66, Broklyn St, New York, USA
Turning big ideas into great services!

ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ: ทำความเข้าใจ วิกฤต และแนวทางรับมือเพื่อเศรษฐกิจไทยที่แข็งแกร่ง

Home / เริ่มต้นเทรด / ภาว...

meetcinco_com | 03 11 月

ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ: ทำความเข้าใจ วิกฤต และแนวทางรับมือเพื่อเศรษฐกิจไทยที่แข็งแกร่ง

บทนำ: ทำความเข้าใจภาวะเศรษฐกิจตกต่ำในบริบทโลกและไทย

เศรษฐกิจโลกเต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลงที่คาดเดาไม่ได้ มันเคลื่อนไหวเป็นวัฏจักร โดยมีช่วงเวลาที่ขยายตัวคึกคักและช่วงที่หดตัวลงอย่างน่าเศร้า แต่ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจมากมาย ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำนับเป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด มันกวาดล้างผลกระทบไปทั่วทุกมุมของสังคม ต่างจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่เกิดขึ้นบ่อยกว่าและไม่รุนแรงเท่า การเข้าใจความหมาย สาเหตุ ผลกระทบ และวิธีรับมือกับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำจึงเป็นเรื่องที่ขาดไม่ได้ ไม่ใช่แค่สำหรับหน่วยงานรัฐและผู้ประกอบการ แต่สำหรับคนทั่วไปด้วย

บทความนี้จะชวนคุณสำรวจลึกเข้าไปในหัวข้อนี้ ตั้งแต่คำจำกัดความทางเศรษฐศาสตร์ ความแตกต่างจากภาวะถดถอย สาเหตุหลักที่จุดชนวนวิกฤต ไปจนถึงตัวอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ เช่น ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ และโดยเฉพาะบทเรียนจากวิกฤตต้มยำกุ้งในปี 2540 ของไทย เราจะวิเคราะห์ผลกระทบทั้งในภาพรวมและระดับบุคคล พร้อมเสนอแนวทางเตรียมตัวและแก้ไขสำหรับรัฐ ธุรกิจ และปัจเจก เพื่อปูทางสู่เศรษฐกิจไทยที่มั่นคงและยั่งยืน

ภาพประกอบกราฟเศรษฐกิจโลกที่แสดงการตกต่ำรุนแรงของภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ เทียบกับการลดลงเล็กน้อยในภาวะถดถอย

ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำคืออะไร? นิยามและลักษณะสำคัญ

ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำหมายถึงช่วงเวลาที่เศรษฐกิจหดตัวลงอย่างหนักและยืดเยื้อ สร้างความเสียหายขนาดใหญ่ต่อการจ้างงาน การผลิต และความมั่นใจของผู้บริโภคกับนักลงทุน มันรุนแรงกว่าภาวะถดถอยหลายเท่า

คำจำกัดความทางเศรษฐศาสตร์

นักเศรษฐศาสตร์มักกำหนดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำว่าเป็นการลดลงของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศอย่างน้อย 10 เปอร์เซ็นต์ หรือภาวะถดถอยที่ยาวนานเกิน 3 ปี ลักษณะเด่นคือการร่วงหล่นของการผลิต การลงทุน การค้า และการบริโภค ขณะที่อัตราการว่างงานพุ่งสูง และดัชนีราคาผู้บริโภคลดลงอย่างน่าตกใจ ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะเงินฝืด การหดตัวในระดับนี้บ่งบอกถึงวิกฤตที่ลึกซึ้งและยาวนาน จนกลไกตลาดปกติไม่สามารถดึงตัวกลับได้ง่ายๆ

ลักษณะเด่นที่บ่งชี้ภาวะตกต่ำ

ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำมีสัญญาณชัดเจนหลายอย่างที่ช่วยให้เราจำแนกได้ เช่น:

