66, Broklyn St, New York, USA
Turning big ideas into great services!

ความเสี่ยงของธนาคาร มีอะไรบ้าง: วิกฤตการณ์ธนาคารทั่วโลกในปี 2025

Home / ข่าวตลาดเงิน / ควา...

meetcinco_com | 03 7 月

ความเสี่ยงของธนาคาร มีอะไรบ้าง: วิกฤตการณ์ธนาคารทั่วโลกในปี 2025

วิกฤตการณ์ธนาคารทั่วโลก: บทเรียนจากความเชื่อมั่นที่สั่นคลอน

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โลกของเราได้เผชิญกับเหตุการณ์สำคัญที่สั่นคลอนความเชื่อมั่นต่อระบบธนาคาร ไม่ว่าจะเป็นกรณีของธนาคาร Credit Suisse ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ หรือเหตุการณ์การล้มของธนาคารระดับภูมิภาคหลายแห่งในสหรัฐอเมริกา เช่น Silicon Valley Bank, Signature Bank และ First Republic Bank ซึ่งล้วนเป็นบทเรียนอันล้ำค่าที่ตอกย้ำถึงความเปราะบางของธุรกิจการเงินที่พึ่งพิง “ความเชื่อมั่น” เป็นหลัก เมื่อปัจจัยนี้สั่นคลอน การล้มลงของสถาบันการเงินจึงอาจเกิดขึ้นได้ ไม่ว่าธนาคารนั้นจะมีขนาดใหญ่เพียงใดก็ตาม

เหตุการณ์เหล่านี้ทำให้เราในฐานะนักลงทุนต้องหยุดคิดและตั้งคำถามว่า อะไรคือปัจจัยที่ทำให้ธนาคารที่เคยดูเหมือนมั่นคงต้องเผชิญกับวิกฤตเช่นนี้ และเราจะสามารถนำบทเรียนเหล่านี้มาปรับใช้เพื่อประเมินความเสี่ยงและตัดสินใจลงทุนได้อย่างชาญฉลาดได้อย่างไร บทความนี้จะพาคุณเจาะลึกถึงประเภทของความเสี่ยงที่ธนาคารต้องเผชิญ ทั้งในระดับสากลและบริบทของประเทศไทย เพื่อให้คุณมองเห็นภาพรวมและเข้าใจถึงภูมิทัศน์ความเสี่ยงที่ซับซ้อนนี้ได้อย่างถ่องแท้

เราจะเริ่มต้นด้วยการทำความเข้าใจเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นทั่วโลก ซึ่งเป็นชนวนที่จุดประกายให้เกิดการทบทวนเรื่องความมั่นคงของสถาบันการเงินครั้งใหญ่ การขาดความเชื่อมั่นจากผู้ถือหุ้นรายใหญ่ เช่น กรณีของ Saudi National Bank ที่ปฏิเสธการเพิ่มทุนใน Credit Suisse ผนวกกับผลกระทบต่อเนื่องจากเหตุการณ์ของ Silicon Valley Bank ได้ส่งผลให้ราคาหุ้นของ Credit Suisse ร่วงลงอย่างรวดเร็วและนำไปสู่การเข้าซื้อกิจการโดย UBS การผันผวนของตลาดหุ้น การถอนเงินของผู้ฝาก การตัดสินใจที่ผิดพลาดในการลงทุน และการขาดความเชื่อมั่นของผู้ถือหุ้น ล้วนเป็นปัจจัยที่เชื่อมโยงกันอย่างแยกไม่ออก และส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อเสถียรภาพของธนาคารเหล่านั้น มาสำรวจความเชื่อมโยงระหว่างปัจจัยเหล่านี้ และส่วนที่สำคัญภายในระบบการเงินโดยรวม

วิกฤตการณ์ธนาคารทั่วโลก

  • บทเรียนจากวิกฤตธนาคารเป็นข้อเตือนใจเกี่ยวกับความสำคัญของการบริหารความเชื่อมั่นในการดำเนินธุรกิจธนาคาร
  • การตรวจสอบปัจจัยเสี่ยงที่อาจนำไปสู่การล้มละลายของธนาคารเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับนักลงทุน
  • การมองเห็นภาพรวมของเสถียรภาพที่ธนาคารควรมีจะช่วยเพิ่มทักษะในการตัดสินใจลงทุนในอนาคต

เปิดโปงสามความเสี่ยงหลักที่ธนาคารต้องเผชิญ

หากจะเข้าใจวิกฤตการณ์ธนาคาร เราต้องเข้าใจความเสี่ยงพื้นฐานสามประการที่สถาบันการเงินเหล่านี้ต้องเผชิญในทุกวัน คุณในฐานะนักลงทุนควรทำความเข้าใจความเสี่ยงเหล่านี้อย่างถ่องแท้ เพราะมันคือหัวใจสำคัญในการประเมินมูลค่าและความมั่นคงของหุ้นกลุ่มธนาคาร หรือแม้แต่การประเมินเสถียรภาพของระบบการเงินโดยรวม

