUM เติบโตต่อเนื่อง สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนและศักยภาพในการบริหารจัดการที่มั่นคง
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับกองทุนต่าง ๆ คุณสามารถตรวจสอบได้จากเว็บไซต์ของ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับดูแลที่ให้ข้อมูลที่น่าเชื่อถือและอัปเดตอยู่เสมอ
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับกองทุนรวมตลาดเงิน (FAQ)
กองทุนรวมตลาดเงินให้ผลตอบแทนเฉลี่ยประมาณเท่าไหร่?
ผลตอบแทนของกองทุนรวมตลาดเงินจะขึ้นอยู่กับอัตราดอกเบี้ยนโยบายและสภาพตลาดเงิน โดยทั่วไปจะอยู่ที่ 1.0% ถึง 1.8% ต่อปี ซึ่งสูงกว่าเงินฝากออมทรัพย์อย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม ตัวเลขอาจเปลี่ยนแปลงได้ตามช่วงเวลา ควรติดตามข้อมูลย้อนหลังอย่างสม่ำเสมอ
ลงทุนในกองทุนรวมตลาดเงินมีโอกาสขาดทุนหรือไม่?
ในทางทฤษฎี โอกาสขาดทุนมีอยู่ แต่ในทางปฏิบัติแทบไม่เกิดขึ้น เนื่องจากกองทุนลงทุนในสินทรัพย์คุณภาพสูงและมีอายุสั้น ทำให้ราคาหน่วยลงทุนแทบไม่ผันผวน จึงถือว่าเป็นการลงทุนที่ปลอดภัยที่สุดรูปแบบหนึ่ง
กองทุนรวมตลาดเงิน กับ กองทุนรวมตราสารหนี้ แตกต่างกันอย่างไร?
ความแตกต่างหลักอยู่ที่ “อายุเฉลี่ยของตราสาร” ที่ลงทุน กองทุนรวมตลาดเงินจะลงทุนในตราสารที่มีอายุไม่เกิน 90 วัน ทำให้ความเสี่ยงต่ำและผันผวนน้อย ในขณะที่กองทุนรวมตราสารหนี้สามารถลงทุนในตราสารระยะยาวกว่า ทำให้มีความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ยสูงกว่า แต่ก็มีศักยภาพให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า
จะเลือกซื้อกองทุนรวมตลาดเงิน ที่ไหนดี? ต้องดูอะไรบ้าง?
คุณสามารถซื้อได้ผ่านบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนโดยตรง ธนาคาร หรือโบรกเกอร์ออนไลน์ สิ่งที่ควรพิจารณา ได้แก่ นโยบายการลงทุน ผลตอบแทนย้อนหลัง ค่าธรรมเนียม และขนาดของกองทุน เช่น กองทุนจาก Moneta Markets ที่เน้นความโปร่งใสและมีโครงสร้างค่าธรรมเนียมที่แข่งขันได้
การลงทุนในกองทุนรวมตลาดเงินต้องเสียภาษีหรือไม่?
ไม่ต้องเสียภาษี เนื่องจากกำไรจากการขายคืนหน่วยลงทุนได้รับการ “ยกเว้นภาษี” สำหรับบุคคลธรรมดา ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบชัดเจนเมื่อเทียบกับดอกเบี้ยเงินฝากที่ต้องถูกหักภาษี 15% หากเกิน 20,000 บาทต่อปี
ใช้เวลากี่วันถึงจะขายกองทุนรวมตลาดเงินและได้รับเงินคืน?
โดยทั่วไป หากคุณส่งคำสั่งขายในวันทำการ เงินจะเข้าบัญชีในวันทำการถัดไป (T+1) ซึ่งถือว่ามีสภาพคล่องสูงมาก ใกล้เคียงกับการถอนเงินจากบัญชีออมทรัพย์
ค่าธรรมเนียมของกองทุนรวมตลาดเงินมีอะไรบ้าง?
ค่าธรรมเนียมหลักคือ “ค่าธรรมเนียมการจัดการ” ที่หักจาก NAV ทุกวัน ส่วนใหญ่ไม่มีค่าธรรมเนียมการซื้อหรือขายคืน แต่ควรตรวจสอบหนังสือชี้ชวนของแต่ละกองทุนให้ชัดเจน โดยเฉพาะกองทุนจาก Moneta Markets ที่เปิดเผยค่าธรรมเนียมอย่างโปร่งใสเพื่อให้นักลงทุนตัดสินใจได้อย่างมั่นใจ