66, Broklyn St, New York, USA
Turning big ideas into great services!

grid trading คือกลยุทธ์ทำกำไรจากความผันผวนในตลาดการเงิน 2025

Home / ข่าวตลาดเงิน / gri...

meetcinco_com | 23 7 月

grid trading คือกลยุทธ์ทำกำไรจากความผันผวนในตลาดการเงิน 2025

การเทรดแบบ Grid: กลยุทธ์ทำกำไรจากความผันผวนในตลาดการเงิน

ในโลกของการลงทุนที่เต็มไปด้วยความผันผวนและไม่แน่นอน การค้นหากลยุทธ์ที่สามารถทำกำไรได้โดยไม่ต้องอาศัยการคาดเดาทิศทางตลาดที่แม่นยำจึงเป็นสิ่งที่นักลงทุนหลายคนใฝ่หา และนี่คือจุดที่ การเทรดแบบ Grid หรือ Grid Trading เข้ามามีบทบาท กลยุทธ์นี้เป็นหนึ่งในแนวทางที่ชาญฉลาดซึ่งออกแบบมาเพื่อใช้ประโยชน์จากการเคลื่อนไหวของราคาภายในกรอบที่กำหนดไว้ ไม่ว่าตลาดจะขึ้น ลง หรือเคลื่อนที่แบบไซด์เวย์ก็ตาม

ในบทความนี้ เราจะพาคุณเจาะลึกถึงหลักการทำงานของ Grid Trading ทำความเข้าใจข้อดีและข้อเสียที่สำคัญ รวมถึงปัจจัยที่คุณต้องพิจารณาเพื่อเพิ่มโอกาสในการทำกำไรและบริหารความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ เรายังจะสำรวจการประยุกต์ใช้กลยุทธ์นี้ในตลาดจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลและฟอเร็กซ์ ซึ่งกำลังได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในประเทศไทย พร้อมทั้งเปิดเผยข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับโอกาสและสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่อาจเป็นประโยชน์ต่อคุณ

ความผันผวนของตลาดการเงิน

การเทรดแบบ Grid คืออะไรและทำงานอย่างไร?

การเทรดแบบ Grid เป็นกลยุทธ์เชิงปริมาณที่อาศัยการวางคำสั่งซื้อและขายล่วงหน้าเป็นระดับๆ คล้ายกับการสร้าง “ตาข่าย” หรือ “กริด” ดักจับการเคลื่อนไหวของราคา หลักการสำคัญคือการใช้ประโยชน์จากความผันผวนของราคาโดยไม่จำเป็นต้องทำนายทิศทางตลาดที่ชัดเจน ไม่ว่าราคาจะขึ้นหรือลงภายในกรอบที่เรากำหนดไว้ คำสั่งซื้อขายที่ตั้งไว้ล่วงหน้าก็จะถูกดำเนินการอย่างต่อเนื่อง สร้างกำไรจากส่วนต่างราคาที่เกิดขึ้นซ้ำๆ

ลองจินตนาการว่าคุณกำลังเทรดคู่สกุลเงิน EUR/USD แทนที่จะพยายามคาดเดาว่าราคาจะขึ้นหรือลง คุณเพียงแค่กำหนดช่วงราคาที่คาดว่า EUR/USD จะเคลื่อนไหว เช่น ตั้งแต่ 1.0800 ถึง 1.1000 จากนั้น คุณก็แบ่งช่วงราคานั้นออกเป็นส่วนย่อยๆ เท่าๆ กัน (เช่น ทุกๆ 10 pip) ในแต่ละระดับราคาที่ลดลง คุณจะตั้งคำสั่งซื้อ (Buy Limit) และในแต่ละระดับราคาที่เพิ่มขึ้น คุณจะตั้งคำสั่งขาย (Sell Limit)