นักลงทุนกำลังตรวจสอบกราฟการเงิน

  • ความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย (Interest Rate Risk): ความเสี่ยงนี้เกิดขึ้นเมื่อธนาคารบริหารจัดการสินทรัพย์และหนี้สินที่มีกำหนดเวลาครบกำหนดต่างกัน ยกตัวอย่างเช่น เมื่อธนาคารกลางปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ มูลค่าของตราสารหนี้ที่ธนาคารได้ลงทุนไว้ก่อนหน้านั้น (ซึ่งมักจะเป็นตราสารหนี้ระยะยาวที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่า) จะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ หากธนาคารจำเป็นต้องขายตราสารเหล่านั้นออกไปก่อนครบกำหนด ก็จะต้องรับรู้ผลขาดทุน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเงินกองทุนของธนาคารได้ กรณีของ Silicon Valley Bank เป็นตัวอย่างที่ชัดเจน ธนาคารแห่งนี้ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลและตราสารหนี้ระยะยาวจำนวนมาก เมื่ออัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว มูลค่าของพอร์ตการลงทุนเหล่านี้ก็ลดลงอย่างรุนแรง ธนาคารถูกบีบให้ขายสินทรัพย์เพื่อตอบสนองการถอนเงินจำนวนมาก และต้องรับรู้ผลขาดทุนจำนวนมหาศาลซึ่งกัดเซาะเงินกองทุนของธนาคาร
  • ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง (Liquidity Risk) หรือ Bank Run: นี่คือสถานการณ์ที่ผู้ฝากเงินจำนวนมากแห่ถอนเงินออกจากธนาคารพร้อมกัน ซึ่งเป็นภาพที่น่าตกใจและมักจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ธนาคารมีหน้าที่ในการสำรองเงินสดไว้เพื่อรองรับการถอนเงินตามปกติ แต่ไม่มีธนาคารใดที่มีเงินสดสำรองเพียงพอที่จะรองรับการถอนเงินของลูกค้าทุกคนพร้อมกันได้ทั้งหมด หากเกิดเหตุการณ์ Bank Run ขึ้น ธนาคารจะต้องเร่งขายสินทรัพย์เพื่อนำเงินมาคืนผู้ฝาก ซึ่งอาจต้องขายในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็น และยิ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง คุณคงจินตนาการได้ว่าความเชื่อมั่นของผู้ฝากเงินเป็นสิ่งสำคัญเพียงใดในสถานการณ์เช่นนี้ และการสื่อสารที่รวดเร็วและชัดเจนจากภาครัฐหรือธนาคารกลางก็เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการระงับความตื่นตระหนก ตัวอย่างของ First Republic Bank แสดงให้เห็นว่าแม้ธนาคารจะมีสภาพคล่องสูงในช่วงแรกจากการกู้ยืมจาก Federal Home Loan Bank (FHLB) และการได้รับเงินฝากจากธนาคารใหญ่ แต่เมื่อความเชื่อมั่นหมดไป การถอนเงินจำนวนมหาศาลก็ทำให้สภาพคล่องร่อยหรออย่างรวดเร็ว
  • ความเสี่ยงด้านเงินกองทุน (Capital Risk): เงินกองทุนของธนาคาร หรือที่เรียกว่า CET1 ratio (Common Equity Tier 1 ratio) คือเกราะป้องกันแรกที่ธนาคารใช้ดูดซับความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น หากธนาคารประสบภาวะขาดทุนจากการลงทุน หรือต้องรับรู้หนี้เสียจำนวนมาก เงินกองทุนก็จะลดลง หากเงินกองทุนลดลงต่ำกว่าระดับที่หน่วยงานกำกับดูแลกำหนด ธนาคารก็อาจถูกมองว่ามีความเสี่ยงที่จะล้มละลายและอาจต้องได้รับการช่วยเหลือหรือถูกเข้าควบคุมกิจการจากภาครัฐ นี่คือเหตุผลที่ธนาคารกลางและหน่วยงานกำกับดูแลให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการรักษาระดับเงินกองทุนของธนาคารให้อยู่ในระดับที่แข็งแกร่งตลอดเวลา ธนาคารที่ประสบภาวะขาดทุนอย่างหนักจากการขายสินทรัพย์เพื่อเสริมสภาพคล่อง หรือจากการที่ลูกค้าไม่สามารถชำระหนี้ได้ จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อเงินกองทุน ซึ่งเป็นรากฐานความมั่นคงของธนาคาร
ความเสี่ยง คำอธิบาย
ความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย เกิดจากการบริหารจัดการสินทรัพย์และหนี้สินที่ไม่เหมาะสม
ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง เกิดจากการถอนเงินจำนวนมากจากผู้ฝากพร้อมกัน
ความเสี่ยงด้านเงินกองทุน เกิดจากการขาดทุนและการควบคุมเงินกองทุนต่ำกว่ามาตรฐาน

เราจะเห็นได้ว่าความเสี่ยงทั้งสามประการนี้มีความเชื่อมโยงกันอย่างลึกซึ้ง ตัวอย่างเช่น ความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ยที่ทำให้มูลค่าตราสารหนี้ลดลง อาจนำไปสู่การที่ธนาคารต้องรับรู้ผลขาดทุน ซึ่งจะกระทบต่อเงินกองทุน และหากข่าวการขาดทุนแพร่สะพัดออกไป ก็อาจกระตุ้นให้เกิด Bank Run ซึ่งจะส่งผลต่อสภาพคล่องของธนาคารอีกทอดหนึ่ง

เจาะลึกความเปราะบางของธนาคารระดับภูมิภาคในสหรัฐฯ: กรณีศึกษา First Republic Bank

วิกฤตการณ์ธนาคารในสหรัฐอเมริกาช่วงต้นปี 2566 ได้เผยให้เห็นถึงความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญระหว่างธนาคารสองประเภทใหญ่ๆ คือ ธนาคารระดับภูมิภาค (Regional Bank) และ ธนาคารขนาดใหญ่ที่มีความสำคัญต่อระบบ (Global Systematically Important Bank – GSIB) ความเข้าใจในความแตกต่างนี้เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับคุณในฐานะนักลงทุน

ธนาคารระดับภูมิภาค เช่น Silicon Valley Bank และ First Republic Bank มีโครงสร้างความเสี่ยงที่แตกต่างจาก GSIB อย่างชัดเจน ธนาคารเหล่านี้มักมีฐานลูกค้าที่กระจุกตัวอยู่ในภาคส่วนใดภาคส่วนหนึ่ง (เช่น Silicon Valley Bank กับบริษัทเทคโนโลยีสตาร์ทอัพ) หรือในพื้นที่ภูมิภาคใดภูมิภาคหนึ่ง รวมถึงมักมีเงินฝากจำนวนมากที่ไม่ได้อยู่ภายใต้การคุ้มครองของ FDIC (Federal Deposit Insurance Corporation) ซึ่งคุ้มครองเงินฝากไม่เกิน 250,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อผู้ฝากหนึ่งราย เมื่อเกิดความไม่มั่นใจเพียงเล็กน้อย ผู้ฝากเงินรายใหญ่เหล่านี้จึงมีแนวโน้มที่จะถอนเงินออกอย่างรวดเร็วและเป็นจำนวนมาก ทำให้เกิดปรากฏการณ์ Bank Run ที่รุนแรง