  • อัตราการว่างงานทะยานขึ้นอย่างก้าวกระโดด สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ทำให้คนจำนวนมากสูญเสียรายได้
  • การผลิตและกำลังซื้อทรุดตัว โรงงานหลายแห่งลดกำลังหรือปิดกิจการ ผู้บริโภคถอนตัวจากการใช้จ่าย การลงทุนแทบหยุดนิ่ง
  • ราคาสินค้าและบริการร่วงลงต่อเนื่อง สร้างภาวะเงินฝืดที่ทำให้ธุรกิจขาดแรงจูงใจในการผลิต
  • ตลาดหุ้นและสินทรัพย์อื่นๆ ดิ่งเหว มูลค่าหายวับไป สร้างความสูญเสียให้กับนักลงทุนและสถาบันการเงิน
  • ความเชื่อมั่นในระบบเศรษฐกิจหายไปสิ้น ผู้บริโภค ธุรกิจ และนักลงทุนต่างถอยร่น กิจกรรมทางเศรษฐกิจชะงักงัน
  • ระบบธนาคารเผชิญวิกฤตหนี้เสียและขาดสภาพคล่อง ซึ่งอาจลุกลามสู่การล้มละลาย
ภาพประกอบที่แสดงแว่นขยายส่องข้อมูลเศรษฐกิจ พร้อมไอคอนแทนการว่างงานและเงินเฟ้อ

ความแตกต่างระหว่างภาวะเศรษฐกิจตกต่ำกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย

แม้ทั้งสองจะบ่งบอกถึงการหดตัวของเศรษฐกิจ แต่ระดับความรุนแรงและขอบเขตผลกระทบต่างกันอย่างสิ้นเชิง การแยกแยะให้ชัดเจนจึงช่วยให้เราเตรียมรับมือได้ดีขึ้น

มาตรฐานการวัด

ภาวะเศรษฐกิจถดถอยมักวัดจาก GDP ที่ลดลงติดต่อกันอย่างน้อยสองไตรมาส ซึ่งเป็นเกณฑ์มาตรฐานที่ใช้กันทั่วโลก แต่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำลึกและยาวนานกว่านั้น GDP อาจหดตัวมากกว่า 10 เปอร์เซ็นต์ และกินเวลาหลายปี ไม่ใช่แค่ไม่กี่เดือน ผลกระทบต่อการว่างงานและการผลิตก็รุนแรงกว่ามาก เช่น ในถดถอยอาจเพิ่มว่างงานแค่ 1-2 เปอร์เซ็นต์ แต่ในตกต่ำอาจทะลุ 10 เปอร์เซ็นต์หรือสูงกว่านั้น

ผลกระทบต่อสังคมและตลาด

ผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำนั้นรุนแรงเกินกว่าที่ภาวะถดถอยจะเทียบได้ ในถดถอย ผู้คนอาจกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย การลงทุนชะลอ และมีการปลดคนงานบ้าง แต่ในตกต่ำ มันกลายเป็นหายนะที่แผ่ซ่านไปทุกสารทิศ ธุรกิจล้มระนาว ว่างงานทะลัก ตลาดหุ้นพังทลาย ระบบธนาคารสั่นคลอน สร้างความไม่แน่นอนและความเครียดให้กับชีวิตผู้คน ความเชื่อมั่นทั้งในเศรษฐกิจและรัฐบาลร่วงลงต่ำสุด การฟื้นฟูจึงต้องใช้ความพยายามมหาศาล

ภาพประกอบกราฟ GDP ที่หดตัวอย่างรุนแรง พร้อมไอคอนคนเศร้าและโรงงานที่ชะลอตัว

สาเหตุหลักที่นำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ

ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำมักจุดติดจากปัจจัยที่ซับซ้อนและเชื่อมโยงกัน สร้างปฏิกิริยาลูกโซ่ที่ยากต่อการควบคุม