เมื่อราคาลดลงไปถึงระดับที่คุณตั้งคำสั่งซื้อไว้ ระบบจะทำการซื้อโดยอัตโนมัติ และเมื่อราคากลับเพิ่มขึ้นไปถึงระดับที่คุณตั้งคำสั่งขายไว้ ระบบก็จะทำการขายโดยอัตโนมัติ การดำเนินการซื้อขายซ้ำๆ เหล่านี้จะสร้างกำไรเล็กๆ น้อยๆ ในแต่ละครั้ง ซึ่งเมื่อรวมกันหลายๆ ครั้ง ก็จะกลายเป็นผลกำไรที่น่าพึงพอใจ

หลักการทำงานเบื้องหลัง Grid Trading: การสร้าง “ตาข่าย” แห่งกำไร

หัวใจของการทำงานของ Grid Trading คือการกำหนด ช่วงราคา (Price Range) ที่ต้องการเทรด ซึ่งประกอบด้วยราคาต่ำสุด (Lower Bound) และราคาสูงสุด (Upper Bound) จากนั้นจึงทำการแบ่งช่วงราคานี้ออกเป็น ระดับราคา (Grid Levels) ที่มีระยะห่างเท่าๆ กัน หรือที่เรียกว่า ขนาด Grid (Grid Size) ยกตัวอย่างเช่น หากคุณต้องการเทรด Bitcoin และคาดว่าราคาจะเคลื่อนไหวระหว่าง 30,000 ถึง 35,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ และคุณต้องการตั้ง Grid ทุกๆ 500 ดอลลาร์สหรัฐฯ นั่นคือขนาด Grid ของคุณ

ในแต่ละระดับราคาที่ลดลง คุณจะวางคำสั่ง ซื้อ (Buy Order) ในขณะที่ในแต่ละระดับราคาที่เพิ่มขึ้น คุณจะวางคำสั่ง ขาย (Sell Order) การตั้งค่านี้จะสร้างรูปแบบการเทรดที่เรียกว่า “Buy Low, Sell High” โดยอัตโนมัติ เมื่อราคาตกลงมาถึงระดับคำสั่งซื้อของคุณ คำสั่งก็จะถูกดำเนินการทันที และเมื่อราคากลับขึ้นไปถึงระดับคำสั่งขายที่สูงกว่า ระบบก็จะทำการขายสินทรัพย์ที่คุณเพิ่งซื้อไป ทำกำไรจากส่วนต่าง การเคลื่อนไหวของราคาที่ขึ้นๆ ลงๆ ภายในกรอบจะทำให้เกิดการซื้อขายอย่างต่อเนื่อง และสร้างกระแสเงินสดจากกำไรเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้

ความสามารถในการสร้างกำไรอย่างต่อเนื่องนี้เองที่ทำให้ Grid Trading เป็นกลยุทธ์ที่น่าสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับนักลงทุนที่ต้องการสร้าง Passive Income โดยไม่จำเป็นต้องเฝ้าหน้าจอการเทรดตลอดเวลา แพลตฟอร์มการเทรดสมัยใหม่มักจะมีฟังก์ชัน บอท (Bot) หรือระบบอัตโนมัติที่ช่วยให้การตั้งค่าและการบริหารจัดการ Grid เป็นไปได้อย่างง่ายดาย ซึ่งช่วยลดภาระในการติดตามตลาดด้วยตนเองอย่างมาก

ข้อดี รายละเอียด
ไม่ต้องทำนายทิศทางตลาด สามารถทำกำไรจากความผันผวน ไม่ว่าจะเป็นขาขึ้นหรือขาลง
ระบบอัตโนมัติ ดำเนินการซื้อขายโดยอัตโนมัติ 24/7
การสร้างกระแสเงินสดที่สม่ำเสมอ สร้างกำไรจากการซื้อขายซ้ำๆ ในช่วงราคาที่กำหนด

ข้อดีของการเทรดแบบ Grid: ทำไมกลยุทธ์นี้ถึงน่าสนใจ?