กรณีของ First Republic Bank เป็นตัวอย่างที่ชัดเจน ธนาคารแห่งนี้มีอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อเงินฝาก (loan-to-deposit ratio หรือ LDR) ที่สูงผิดปกติอยู่ที่ 94% ในช่วงต้นปี 2566 ซึ่งหมายความว่าเกือบทุกๆ 100 ดอลลาร์ที่ได้รับฝากมา ถูกนำไปปล่อยสินเชื่อถึง 94 ดอลลาร์ เหลือเงินสดสำรองเพียงเล็กน้อย อัตราส่วน LDR ที่สูงเช่นนี้บ่งชี้ถึงความเสี่ยงด้านสภาพคล่องที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่ง Eric Compton นักวิเคราะห์หุ้นกลุ่มธนาคารจาก Morningstar ได้ชี้ให้เห็นถึงความเปราะบางนี้ได้อย่างแม่นยำ

นอกจากนี้ First Republic Bank ยังมีความเสี่ยงด้านเงินกองทุนในระดับสูงอีกด้วย แม้ว่าจะมี CET1 ratio อยู่ที่ 13.5% ซึ่งดูเหมือนจะสูงพอสมควร แต่การที่ธนาคารจำเป็นต้องรับรู้ผลขาดทุนจากการขายสินทรัพย์เพื่อสร้างสภาพคล่อง หรือการที่สินเชื่อบางส่วนอาจกลายเป็นหนี้เสียในอนาคต ล้วนเป็นปัจจัยที่สามารถกัดเซาะเงินกองทุนนี้ได้อย่างรวดเร็ว ในที่สุดความกังวลเรื่องสภาพคล่องและเงินกองทุนก็ส่งผลให้ธนาคารไม่สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ และต้องถูก JPMorgan Chase เข้าซื้อกิจการไปเพื่อรักษาเสถียรภาพของระบบการเงิน

ในทางตรงกันข้าม ธนาคารขนาดใหญ่ที่มีความสำคัญต่อระบบ (GSIB) อาทิ JPMorgan Chase, Bank of America, Wells Fargo และ Citigroup ถูกมองว่าเป็น “too big to fail” หรือใหญ่เกินกว่าจะล้ม เพราะการล้มของธนาคารเหล่านี้จะสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงต่อระบบการเงินโลก พวกเขามีเงินกองทุนที่แข็งแกร่งกว่า มีสภาพคล่องที่สูงกว่า มีแหล่งเงินทุนที่หลากหลายกว่า และมักจะได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐและธนาคารกลางในกรณีที่เกิดวิกฤต ซึ่งทำให้พวกเขามีความสามารถในการรับมือกับการถอนเงินจำนวนมากได้ดีกว่าธนาคารระดับภูมิภาคอย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้ ธนาคารระดับภูมิภาคอื่นๆ เช่น Truist Financial, KeyCorp, Huntington Bancshares และ Comerica ต่างก็มี LDR สูงกว่าค่าเฉลี่ยของ GSIB เช่นกัน สะท้อนถึงความเปราะบางที่อาจเกิดขึ้น

ปัญหาความเชื่อมั่นในระบบการธนาคาร

บทเรียนจากสหรัฐฯ ชี้ให้เห็นว่า การพิจารณาขนาดของธนาคาร การกระจุกตัวของเงินฝาก และอัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญอย่าง LDR และ CET1 ratio เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการประเมินความเสี่ยง ก่อนที่คุณจะตัดสินใจลงทุนในหุ้นกลุ่มธนาคารใดๆ

ธนาคารไทยมั่นคงจริงหรือ? การประเมินจากธนาคารแห่งประเทศไทย

หลังจากที่เราได้เรียนรู้บทเรียนจากวิกฤตการณ์ธนาคารทั่วโลกแล้ว คำถามสำคัญต่อไปสำหรับนักลงทุนในประเทศไทยก็คือ “แล้วระบบการเงินไทยล่ะ มีเสถียรภาพดีเพียงใด?” ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ประเมินสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง และแม้ว่าโดยรวมแล้ว สถาบันการเงินไทยจะยังคงมีเสถียรภาพและแข็งแกร่ง มีเงินกองทุนและสภาพคล่องอยู่ในระดับสูง แต่ ธปท. ก็ยังคงเฝ้าระวัง 3 ปัจจัยเสี่ยงสำคัญ ที่อาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพในระยะข้างหน้า

การทำความเข้าใจความเสี่ยงเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญสำหรับคุณ เพราะมันไม่เพียงแค่ส่งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจ แต่ยังอาจกระทบต่อธุรกิจที่คุณลงทุน หรือแม้แต่สถานะทางการเงินส่วนบุคคลของคุณเอง เรามาเจาะลึกแต่ละปัจจัยเสี่ยงกัน เพื่อให้คุณสามารถเตรียมพร้อมและวางแผนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายที่ระบบเศรษฐกิจและสังคมไทยกำลังเผชิญ ซึ่งเป็นผลพวงจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ไม่ทั่วถึง และผลกระทบจากภาวะเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น เราจะเห็นได้ว่าแม้ภาพรวมจะดูดี แต่รายละเอียดในแต่ละภาคส่วนก็ยังคงมีจุดที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มที่มีความเปราะบาง ซึ่งนางรุ่ง มัลลิกะมาส รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ให้ความสำคัญในการเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด

ปัจจัยเสี่ยงที่ 1: ความสามารถในการชำระหนี้ของครัวเรือนและธุรกิจเปราะบาง

ความเสี่ยงประการแรกที่ ธปท. ชี้ให้เห็นคือความเปราะบางของกลุ่มลูกหนี้บางกลุ่ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งครัวเรือนที่มีรายได้น้อย หรือกลุ่มที่รายได้ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่หลังจากวิกฤตการณ์ โควิด-19 รวมถึงลูกหนี้ของธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ และผู้ให้บริการสินเชื่อที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (Non-bank) กลุ่มลูกหนี้เหล่านี้กำลังเผชิญกับภาระหนี้ที่สูงขึ้น ค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้น และในบางกรณี รายได้ที่ยังคงไม่เพียงพอต่อการใช้จ่ายและการชำระหนี้ตามกำหนด