วิกฤตการณ์ทางการเงินและสินเชื่อ

สาเหตุหลักอย่างหนึ่งคือวิกฤตการเงินที่เกิดจากการแตกของฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์หรือตลาดหุ้น การปล่อยกู้อย่างไม่ระมัดระวังนำไปสู่หนี้ค้างชำระจำนวนมหาศาล เมื่อฟองสบู่แตก ราคาสินทรัพย์ร่วงลง สร้างปัญหาสภาพคล่องในธนาคารและการล้มละลายของสถาบันการเงิน ธุรกิจไม่สามารถกู้ทุนเพื่อดำเนินงานได้ ผู้บริโภคก็หยุดกู้เพื่อใช้จ่าย ส่งผลให้เศรษฐกิจจมดิ่งอย่างรวดเร็ว

อุปสงค์รวมลดลงอย่างรุนแรง

หลังวิกฤตการเงิน ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและธุรกิจถดถอย ทำให้การบริโภคและลงทุนลดฮวบ ผู้คนเลิกใช้จ่าย ธุรกิจขายสินค้าไม่ได้ ต้องลดผลิตและเลิกจ้าง ซึ่งยิ่งทำให้กำลังซื้อหายไป เกิดวงจรอุบาทว์ที่ห่วงโซ่อุปทานทั้งหมดได้รับผลกระทบ เศรษฐกิจจึงไม่สามารถขับเคลื่อนต่อไปได้

นโยบายภาครัฐและธนาคารกลาง

นโยบายที่ผิดพลาดหรือล่าช้าจากรัฐบาลและธนาคารกลางก็อาจจุดชนวนหรือทำให้วิกฤตแย่ลง เช่น การขึ้นดอกเบี้ยเร็วเกินไปในช่วงเศรษฐกิจอ่อนแอ ทำให้เข้าถึงเงินทุนยากขึ้น หรือขาดมาตรการกระตุ้นที่เหมาะสม การใช้นโยบายกีดกันการค้าก็อาจขยายปัญหาให้ใหญ่โต

กรณีศึกษา: ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งสำคัญของโลกและบทเรียนสำหรับไทย

การย้อนดูประวัติศาสตร์ช่วยให้เราเข้าใจกลไกของวิกฤตและวิธีรับมือได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

The Great Depression (ค.ศ. 1929)

ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่คือเหตุการณ์รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐและโลก เริ่มจากตลาดหุ้นวอลล์สตรีทร่วงในเดือนตุลาคม 1929 นำไปสู่ธนาคารล้มระนาว ว่างงานพุ่งถึง 25 เปอร์เซ็นต์ในสหรัฐ GDP หดตัวหนัก ผลกระทบลุกลามทั่วโลกผ่านการค้าและลงทุน ประธานาธิบดีแฟรงกลิน ดี. รูสเวลต์ตอบโต้ด้วยนโยบาย New Deal ซึ่งปฏิรูประบบเศรษฐกิจและสังคม ใช้เงินรัฐสร้างงานและกระตุ้นกิจกรรม เป็นบทเรียนสำคัญว่าการแทรกแซงของรัฐช่วยพลิกวิกฤตได้

วิกฤตต้มยำกุ้ง (ค.ศ. 1997): บทเรียนจากประเทศไทย

ไทยเผชิญวิกฤตใหญ่ที่เรียกว่าต้มยำกุ้งในปี 2540 แม้ไม่ใช่ภาวะตกต่ำเต็มรูปแบบตามมาตรฐานสากล แต่รุนแรงพอที่จะเป็นบทเรียนชั้นดี ค่าเงินบาทถูกโจมตีจนธนาคารแห่งประเทศไทยต้องลอยตัว ส่งผลให้ค่าเงินอ่อนค่าหนัก หนี้ต่างประเทศที่เป็นดอลลาร์พุ่ง สถาบันการเงินและธุรกิจล้มละลายเพียบ รัฐต้องขอความช่วยเหลือจาก IMF พร้อมเงื่อนไขปฏิรูป เช่น จัดการหนี้ รัดงบประมาณ และแปรรูปรัฐวิสาหกิจ วิกฤตนี้สอนไทยให้เห็นความสำคัญของการจัดการหนี้ต่างประเทศ วินัยการคลัง และเสริมเกราะป้องกันภาคการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทยได้รวบรวมข้อมูลและบทเรียนจากวิกฤตครั้งนั้นไว้ เพื่อเตือนใจและป้องกันในอนาคต

ผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ: มุมมองระดับมหภาคและจุลภาค

ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำสร้างความเสียหายทั้งในระดับชาติและชีวิตประจำวันของผู้คน

ผลกระทบต่อเศรษฐกิจมหภาค

ในภาพรวมใหญ่ ผลกระทบรวมถึง:

  • ว่างงานและการล้มละลายพุ่งสูงสุด กำลังผลิตของประเทศลดลงอย่างเห็นได้ชัด
  • ภาวะเงินฝืดที่ราคาติดลบต่อเนื่อง ผู้บริโภคเลื่อนการใช้จ่ายรอราคาถูกลง ยิ่งทำให้อุปสงค์หดตัว
  • การลงทุนและส่งออกชะงักงัน เนื่องจากอุปสงค์โลกอ่อนแอ
  • หนี้สาธารณะพุ่ง รัฐต้องใช้เงินช่วยกระตุ้นและบรรเทา
  • การฟื้นตัวช้า ต้องใช้เวลาหลายปีและนโยบายต่อเนื่อง

ผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของคนไทย

สำหรับคนไทยทั่วไป ผลกระทบปรากฏผ่าน:

  • รายได้หดตัว ขณะค่าครองชีพยังสูงหรือลดไม่ทัน
  • หนี้ครัวเรือนเพิ่มภาระ อาจนำไปสู่การยึดทรัพย์
  • ความเครียดกระทบสุขภาพจิตและคุณภาพชีวิต
  • การศึกษาของลูกหลานอาจถูกกระทบ โอกาสอนาคตหดหาย

ผลกระทบต่อภาคธุรกิจไทย

ธุรกิจไทยต้องเผชิญความท้าทายหนักหน่วง:

  • ยอดขายและกำไรลดฮวบ จากอุปสงค์ที่หายไป
  • ขาดสภาพคล่อง นำไปสู่การปิดกิจการ
  • เลิกจ้างงานเพื่อตัดต้นทุน
  • การแข่งขันดุเดือดในตลาดที่เล็กลง
  • ต้องปรับตัวเร็ว เช่น ลดค่าใช้จ่าย หาตลาดใหม่ หรือใช้ดิจิทัล

การเตรียมรับมือและแนวทางแก้ไขเมื่อเผชิญภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ (สำหรับภาครัฐ ธุรกิจ และบุคคล)

การเตรียมตัวและวางแผนรับมือช่วยลดความเสียหายจากวิกฤตได้อย่างมีประสิทธิภาพ

บทบาทของภาครัฐและธนาคารกลาง

รัฐและธนาคารกลางมีหน้าที่หลักในการป้องกันและเยียวยา:

  • นโยบายการเงินผ่อนคลาย เช่น ลดดอกเบี้ยหรืออัดฉีดเงินเพื่อเพิ่มสภาพคล่อง
  • นโยบายการคลัง เช่น ลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ลดภาษี หรือช่วยเหลือประชาชน
  • ปฏิรูปสถาบันการเงินให้แข็งแกร่ง ป้องกันฟองสบู่
  • เสริมเครือข่ายความปลอดภัยสังคม เช่น ประกันว่างงานและสวัสดิการ
  • ประสานงานนานาชาติเพื่อแก้ปัญหาโลก

แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติของไทย มักปรับให้สอดคล้องกับความท้าทาย เพื่อวางแผนระยะยาว

กลยุทธ์สำหรับธุรกิจไทย

ธุรกิจไทยควรปรับกลยุทธ์เพื่อรอดและเติบโต:

การวางแผนการเงินส่วนบุคคลสำหรับคนไทย

สำหรับบุคคล การวางแผนการเงินอย่างรอบคอบช่วยรับมือได้:

  • สร้างกองทุนฉุกเฉินสำหรับ 6-12 เดือน
  • ควบคุมหนี้ ชำระดอกเบี้ยสูงก่อน
  • ลงทุนกระจายความเสี่ยง ศึกษาข้อมูลดี
  • พัฒนาทักษะใหม่เพื่อโอกาสงาน
  • พิจารณาประกันสุขภาพหรือชีวิต

สรุป: การเรียนรู้จากอดีตเพื่อสร้างเศรษฐกิจไทยที่แข็งแกร่ง

ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำเป็นวิกฤตที่รุนแรงและแผ่กว้าง การเข้าใจสาเหตุ ผลกระทบ และวิธีรับมือจึงขาดไม่ได้ ไทยเคยรอดพ้นจากต้มยำกุ้งปี 2540 ซึ่งเป็นบทเรียนล้ำค่าที่เน้นวินัยการคลัง การจัดการหนี้ และภูมิคุ้มกันเศรษฐกิจ

เพื่ออนาคตที่แข็งแกร่ง ไทยต้องเรียนรู้จากอดีต เตรียมรับมือความท้าทายใหม่ในยุคดิจิทัล โลกาภิวัตน์ และ气候變化 ความยืดหยุ่น นวัตกรรม และความร่วมมือระหว่างรัฐ เอกชน และประชาชน จะเป็นกุญแจสู่การฟื้นตัวที่ยั่งยืน

ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย มีจุดต่างที่สำคัญอย่างไร?

ความแตกต่างที่สำคัญคือ ระดับความรุนแรงและระยะเวลา ภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) คือ GDP หดตัวอย่างน้อยสองไตรมาสติดต่อกัน มีผลกระทบจำกัดและฟื้นตัวได้ไม่นานนัก ในขณะที่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ (Depression) คือการหดตัวของ GDP ที่รุนแรงกว่ามาก (เช่น มากกว่า 10%) และกินเวลานานหลายปี พร้อมด้วยอัตราการว่างงานที่พุ่งสูงและภาวะเงินฝืดรุนแรง ผลกระทบต่อสังคมและเศรษฐกิจจะกว้างขวางและลึกซึ้งกว่ามาก

ประเทศไทยเคยประสบภาวะเศรษฐกิจตกต่ำอย่างรุนแรงเมื่อใด และเรียนรู้อะไรจากเหตุการณ์นั้น?

ประเทศไทยเคยประสบวิกฤตเศรษฐกิจที่รุนแรงที่สุดคือ วิกฤตต้มยำกุ้งในปี พ.ศ. 2540 (ค.ศ. 1997) ซึ่งแม้จะไม่ถึงขั้นเป็นภาวะเศรษฐกิจตกต่ำตามนิยามสากล แต่ก็มีความรุนแรงใกล้เคียงและส่งผลกระทบอย่างมหาศาล บทเรียนสำคัญที่ได้เรียนรู้คือความสำคัญของการบริหารจัดการหนี้ต่างประเทศ การรักษาวินัยทางการคลัง การสร้างความเข้มแข็งให้ภาคการเงิน และการมีภูมิคุ้มกันเพื่อรับมือกับความผันผวนของระบบเศรษฐกิจโลก

ในมุมมองของคนไทย สัญญาณใดบ้างที่บ่งชี้ถึงการเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ?

สัญญาณที่คนไทยทั่วไปอาจสังเกตเห็นได้ ได้แก่:

  • อัตราการว่างงานที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง
  • การประกาศปิดกิจการหรือลดขนาดองค์กรของบริษัทต่างๆ
  • ยอดขายสินค้าและบริการลดลงอย่างมากในหลายภาคส่วน
  • ราคาอสังหาริมทรัพย์และหุ้นตกต่ำอย่างรุนแรงและยาวนาน
  • ผู้คนมีความกังวลในการใช้จ่ายและลงทุน
  • ธนาคารเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น

หากเกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ รัฐบาลไทยและธนาคารแห่งประเทศไทยจะออกมาตรการช่วยเหลืออะไรได้บ้าง?