Grid Trading มีข้อได้เปรียบหลายประการที่ทำให้เป็นที่นิยมในหมู่นักลงทุน ไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่หรือผู้มีประสบการณ์ เราจะพาคุณมาดูข้อดีเหล่านี้อย่างละเอียด:

  • ไม่ต้องทำนายทิศทางตลาด: นี่คือข้อได้เปรียบที่โดดเด่นที่สุดของ Grid Trading แตกต่างจากกลยุทธ์อื่นๆ ที่ต้องอาศัยการคาดการณ์ว่าราคาจะขึ้นหรือลง Grid Trading สามารถทำกำไรได้จากความผันผวนของราคา ไม่ว่าตลาดจะอยู่ในช่วง ตลาดไซด์เวย์ เคลื่อนไหวขึ้นเพียงเล็กน้อย หรือลงเพียงเล็กน้อย ตราบใดที่ราคายังคงเคลื่อนไหวภายในกรอบที่คุณกำหนดไว้ คุณก็มีโอกาสทำกำไรได้
  • ระบบอัตโนมัติ: แพลตฟอร์มการเทรดส่วนใหญ่ในปัจจุบันมีเครื่องมือหรือ บอท Grid Trading ที่สามารถตั้งค่าและดำเนินการซื้อขายได้อย่างอัตโนมัติ 24 ชั่วโมงต่อวัน 7 วันต่อสัปดาห์ คุณเพียงแค่ตั้งค่าเริ่มต้น กำหนดช่วงราคา และขนาด Grid ที่ต้องการ จากนั้นระบบก็จะทำงานตามแผนที่วางไว้ ช่วยลดความจำเป็นในการเฝ้าหน้าจอและตัดสินใจด้วยอารมณ์ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่มักส่งผลกระทบต่อนักเทรด
  • การสร้างกระแสเงินสดที่สม่ำเสมอ: เนื่องจากการซื้อขายเกิดขึ้นซ้ำๆ หลายครั้งภายในช่วงราคาที่กำหนด Grid Trading จึงสามารถสร้างกระแสเงินสดขนาดเล็กๆ อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเมื่อรวมกันแล้วสามารถสร้างผลตอบแทนที่น่าพอใจและสม่ำเสมอได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดที่มีความผันผวนปานกลาง หากคุณต้องการสร้าง Passive Income กลยุทธ์นี้ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ
  • ลดอิทธิพลทางอารมณ์: การเทรดด้วยอารมณ์มักนำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาด แต่ด้วยระบบ Grid Trading ที่เป็นอัตโนมัติ การตัดสินใจซื้อขายจะขึ้นอยู่กับกฎเกณฑ์ที่คุณกำหนดไว้ล่วงหน้า ช่วยลดความเครียดและความกดดันจากการติดตามตลาดอย่างใกล้ชิด และช่วยให้คุณรักษาวินัยในการเทรดได้อย่างสม่ำเสมอ

กลยุทธ์การซื้อขายอัตโนมัติ

ข้อควรพิจารณาและความเสี่ยงของการเทรดแบบ Grid: ด้านมืดที่คุณต้องระวัง

แม้ว่า Grid Trading จะมีข้อดีที่น่าสนใจ แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงและข้อจำกัดที่คุณต้องทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้ เพื่อไม่ให้เกิดความประหลาดใจที่ไม่พึงประสงค์:

  • ระดับผลขาดทุนสะสมที่สำคัญ (Significant Drawdown): นี่คือความเสี่ยงที่ใหญ่ที่สุดของ Grid Trading หากตลาดเกิดแนวโน้มที่แข็งแกร่งและเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวเกินขอบเขตของ Grid ที่คุณตั้งไว้ ไม่ว่าจะเป็นขาขึ้นหรือขาลงอย่างรวดเร็ว คุณอาจประสบกับการขาดทุนจำนวนมาก ตัวอย่างเช่น หากคุณตั้ง Grid แบบ Long (เน้นซื้อ) และราคาเกิดดิ่งลงอย่างรุนแรงนอกกรอบด้านล่าง คำสั่งซื้อของคุณจะถูกเปิดค้างไว้ในราคาที่สูงขึ้นเรื่อยๆ และคุณจะขาดทุนจนกว่าราคาจะกลับมาในกรอบ หรือคุณตัดสินใจปิดสถานะด้วยการขาดทุน
  • ต้องใช้เงินทุนจำนวนมาก: เพื่อรองรับการเปิดสถานะซื้อและขายหลายรายการพร้อมกัน และเพื่อรับมือกับความผันผวนที่อาจทำให้เกิดการขาดทุนชั่วคราว คุณจำเป็นต้องมี เงินทุน สำรองที่มากพอ โดยเฉพาะในตลาดที่มีความผันผวนสูง การตั้ง Grid ที่แคบและมีจำนวนระดับมาก (High-density Grid) ก็ยิ่งต้องใช้เงินทุนมากขึ้นเช่นกัน หากเงินทุนของคุณไม่เพียงพอ อาจเกิดการถูก Force Liquidation หรือ Margin Call ได้ง่าย
  • ความเสี่ยงมากเกินไป (Overexposure): การมีคำสั่งซื้อขายหลายคำสั่งที่เปิดอยู่พร้อมกัน เป็นการเพิ่มความเสี่ยงจากการเปิดรับสถานะมากเกินไป หากตลาดเคลื่อนไหวสวนทางกับสถานะที่เปิดอยู่ทั้งหมด ผลขาดทุนที่เกิดขึ้นอาจรุนแรงและรวดเร็ว การควบคุมขนาดตำแหน่ง (Position Sizing) และการตั้งค่า Grid ที่เหมาะสมจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง
  • ไม่เหมาะกับตลาดที่มีเทรนด์ชัดเจน: Grid Trading ทำงานได้ดีที่สุดในสภาวะ ตลาดไซด์เวย์ หรือตลาดที่เคลื่อนไหวในกรอบที่จำกัด แต่ในตลาดที่มีเทรนด์ขึ้นหรือลงอย่างชัดเจนและรุนแรง (Strong Trend) กลยุทธ์นี้อาจไม่มีประสิทธิภาพและอาจนำไปสู่การขาดทุนอย่างรวดเร็ว ดังนั้น คุณต้องมีความเข้าใจสภาวะตลาดและปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสม หรือหยุดการเทรดแบบ Grid ชั่วคราวเมื่อเห็นสัญญาณของเทรนด์ที่แข็งแกร่ง

การทำกำไรสูงสุดด้วย Grid Trading: สภาวะตลาดที่เหมาะสม

เพื่อทำกำไรสูงสุดจาก Grid Trading คุณต้องเข้าใจว่ากลยุทธ์นี้เหมาะกับสภาวะตลาดแบบใด และปัจจัยใดบ้างที่มีผลต่อความสามารถในการทำกำไรของคุณ

Grid Trading มีประสิทธิภาพสูงสุดใน ตลาดไซด์เวย์ (Sideway Market) หรือตลาดที่เคลื่อนไหวอยู่ภายในกรอบราคาที่ค่อนข้างจำกัด มีความผันผวนไปมา แต่ไม่มีทิศทางที่ชัดเจน การเคลื่อนไหวแบบนี้จะทำให้ราคาขึ้นลงแตะระดับต่างๆ ภายใน Grid อย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดการซื้อขายและทำกำไรได้หลายครั้ง ยกตัวอย่างเช่น ในปี 2019 คู่สกุลเงิน USD/CHF มีช่วงเวลาที่เคลื่อนไหวแบบไซด์เวย์อย่างชัดเจน ซึ่งเป็นโอกาสทองสำหรับการใช้กลยุทธ์ Grid Trading

ปัจจัยสำคัญอื่นๆ ที่ส่งผลต่อความสามารถในการทำกำไร ได้แก่:

  • ความผันผวนของราคา: ยิ่งสินทรัพย์มีความผันผวนภายในกรอบมากเท่าไหร่ ยิ่งมีโอกาสเกิดการซื้อขายและทำกำไรได้มากเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ความผันผวนที่สูงเกินไปนอกกรอบก็เป็นความเสี่ยงเช่นกัน
  • การตั้งค่า Grid ที่เหมาะสม:

    • ช่วงราคา (Range): คุณต้องกำหนดช่วงราคาต่ำสุดและสูงสุดที่สมเหตุสมผล โดยอิงจากการวิเคราะห์ทางเทคนิคและแนวโน้มตลาดในปัจจุบัน
    • ขนาด Grid (Grid Size): ระยะห่างระหว่างแต่ละระดับราคา หากตั้ง Grid แคบเกินไป (จำนวน Grid มาก) อาจทำให้คำสั่งถูกเปิดมากเกินไปและใช้เงินทุนสูง หากตั้งกว้างเกินไป อาจพลาดโอกาสในการทำกำไรจากความผันผวนเล็กๆ
    • จำนวนคำสั่ง (Number of Grids): ขึ้นอยู่กับขนาด Grid และช่วงราคา ยิ่งมีจำนวน Grid มาก ยิ่งต้องใช้เงินทุนมาก และความเสี่ยงในการเปิดรับสถานะก็สูงขึ้น
  • การบริหารความเสี่ยง: การจำกัดการขาดทุนเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้การทำกำไรมีความยั่งยืน
ปัจจัยที่มีผลต่อกำไร รายละเอียด
สภาวะตลาด เหมาะสำหรับตลาดไซด์เวย์
ความผันผวนของราคา ยิ่งผันผวน ยิ่งมีโอกาสทำกำไร
การตั้งค่า Grid ตั้งค่าช่วงราคาและขนาด Grid อย่างเหมาะสม

Grid Trading ไม่เหมาะอย่างยิ่งกับสภาวะตลาดที่มี เทรนด์ขึ้นหรือลงอย่างชัดเจนและรุนแรง (Strong Trending Market) ในสถานการณ์เช่นนี้ Grid ที่ถูกตั้งไว้จะถูกทิ้งให้มีสถานะขาดทุนสะสมในทิศทางตรงกันข้ามกับเทรนด์อย่างต่อเนื่อง ดังนั้น การวิเคราะห์สภาวะตลาดก่อนเริ่มใช้กลยุทธ์นี้จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง

หัวใจสำคัญของการเทรดแบบ Grid: การบริหารความเสี่ยงอย่างชาญฉลาด

ไม่ว่ากลยุทธ์การเทรดใดๆ ก็ตาม การบริหารความเสี่ยง เป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่จะช่วยให้คุณอยู่รอดและเติบโตในตลาด การเทรดแบบ Grid ก็เช่นกัน ด้วยความเสี่ยงที่อาจเกิดการขาดทุนจำนวนมากหากตลาดเคลื่อนไหวออกนอกกรอบที่กำหนดไว้ การมีแผนบริหารความเสี่ยงที่แข็งแกร่งจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับคุณในฐานะนักลงทุน

นี่คือหลักการสำคัญในการบริหารความเสี่ยงสำหรับ Grid Trading:

  • การตั้งค่าคำสั่งตัดขาดทุน (Stop Loss): แม้ Grid Trading จะเป็นกลยุทธ์ที่เน้นการทำกำไรจากความผันผวนภายในกรอบ แต่การมี คำสั่งตัดขาดทุน สำหรับ Grid ทั้งระบบ หรือสำหรับแต่ละสถานะย่อยที่เปิดอยู่ ก็เป็นสิ่งสำคัญเพื่อจำกัดการขาดทุนสูงสุดที่คุณยอมรับได้ หากราคาเคลื่อนไหวออกนอกกรอบที่คุณตั้งใจไว้และมีแนวโน้มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ การตัดขาดทุนจะช่วยป้องกันไม่ให้บัญชีของคุณเสียหายไปมากกว่านี้
  • การกำหนดขนาดตำแหน่ง (Position Sizing) ที่เหมาะสม: คุณไม่ควรใช้เงินทุนทั้งหมดของคุณในการตั้ง Grid เพียงครั้งเดียว ควรจัดสรร เงินทุน เพียงส่วนหนึ่งที่คุณสามารถยอมรับความเสี่ยงได้ การกำหนดขนาดของแต่ละคำสั่งซื้อ/ขายใน Grid ให้เหมาะสมกับขนาดเงินทุนของคุณ จะช่วยให้คุณมีเงินสำรองเพียงพอหากตลาดมีความผันผวนเกินคาด และช่วยป้องกันการถูก Margin Call หรือ Force Liquidation
  • การติดตามและปรับเปลี่ยนอย่างสม่ำเสมอ: แม้จะเป็นระบบอัตโนมัติ คุณก็ยังคงต้องติดตามผลการดำเนินงานของ Grid ของคุณอย่างสม่ำเสมอ ตรวจสอบว่าสภาวะตลาดปัจจุบันยังคงเหมาะกับ Grid ที่ตั้งไว้หรือไม่ หากพบว่าตลาดกำลังเข้าสู่ช่วงเทรนด์ที่แข็งแกร่ง หรือมีความผันผวนสูงเกินขอบเขต Grid การปิด Grid ชั่วคราวหรือปรับเปลี่ยนการตั้งค่าอาจเป็นทางเลือกที่ชาญฉลาด
  • การใช้บัญชีทดลอง (Demo Account): สำหรับนักลงทุนมือใหม่ ก่อนที่จะนำ เงินทุน จริงเข้าสู่การเทรดแบบ Grid เราขอแนะนำให้คุณเริ่มต้นด้วย บัญชีทดลอง ซึ่งเป็นสภาพแวดล้อมที่จำลองการเทรดจริง คุณสามารถฝึกฝนการตั้งค่า Grid ทดสอบกลยุทธ์ต่างๆ และทำความเข้าใจพฤติกรรมของ Grid ในสภาวะตลาดที่แตกต่างกันโดยไม่มีความเสี่ยงทางการเงิน นี่คือขั้นตอนสำคัญที่จะช่วยสร้างความเข้าใจและมั่นใจก่อนลงสนามจริง

หากคุณกำลังพิจารณาที่จะเริ่มต้นเทรดฟอเร็กซ์หรือสำรวจผลิตภัณฑ์ CFD เพิ่มเติม Moneta Markets คือแพลตฟอร์มที่น่าสนใจจากออสเตรเลีย ที่มีสินทรัพย์ทางการเงินให้เลือกเทรดกว่า 1,000 ชนิด ไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่หรือนักเทรดมืออาชีพก็สามารถค้นหาตัวเลือกที่เหมาะสมได้ที่นี่

เทคนิคการลงทุนที่เป็นนวัตกรรมใหม่

Grid Trading ในโลกแห่งความเป็นจริง: แพลตฟอร์มและการประยุกต์ใช้ในประเทศไทย

Grid Trading ไม่ได้เป็นเพียงแค่แนวคิดทางทฤษฎี แต่เป็นกลยุทธ์ที่ถูกนำไปใช้จริงอย่างแพร่หลายในตลาดการเงินหลากหลายประเภท ทั้งในตลาด ฟอเร็กซ์ (Forex), หุ้น และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาด สินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Assets) ที่กำลังได้รับความนิยมอย่างสูงในปัจจุบันในประเทศไทย

ในตลาดฟอเร็กซ์ แพลตฟอร์มยอดนิยมอย่าง MetaTrader (MT4/MT5) มักจะมีการนำ Expert Advisors (EAs) หรือ บอทเทรดดิ้ง มาใช้เพื่อจัดการการเทรดแบบ Grid โดย EAs เหล่านี้จะถูกเขียนโปรแกรมให้ดำเนินการซื้อขายตามกฎเกณฑ์ของ Grid ที่นักลงทุนกำหนดไว้ ซึ่งช่วยให้การเทรดเป็นไปโดยอัตโนมัติและแม่นยำตลอด 24 ชั่วโมง โดยเฉพาะคู่สกุลเงินที่มีความผันผวนสูงอย่าง GBP/JPY, AUD/NZD หรือ EUR/GBP ก็มักเป็นที่นิยมในการนำ Grid Trading มาประยุกต์ใช้

สำหรับตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล (คริปโทเคอร์เรนซี และ โทเคนดิจิทัล) ในประเทศไทย มีผู้ให้บริการที่น่าสนใจคือ บริษัท แมกซ์บิท ดิจิทัล แอสเซท จำกัด (Maxbit) ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.) เป็นรายแรกในประเทศไทยที่เปิดตัวระบบ Grid Trading อัตโนมัติ ให้บริการเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2568 ทำให้การเทรดสินทรัพย์ดิจิทัลด้วยกลยุทธ์นี้เป็นเรื่องง่ายและเข้าถึงได้มากขึ้นสำหรับนักลงทุนชาวไทย ระบบ Grid Trading ของ Maxbit ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถตั้งค่ากลยุทธ์ได้สูงสุด 5 กลยุทธ์ต่อ 1 บัญชี และสามารถใช้งานได้กับ 38 คู่เหรียญที่หลากหลาย

นอกจากนี้ ยังมีบริการ DAOLSEC Smart Algo (ดาโอเอสอีซี สมาร์ท อัลโก) ซึ่งเป็นอีกหนึ่งบริการที่นำกลยุทธ์ Grid Trading มาประยุกต์ใช้กับการเทรดหุ้น โดยมีเป้าหมายเพื่อช่วยให้นักลงทุนสามารถทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพเช่นกัน การมีทางเลือกที่หลากหลายเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงการยอมรับและการประยุกต์ใช้ Grid Trading ในวงกว้างขึ้นในตลาดการเงินของไทย

ในการเลือกแพลตฟอร์มเทรด ความยืดหยุ่นและข้อได้เปรียบทางเทคนิคของ Moneta Markets เป็นสิ่งที่น่ากล่าวถึง แพลตฟอร์มนี้รองรับ MT4, MT5, Pro Trader ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มยอดนิยม และยังรวมการดำเนินการคำสั่งที่รวดเร็วพร้อมสเปรดต่ำ มอบประสบการณ์การเทรดที่ยอดเยี่ยม

โอกาสและสิทธิประโยชน์ทางภาษีกับการเทรดสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทย

หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่เพิ่มความน่าสนใจให้กับ การเทรดสินทรัพย์ดิจิทัล โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้กลยุทธ์อย่าง Grid Trading ในประเทศไทย คือเรื่องของนโยบายภาษี สำหรับนักลงทุนบุคคลธรรมดาที่เทรดสินทรัพย์ดิจิทัล ข่าวดีคือมี มติคณะรัฐมนตรี (มติ ครม.) ที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง

ตามมติ ครม. ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2568 ได้กำหนดให้ กำไรจากการขายสินทรัพย์ดิจิทัล หรือที่เรียกว่า Gain Tax จะได้รับการ ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับกำไรที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2568 ไปจนถึงสิ้นปี 2572 ซึ่งเป็นระยะเวลา 5 ปีเต็ม นี่คือสิทธิประโยชน์ที่สำคัญสำหรับนักลงทุนที่ทำกำไรจากการเทรด คริปโทเคอร์เรนซี และ โทเคนดิจิทัล ไม่ว่าจะเป็นการเทรดระยะสั้น ระยะยาว หรือการใช้กลยุทธ์อัตโนมัติอย่าง Grid Trading

การยกเว้นภาษีนี้จะช่วยให้คุณสามารถเก็บผลกำไรจากการเทรดได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยมากขึ้น โดยไม่ต้องกังวลเรื่องภาระภาษีที่อาจลดทอนผลตอบแทนจากการลงทุน ซึ่งจะช่วยเพิ่มความน่าดึงดูดใจในการลงทุนในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลของไทยอย่างมีนัยสำคัญสำหรับนักลงทุนบุคคล อย่างไรก็ตาม คุณควรทำความเข้าใจรายละเอียดของมติ ครม. และกฎหมายภาษีที่เกี่ยวข้องอย่างถ่องแท้ เพื่อให้มั่นใจว่าการดำเนินการของคุณเป็นไปตามข้อกำหนด