คุณอาจสังเกตได้จากข่าวสารที่เผยแพร่ในแต่ละวัน ว่ามีประชาชนจำนวนมากที่กำลังประสบปัญหาหนี้สิน ไม่ว่าจะเป็นหนี้บัตรเครดิต หนี้สินเชื่อส่วนบุคคล หรือแม้แต่หนี้จำนำทะเบียนรถ หนี้เหล่านี้หากไม่ได้รับการจัดการที่ดี อาจกลายเป็นหนี้เสีย (NPL – Non-Performing Loan) ได้ในที่สุด ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของสถาบันการเงิน และยังเป็นตัวฉุดรั้งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโดยรวม

การที่ ธปท. เน้นย้ำถึงความเสี่ยงในส่วนนี้ แสดงให้เห็นว่าปัญหาหนี้ครัวเรือนเป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะหากครัวเรือนไม่มีความสามารถในการชำระหนี้ ไม่เพียงแต่จะส่งผลกระทบต่อธนาคารที่ปล่อยสินเชื่อ แต่ยังส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของประเทศ และอาจนำไปสู่ปัญหาเศรษฐกิจที่ใหญ่ขึ้นได้ในระยะยาว คุณในฐานะนักลงทุนที่สนใจในหุ้นกลุ่มธนาคาร ควรพิจารณาสัดส่วนของหนี้เสียในพอร์ตสินเชื่อของธนาคารที่คุณสนใจ รวมถึงแนวโน้มการตั้งสำรองหนี้เสียของธนาคารนั้นๆ เพราะสิ่งเหล่านี้สะท้อนถึงคุณภาพสินทรัพย์ของธนาคารโดยตรง การเพิ่มขึ้นของ NPLs จะส่งผลให้ธนาคารต้องกันสำรองเผื่อหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มขึ้น ซึ่งจะลดกำไรสุทธิลง และอาจส่งผลกระทบต่อเงินกองทุนได้ในที่สุด

ปัจจัยเสี่ยงที่ 2: ความท้าทายในการระดมทุนของภาคธุรกิจผ่านตลาดตราสารหนี้

ปัจจัยเสี่ยงประการที่สองที่ ธปท. เฝ้าระวังคือ ความสามารถในการระดมทุนของภาคธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการระดมทุนผ่าน ตลาดตราสารหนี้ หรือการออกหุ้นกู้ ต้นทุนการระดมทุนในตลาดตราสารหนี้ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตามทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่เพิ่มขึ้น ซึ่งทำให้ธุรกิจบางราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจขนาดเล็กถึงกลาง หรือธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูงกว่า อาจเผชิญกับความยากลำบากในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน หรือต้องแบกรับภาระดอกเบี้ยที่สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

คุณอาจสงสัยว่าทำไมความเสี่ยงนี้จึงสำคัญต่อระบบการเงิน การระดมทุนผ่านตลาดตราสารหนี้เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เมื่อธุรกิจไม่สามารถระดมทุนได้ตามต้องการ หรือต้องจ่ายต้นทุนที่สูงเกินไป ก็อาจส่งผลกระทบต่อแผนการลงทุน การขยายธุรกิจ หรือแม้แต่การดำเนินงานตามปกติ ซึ่งจะย้อนกลับมาส่งผลกระทบต่อการจ้างงานและกิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยรวม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มธุรกิจที่มีการจัดอันดับความน่าเชื่อถือต่ำ หรือธุรกิจที่อยู่ในภาคส่วนที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่

นอกจากนี้ หากธุรกิจที่มีการออกหุ้นกู้ประสบปัญหาในการชำระหนี้คืน ก็อาจส่งผลกระทบต่อผู้ลงทุนในตราสารหนี้เหล่านั้น ซึ่งอาจเป็นสถาบันการเงิน กองทุนรวม หรือแม้แต่รายย่อยอย่างคุณได้เช่นกัน ความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงด้านเครดิตของผู้ออกหุ้นกู้บางรายอาจทำให้ตลาดตราสารหนี้ไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะกระทบต่อสภาพคล่องของตลาดโดยรวม ดังนั้น การติดตามสถานการณ์ของตลาดตราสารหนี้และความสามารถในการชำระหนี้ของภาคธุรกิจจึงเป็นสิ่งที่คุณควรให้ความสนใจอย่างใกล้ชิด เพราะมันเป็นอีกหนึ่งดัชนีชี้วัดสุขภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ

ปัจจัยเสี่ยงที่ 3: สถานะทางการเงินของผู้ให้บริการ Non-bank ที่ต้องจับตา

ความเสี่ยงประการที่สามที่ ธปท. ให้ความสำคัญคือ สถานะทางการเงินของ ผู้ให้บริการสินเชื่อที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (Non-bank) หรือที่เราคุ้นเคยกันในชื่อ “Non-bank” นั่นเอง Non-bank มีบทบาทสำคัญในการเข้าถึงสินเชื่อของประชาชนและธุรกิจที่ไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์ได้ แต่ในปัจจุบัน พวกเขากำลังเผชิญกับความท้าทายหลายประการ

ประการแรกคือ ต้นทุนการดำเนินงานที่สูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นต้นทุนทางการเงิน หรือต้นทุนในการบริหารจัดการหนี้เสีย เนื่องจาก Non-bank ส่วนใหญ่ต้องพึ่งพิงการกู้ยืมจากธนาคารพาณิชย์หรือการออกหุ้นกู้เป็นแหล่งเงินทุนหลัก เมื่ออัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น ต้นทุนทางการเงินของพวกเขาก็สูงขึ้นตามไปด้วย ประการที่สองคือ คุณภาพสินเชื่อที่ด้อยลง ซึ่งเป็นผลมาจากความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ที่ลดลง ดังที่เราได้กล่าวถึงในปัจจัยเสี่ยงที่ 1 เมื่อคุณภาพสินเชื่อแย่ลง Non-bank จำเป็นต้องมีการ ตั้งสำรองหนี้เสียเพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อความสามารถในการทำกำไรและสภาพคล่องของพวกเขา

คุณอาจมองว่า Non-bank เป็นเพียงผู้เล่นรายย่อย แต่การที่พวกเขามีบทบาทสำคัญในการปล่อยสินเชื่อให้กับกลุ่มที่ธนาคารเข้าไม่ถึง ทำให้พวกเขามีความเชื่อมโยงกับกลุ่มลูกหนี้ที่มีความเปราะบาง หาก Non-bank หลายรายประสบปัญหาพร้อมกัน อาจสร้างผลกระทบต่อระบบการเงินโดยรวมได้เช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการเข้าถึงสินเชื่อของประชาชนบางกลุ่ม ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการดำเนินชีวิตและการประกอบอาชีพ และอาจเป็นสัญญาณเตือนล่วงหน้าถึงปัญหา NPL ที่อาจลุกลามไปยังระบบธนาคารได้ในอนาคต

ดังนั้น การติดตามสถานะทางการเงินของ Non-bank จึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะสะท้อนถึงสุขภาพของเศรษฐกิจในภาคส่วนที่ละเอียดอ่อน และยังบ่งบอกถึงแนวโน้มของหนี้เสียที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสถาบันการเงินโดยรวมได้ในระยะยาวอีกด้วย

สหกรณ์ออมทรัพย์: ความท้าทายที่ซ่อนเร้น

นอกเหนือจากปัจจัยเสี่ยงหลักสามประการที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว ธปท. ยังให้ความสนใจเป็นพิเศษกับ สหกรณ์ออมทรัพย์ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเสาหลักสำคัญในระบบการเงินของไทย สหกรณ์ออมทรัพย์มีบทบาทสำคัญในการเป็นแหล่งเงินทุนและแหล่งสะสมเงินออมของสมาชิก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ ซึ่งโดยรวมแล้ว สหกรณ์ออมทรัพย์ยังคงมีสภาพคล่องและเงินกองทุนที่เพียงพอต่อการดำเนินงาน

อย่างไรก็ตาม นางรุ่ง มัลลิกะมาส รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ชี้ให้เห็นว่า ยังคงต้องจับตาสหกรณ์ออมทรัพย์บางแห่งที่อาจสะสมความเสี่ยงจากการลงทุนเพิ่มขึ้น แม้ว่าสหกรณ์จะถูกกำกับดูแลโดยกรมส่งเสริมสหกรณ์และระเบียบของนายทะเบียนสหกรณ์ แต่การลงทุนในสินทรัพย์บางประเภทที่อาจมีความผันผวนสูง หรือการปล่อยสินเชื่อให้กับสมาชิกบางรายที่มีความเสี่ยงสูงขึ้น อาจทำให้สหกรณ์เหล่านั้นต้องเผชิญกับความท้าทายด้านคุณภาพสินทรัพย์และผลการดำเนินงาน การลงทุนในหุ้นกู้ภาคเอกชนที่มีความเสี่ยง หรือการนำเงินไปลงทุนในโครงการที่ไม่มีความชัดเจน ล้วนเป็นสิ่งที่ต้องพึงระวังเป็นพิเศษ

สำหรับคุณในฐานะนักลงทุน แม้ว่าสหกรณ์ออมทรัพย์จะไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของตลาดหุ้นโดยตรง แต่การที่สหกรณ์เป็นแหล่งเงินออมขนาดใหญ่และมีบทบาทสำคัญในการปล่อยสินเชื่อให้แก่สมาชิก การที่สหกรณ์บางแห่งมีปัญหาอาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นโดยรวมในระบบการเงินได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องติดตามและทำความเข้าใจ เพื่อให้คุณสามารถประเมินภาพรวมของเสถียรภาพทางการเงินของประเทศได้อย่างรอบด้าน และตระหนักถึงความเชื่อมโยงระหว่างภาคส่วนต่างๆ ในระบบเศรษฐกิจ

มิติใหม่ของความเสี่ยง: ภัยไซเบอร์กับการยกระดับความรับผิดชอบของสถาบันการเงิน

นอกเหนือจากความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจและสินเชื่อแล้ว ธุรกิจธนาคารในยุคดิจิทัลยังต้องเผชิญกับความเสี่ยงรูปแบบใหม่ที่ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง นั่นคือ อาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือ ภัยไซเบอร์ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ตระหนักถึงความสำคัญของปัญหานี้ และได้กำหนดมาตรฐานที่เข้มงวดภายใต้ พระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 ซึ่งถือเป็นการยกระดับความรับผิดชอบของสถาบันการเงินและผู้ประกอบธุรกิจ e-money ในการปกป้องลูกค้า

สาระสำคัญของมาตรการนี้คือ การกำหนดให้สถาบันการเงินและผู้ประกอบธุรกิจ e-money ร่วมรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดจากความละเลย ในการปฏิบัติตามมาตรฐานที่ ธปท. กำหนด ซึ่งหมายความว่าหากเกิดความเสียหายกับผู้ใช้บริการอันเนื่องมาจากการที่ธนาคารหรือผู้ให้บริการขาดมาตรการป้องกันที่เพียงพอ พวกเขาจะต้องร่วมชดเชยความเสียหายนั้น นี่เป็นการสร้างความมั่นใจและยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยให้กับประชาชนผู้ใช้บริการทางการเงิน และยังเป็นการบังคับให้สถาบันการเงินต้องลงทุนในระบบรักษาความปลอดภัยอย่างจริงจัง

มาตรการที่ ธปท. กำหนดครอบคลุมหลายด้านที่สำคัญ:

  • การป้องกันการสวมรอยเปิดบัญชีหรือใช้งาน Mobile Banking:
    • ห้ามแนบลิงก์ใน SMS, MMS และอีเมลเพื่อลดโอกาสในการหลอกลวง
    • จำกัด 1 บัญชีผู้ใช้งานต่อ 1 อุปกรณ์ (ยกเว้นระบบบริหารจัดการเงินหรือช่องทางนิติบุคคล) เพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการเข้าถึง
    • การยืนยันตัวตนด้วยใบหน้า (Biometric Authentication) สำหรับการทำธุรกรรมที่มีความเสี่ยงสูง เช่น การโอนเงินเกิน 50,000 บาทต่อครั้ง/ต่อวัน การปรับเปลี่ยนวงเงิน และการเพิ่มบัญชี หรือการทำรายการที่มีมูลค่าสูง เพื่อยืนยันตัวตนของผู้ทำรายการ
  • การจำกัดความเสียหายและจัดการบัญชีม้า (Mule Account):
    • มีการแจ้งเตือนผู้ใช้บริการทุกครั้งที่มีการทำธุรกรรม เพื่อให้ลูกค้าสามารถตรวจสอบและแจ้งความผิดปกติได้ทันท่วงที
    • ระบบการระงับบัญชีม้าที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ เพื่อหยุดยั้งการแพร่กระจายของเงินที่ได้จากการทุจริต
    • สถาบันการเงินจะต้องส่งข้อมูลบัญชีม้าที่ต้องสงสัยไปยัง Central Fraud Registry (CFR) และ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลกับหน่วยงานอื่นๆ เช่น ศูนย์ปฏิบัติการเพื่อป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ศปอท.) เพื่อการประสานงานและปราบปรามที่มีประสิทธิภาพ
  • กระบวนการรับแจ้งเหตุภัยทุจริตดิจิทัลที่รวดเร็ว (Hotline):
    • สถาบันการเงินต้องมีช่องทางสายด่วนเฉพาะ (hotline) ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อรับแจ้งเหตุการทุจริตดิจิทัล และสามารถระงับบัญชีที่เกี่ยวข้องได้อย่างรวดเร็วภายในเวลาที่กำหนด เพื่อลดความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับผู้เสียหาย

มาตรการเหล่านี้ไม่เพียงแต่เป็นการปกป้องลูกค้า แต่ยังเป็นการกระตุ้นให้สถาบันการเงินลงทุนในเทคโนโลยีและระบบรักษาความปลอดภัยที่ทันสมัยมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อภาพรวมของความเชื่อมั่นในบริการทางการเงินดิจิทัลของประเทศไทยในระยะยาว สำหรับคุณในฐานะนักลงทุน การทำความเข้าใจความเสี่ยงด้านไซเบอร์และการจัดการของธนาคารที่คุณสนใจ ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่บ่งชี้ถึงความพร้อมและความแข็งแกร่งในการรับมือกับความท้าทายในโลกที่เชื่อมโยงกันอย่างสมบูรณ์แบบ

บทเรียนสำหรับนักลงทุน: เมื่อความเสี่ยงของธนาคารเป็นมากกว่าตัวเลข

จากที่เราได้สำรวจความเสี่ยงหลากหลายมิติที่ธนาคารต้องเผชิญ ทั้งจากปัจจัยมหภาค ปัจจัยเฉพาะตัวของธนาคาร ไปจนถึงภัยรูปแบบใหม่จากอาชญากรรมทางเทคโนโลยี คุณคงเห็นแล้วว่าการลงทุนในหุ้นกลุ่มธนาคารนั้นมีความซับซ้อนและมีความเสี่ยงสูงกว่าที่หลายคนคิด สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่แค่ตัวเลขในงบการเงิน แต่เป็นพลวัตที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา และส่งผลกระทบต่อผลตอบแทนการลงทุนของคุณได้โดยตรง

นักลงทุนระดับโลกอย่าง Terry Smith ผู้ก่อตั้งและผู้บริหารกองทุน FundSmith LLP. และกองทุนหลัก Fundsmith Equity Fund (ซึ่งเป็นกองทุนหลักที่กองทุน DAOL-GEQUITY และ DAOL-GLOBALEQRMF ของ บลจ.ดาโอ ไปลงทุนต่อ) ได้ให้มุมมองที่น่าสนใจเกี่ยวกับธุรกิจธนาคาร เขาหลีกเลี่ยงการลงทุนในหุ้นกลุ่มธนาคารมาโดยตลอด เพราะมองว่าธุรกิจเหล่านี้พึ่งพาเงินทุนจากหนี้สินจำนวนมหาศาล และมีความเป็นไปได้ที่จะเกิด Bank Run ซึ่งเป็นความเสี่ยงที่เขาเห็นว่าไม่สามารถควบคุมได้ หรือคาดการณ์ได้ยาก เขาเชื่อว่าความเสี่ยงด้านเครดิตและความเสี่ยงด้านสภาพคล่องนั้นเป็นความท้าทายพื้นฐานที่ฝังรากอยู่ในรูปแบบธุรกิจของธนาคาร ทำให้การประเมินและการจัดการความเสี่ยงเหล่านี้มีความซับซ้อนเกินกว่าที่จะให้ผลตอบแทนการลงทุนที่สม่ำเสมอและคาดการณ์ได้

มุมมองนี้สะท้อนให้เห็นว่า แม้ธนาคารจะดูเหมือนเป็นธุรกิจที่มั่นคงและเป็นเสาหลักของเศรษฐกิจ แต่โครงสร้างของธุรกิจที่ต้องพึ่งพาเงินฝากเป็นหลัก และการใช้ประโยชน์จากหนี้สินจำนวนมากเพื่อสร้างผลตอบแทน (Financial Leverage) ทำให้ธนาคารมีความเปราะบางต่อภาวะเศรษฐกิจผันผวนและเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่น คุณในฐานะนักลงทุนจึงควรพิจารณาความเสี่ยงเหล่านี้อย่างรอบคอบ

การวิเคราะห์ความเสี่ยงของธนาคารไม่ใช่แค่การดู P/E Ratio หรือ Dividend Yield เท่านั้น แต่ต้องเข้าใจลึกซึ้งถึงคุณภาพสินทรัพย์ อัตราส่วนหนี้เสีย อัตราส่วนเงินกองทุน สภาพคล่อง และความสามารถในการบริหารจัดการความเสี่ยงต่างๆ รวมถึงความเสี่ยงที่เกิดจากการโจมตีทางไซเบอร์ที่อาจนำไปสู่ความเสียหายและการสูญเสียความเชื่อมั่นอย่างรวดเร็ว การกระจายความเสี่ยง (Diversification) จึงเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญอย่างยิ่งในการลงทุน เพื่อไม่ให้พอร์ตการลงทุนของคุณมีความเสี่ยงกระจุกตัวอยู่ในธุรกิจที่อาจเผชิญกับความผันผวนสูงเช่นนี้ นักลงทุนควรประเมินไม่เพียงแค่ผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับ แต่ยังต้องพิจารณาถึงความเสี่ยงที่ซ่อนอยู่และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อเงินลงทุนของคุณ