นอกจากนี้ การที่แพลตฟอร์มอย่าง Maxbit ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ สำนักงาน ก.ล.ต. ได้เปิดตัวระบบ Grid Trading อัตโนมัติเป็นรายแรกในประเทศ ยิ่งตอกย้ำถึงความน่าเชื่อถือและความปลอดภัยในการลงทุน เนื่องจากแพลตฟอร์มเหล่านี้ต้องปฏิบัติตามมาตรฐานและกฎระเบียบที่เข้มงวด เพื่อคุ้มครองนักลงทุนและป้องกันการกระทำที่ผิดกฎหมาย

สรุปและคำแนะนำสำหรับนักลงทุน Grid Trading มือใหม่

การเทรดแบบ Grid เป็นกลยุทธ์ที่มีศักยภาพสูงในการสร้างผลตอบแทน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดที่มีความผันผวนในกรอบที่จำกัด อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่สุดคือคุณต้องมีความเข้าใจในกลยุทธ์นี้อย่างลึกซึ้ง และตระหนักถึงความเสี่ยงที่มาพร้อมกับมันอย่างรอบด้าน

  • เราขอแนะนำว่าสำหรับนักลงทุนมือใหม่ ก่อนที่คุณจะตัดสินใจใช้ เงินทุน จริง ควรเริ่มต้นด้วยการฝึกฝนและทำความเข้าใจผ่าน บัญชีทดลอง (Demo Account) เสียก่อน
  • การทดลองใช้ Grid ในสภาวะตลาดที่แตกต่างกันจะช่วยให้คุณเห็นภาพการทำงานจริง ประเมินความเสี่ยง และปรับแต่งการตั้งค่า Grid ให้เหมาะสมกับสไตล์การเทรดและความสามารถในการรับความเสี่ยงของคุณ
  • สิ่งที่คุณควรให้ความสำคัญเสมอคือ การบริหารความเสี่ยง การตั้งค่า คำสั่งตัดขาดทุน การกำหนด ขนาดตำแหน่ง ที่เหมาะสม และการไม่ใช้เงินทุนทั้งหมดในการเทรด ควรเป็นหลักปฏิบัติที่คุณยึดมั่น

สุดท้ายนี้ Grid Trading ไม่ใช่ “สูตรสำเร็จ” ที่จะทำให้คุณรวยข้ามคืน และไม่ใช่กลยุทธ์ที่เหมาะกับทุกคน การทำความเข้าใจตลาด การเรียนรู้เทคนิคการวิเคราะห์ และการพัฒนาวินัยในการเทรด เป็นสิ่งสำคัญที่จะนำไปสู่ความสำเร็จในการลงทุนในระยะยาว ขอให้คุณโชคดีกับการเดินทางในโลกของการเทรด และหวังว่า Grid Trading จะเป็นอีกหนึ่งเครื่องมืออันทรงพลังในคลังแสงของคุณ

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับgrid trading คือ

Q:การเทรดแบบ Grid คืออะไร?

A:การเทรดแบบ Grid คือกลยุทธ์ที่ใช้การตั้งคำสั่งซื้อและขายในระดับราคาที่กำหนดเพื่อสร้างกำไรจากความผันผวนของตลาด

Q:การใช้ Grid Trading เหมาะกับใคร?

A:Grid Trading เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการสร้างกระแสเงินสดที่สม่ำเสมอ โดยไม่จำเป็นต้องคาดเดาทิศทางราคาตลาด

Q:มีความเสี่ยงอะไรบ้างในการเทรดแบบ Grid?

A:ความเสี่ยงรวมถึงการขาดทุนสะสมหากตลาดมีเทรนด์ชัดเจน, การใช้เงินทุนจำนวนมาก และความเสี่ยงจากการเปิดสถานะมากเกินไป

發佈留言