นอกจากนี้ การติดตามข่าวสารและนโยบายของธนาคารกลางอย่างใกล้ชิด เช่น การปรับขึ้น-ลงอัตราดอกเบี้ย การออกกฎระเบียบใหม่ๆ ก็เป็นสิ่งจำเป็น เพราะสิ่งเหล่านี้มีผลโดยตรงต่อการดำเนินงานและความสามารถในการทำกำไรของธนาคาร การตัดสินใจลงทุนอย่างมีข้อมูลและรอบคอบเท่านั้นที่จะช่วยให้คุณสามารถนำทางในตลาดหุ้นที่มีความซับซ้อนและเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนนี้ได้อย่างปลอดภัย โดยอาจพิจารณาเปรียบเทียบผลการดำเนินงานของหุ้นกลุ่มธนาคารกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์โดยรวม เช่น S&P500 หรือ Stoxx Europe 600 Banks Index เพื่อให้เห็นภาพรวมของแนวโน้มความเสี่ยงของภาคธนาคาร

เตรียมพร้อมรับมือ: คำแนะนำสำหรับคุณในฐานะนักลงทุนและผู้บริโภคทางการเงิน

เมื่อเราได้ทำความเข้าใจถึงความเสี่ยงต่างๆ ที่ธนาคารและระบบการเงินไทยต้องเผชิญ คุณในฐานะนักลงทุนและผู้บริโภคทางการเงินย่อมต้องการแนวทางในการเตรียมพร้อมและปกป้องตนเอง เรามีคำแนะนำง่ายๆ ที่จะช่วยให้คุณสามารถรับมือกับความไม่แน่นอนเหล่านี้ได้อย่างมั่นใจ และนำความรู้ที่ได้ไปปรับใช้ในการตัดสินใจในชีวิตจริง

ประการแรก ในฐานะนักลงทุน:

  • ศึกษาและทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง: ก่อนตัดสินใจลงทุนในหุ้นกลุ่มธนาคารใดๆ คุณควรศึกษาข้อมูลเชิงลึกอย่างละเอียด ไม่ใช่แค่ตัวเลขผลประกอบการเพียงผิวเผิน แต่รวมถึงคุณภาพสินทรัพย์ อัตราส่วนหนี้เสีย (NPL) อัตราส่วนเงินกองทุน (CET1 ratio) และอัตราส่วนสภาพคล่อง (LDR) ของธนาคารนั้นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากธนาคารที่คุณสนใจมี LDR ที่สูงผิดปกติ หรือมีหนี้เสียเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นั่นอาจเป็นสัญญาณเตือนที่คุณควรให้ความสนใจเป็นพิเศษ และพิจารณาถึงปัจจัยเชิงคุณภาพ เช่น ทีมผู้บริหาร ธรรมาภิบาล และกลยุทธ์การบริหารความเสี่ยง
  • กระจายความเสี่ยงอย่างชาญฉลาด: อย่าใส่ไข่ทั้งหมดไว้ในตะกร้าใบเดียว การลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมที่หลากหลายจะช่วยลดความเสี่ยงจากการที่ธุรกิจใดธุรกิจหนึ่งเผชิญกับวิกฤต การกระจายการลงทุนไปในสินทรัพย์ประเภทอื่นๆ เช่น กองทุนรวม ตราสารหนี้ หรืออสังหาริมทรัพย์ ก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน เพื่อลดความผันผวนของพอร์ตการลงทุนโดยรวม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเผชิญกับความเสี่ยงเชิงระบบที่อาจส่งผลกระทบต่อทั้งภาคส่วน
  • ติดตามข่าวสารและนโยบายอย่างใกล้ชิด: สถานการณ์เศรษฐกิจมหภาค นโยบายของธนาคารกลาง และกฎระเบียบใหม่ๆ ล้วนส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาคธนาคาร การรับรู้ข้อมูลที่รวดเร็วและถูกต้อง จะช่วยให้คุณปรับพอร์ตการลงทุนได้อย่างทันท่วงที เช่น การเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย การเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์การกำกับดูแล หรือแม้แต่ข่าวสารเกี่ยวกับการควบรวมกิจการในอุตสาหกรรมธนาคาร
  • มองหาคุณภาพที่ยั่งยืน: เลือกธนาคารที่มีการบริหารจัดการที่ดี มีธรรมาภิบาลที่แข็งแกร่ง และมีมาตรการป้องกันความเสี่ยงที่เข้มงวด ธนาคารที่มีการลงทุนในเทคโนโลยีเพื่อยกระดับความปลอดภัยและประสบการณ์ลูกค้า มักจะเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจกว่าในระยะยาว เพราะแสดงถึงวิสัยทัศน์และความพร้อมในการปรับตัวให้เข้ากับภูมิทัศน์ความเสี่ยงที่เปลี่ยนแปลงไป

ประการที่สอง ในฐานะผู้บริโภคทางการเงิน:

  • ระมัดระวังภัยไซเบอร์อยู่เสมอ: พึงตระหนักว่าอาชญากรรมทางเทคโนโลยีมีอยู่รอบตัวคุณ อย่าหลงเชื่อข้อความ หรือลิงก์ที่น่าสงสัยที่ส่งมาทาง SMS, MMS หรืออีเมล ตรวจสอบแหล่งที่มาของข้อมูลก่อนเสมอ และตั้งค่าการยืนยันตัวตนแบบหลายชั้น (Multi-Factor Authentication) ในทุกบัญชีธนาคารและแอปพลิเคชันทางการเงินของคุณ เพื่อเพิ่มความปลอดภัยอีกขั้น
  • ตรวจสอบบัญชีเป็นประจำและแจ้งทันที: ตรวจสอบรายการเดินบัญชีของคุณอย่างสม่ำเสมอ หากพบความผิดปกติแม้เพียงเล็กน้อย ให้รีบติดต่อธนาคารทันทีผ่านช่องทางสายด่วน (Hotline) ที่ ธปท. กำหนดไว้ หรือช่องทางที่เชื่อถือได้ของธนาคาร เพื่อให้ธนาคารสามารถระงับบัญชีหรือดำเนินการแก้ไขได้อย่างรวดเร็ว
  • รักษาข้อมูลส่วนบุคคลอย่างเคร่งครัด: อย่าให้ข้อมูลส่วนตัว รหัสผ่าน หรือ OTP แก่ผู้อื่นไม่ว่าจะกรณีใดๆ ผ่านช่องทางที่ไม่ปลอดภัย หรือแก่บุคคลที่คุณไม่รู้จัก เพราะข้อมูลเหล่านี้คือกุญแจสำคัญที่มิจฉาชีพต้องการเพื่อเข้าถึงบัญชีของคุณ

เราเชื่อว่าด้วยความรู้ความเข้าใจในความเสี่ยงต่างๆ ที่ได้กล่าวมา และการนำคำแนะนำเหล่านี้ไปปฏิบัติ คุณจะสามารถปกป้องเงินทุนของคุณ และนำทางในโลกของการลงทุนและบริการทางการเงินได้อย่างชาญฉลาดและปลอดภัยยิ่งขึ้น เพราะการเตรียมพร้อมเป็นหนทางเดียวที่จะรับมือกับความไม่แน่นอนในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สรุป: สร้างภูมิคุ้มกันทางการเงินในโลกที่ไม่หยุดนิ่ง

ตลอดบทความนี้ เราได้เดินทางผ่านภูมิทัศน์ความเสี่ยงที่ซับซ้อนของภาคธนาคาร เริ่มต้นจากบทเรียนอันเจ็บปวดจากวิกฤตการณ์ในต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการล้มลงของ Credit Suisse หรือ First Republic Bank ซึ่งล้วนเป็นผลมาจากความเชื่อมั่นที่สั่นคลอน และการบริหารจัดการความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย สภาพคล่อง และเงินกองทุนที่ไม่เพียงพอ เหตุการณ์เหล่านี้ได้ตอกย้ำให้เห็นว่า ไม่มีธนาคารใดที่ “ใหญ่เกินกว่าจะล้ม” หากขาดความระมัดระวังและการกำกับดูแลที่เข้มแข็ง

เราได้เจาะลึกถึงสถานการณ์ของธนาคารในประเทศไทย ซึ่งแม้จะยังคงมีเสถียรภาพโดยรวม แต่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ก็ยังคงเฝ้าระวัง 3 ปัจจัยเสี่ยงสำคัญ ได้แก่ ความสามารถในการชำระหนี้ของครัวเรือนและธุรกิจเปราะบาง ความท้าทายในการระดมทุนผ่านตลาดตราสารหนี้ และสถานะทางการเงินของผู้ให้บริการ Non-bank รวมถึงความเสี่ยงที่ซ่อนเร้นในสหกรณ์ออมทรัพย์ สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า แม้ระบบการเงินของเราจะดูแข็งแกร่ง แต่ก็ยังมีจุดที่ต้องให้ความสำคัญและรับมืออย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันไม่ให้ความเสี่ยงเล็กๆ น้อยๆ สะสมตัวจนกลายเป็นปัญหาที่ใหญ่ขึ้นได้

นอกจากนี้ เรายังได้พูดถึงมิติใหม่ของความเสี่ยงที่สำคัญอย่างยิ่งในยุคดิจิทัล นั่นคือ อาชญากรรมทางเทคโนโลยี และมาตรการเชิงรุกที่ ธปท. ได้กำหนดขึ้นภายใต้พระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2568 เพื่อยกระดับความรับผิดชอบของสถาบันการเงินในการปกป้องลูกค้า นี่คือการตอบรับต่อความเปลี่ยนแปลงของภัยคุกคาม และเป็นการสร้างความเชื่อมั่นในระบบการเงินดิจิทัล ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการดำเนินชีวิตและการทำธุรกรรมในปัจจุบัน

สำหรับคุณในฐานะนักลงทุนและผู้บริโภคทางการเงิน บทเรียนสำคัญที่สุดคือ ความรู้ความเข้าใจ และ ความระมัดระวัง โลกของการเงินเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ความเสี่ยงใหม่ๆ เกิดขึ้นเสมอ การเรียนรู้และปรับตัวอย่างต่อเนื่องเท่านั้นที่จะช่วยให้คุณสามารถสร้างภูมิคุ้มกันทางการเงินที่แข็งแกร่ง ไม่ว่าคุณจะกำลังพิจารณาลงทุนในหุ้นธนาคาร หรือเพียงแค่ใช้บริการทางการเงินในชีวิตประจำวัน การมีความเข้าใจที่ลึกซึ้งในความเสี่ยงเหล่านี้ จะเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาด และก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคงในทุกสถานการณ์

เราหวังว่าบทความนี้จะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยเติมเต็มความรู้และเสริมสร้างความมั่นใจในการเดินทางบนเส้นทางของการลงทุนของคุณ ขอให้คุณประสบความสำเร็จในการบริหารจัดการเงินและการลงทุนครับ

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับความเสี่ยงของธนาคาร มีอะไรบ้าง

Q:ความเสี่ยงอัตราดอกเบี้ยคืออะไร?

A:ความเสี่ยงอัตราดอกเบี้ยคือความเสี่ยงต่อการขาดทุนจากการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ย ซึ่งทำให้มูลค่าของสินทรัพย์ลดลง

Q:เหตุใดความเสี่ยงด้านสภาพคล่องจึงมีความสำคัญ?

A:ความเสี่ยงด้านสภาพคล่องหมายถึงความสามารถของธนาคารในการรับมือกับการถอนเงินจากผู้ฝากเงิน ซึ่งอาจนำไปสู่การขายสินทรัพย์ในราคาที่ต่ำ

Q:ความเสี่ยงของ Non-bank เป็นอย่างไร?

A:Non-bank เผชิญกับความเสี่ยงจากความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้และการจำกัดทุนจากธนาคารพาณิชย์

發佈留言