รัฐบาลไทยและธนาคารแห่งประเทศไทยจะร่วมกันออกมาตรการต่างๆ เพื่อบรรเทาผลกระทบและกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น:

  • **นโยบายการเงิน:** ธนาคารแห่งประเทศไทยอาจลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อกระตุ้นการกู้ยืมและลงทุน หรือใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) เพื่อเพิ่มสภาพคล่องในระบบ
  • **นโยบายการคลัง:** รัฐบาลอาจเพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐในโครงการโครงสร้างพื้นฐาน การให้เงินช่วยเหลือแก่ประชาชนและธุรกิจ การลดภาษี หรือการปรับโครงสร้างหนี้
  • **มาตรการช่วยเหลือภาคธุรกิจ:** เช่น การให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ การพักชำระหนี้ หรือมาตรการส่งเสริมการจ้างงาน
  • **มาตรการช่วยเหลือประชาชน:** เช่น การจัดหางานชั่วคราว การให้เงินอุดหนุน หรือการเสริมสร้างสวัสดิการสังคม

คนไทยทั่วไปควรเตรียมตัววางแผนการเงินและชีวิตอย่างไรเพื่อรับมือกับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ?

คนไทยควรเตรียมตัวดังนี้:

  • สร้างเงินสำรองฉุกเฉิน: มีเงินออมเพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายจำเป็นอย่างน้อย 6-12 เดือน
  • ควบคุมหนี้สิน: หลีกเลี่ยงการก่อหนี้ที่ไม่จำเป็น และพยายามชำระหนี้ที่มีอยู่ให้ลดลง
  • กระจายความเสี่ยงการลงทุน: ไม่ควรนำเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงเพียงอย่างเดียว
  • พัฒนาทักษะใหม่ๆ: เพื่อเพิ่มโอกาสในการหางานหรือเปลี่ยนอาชีพ
  • ลดค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือย: ปรับพฤติกรรมการใช้จ่ายให้เหมาะสมกับสถานการณ์
  • พิจารณาประกัน: มีประกันสุขภาพหรือประกันชีวิตที่เหมาะสมเพื่อลดภาระในยามฉุกเฉิน

ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำจะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นและอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยอย่างไร?

ในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มที่จะ ปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงและต่อเนื่อง เนื่องจากความเชื่อมั่นของนักลงทุนลดลง ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนแย่ลง และสภาพคล่องในตลาดลดน้อยลง ส่วนตลาดอสังหาริมทรัพย์ก็มีแนวโน้มที่จะ ซบเซาอย่างหนัก ราคาบ้านและที่ดินอาจลดลงอย่างมาก เนื่องจากกำลังซื้อของผู้บริโภคลดลง การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ชะลอตัว และธนาคารเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยมากขึ้น

มีธุรกิจประเภทใดบ้างที่อาจจะยังคงเติบโตหรือมีโอกาสใหม่ๆ เกิดขึ้นได้ในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำในไทย?

แม้เศรษฐกิจจะตกต่ำ แต่บางธุรกิจอาจยังคงอยู่รอดหรือมีโอกาสเติบโตได้:

  • ธุรกิจสินค้าจำเป็น: เช่น อาหาร เครื่องดื่ม ยาและเวชภัณฑ์ เพราะเป็นสิ่งที่ผู้คนขาดไม่ได้
  • ธุรกิจบริการซ่อมบำรุง/มือสอง: ผู้คนมักจะซ่อมแซมสิ่งของแทนการซื้อใหม่ หรือหันมาซื้อของมือสอง
  • ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีราคาประหยัด: เช่น บริการอินเทอร์เน็ต แอปพลิเคชันที่ช่วยลดค่าใช้จ่าย หรือแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ
  • ธุรกิจการศึกษาและพัฒนาทักษะ: ผู้คนอาจต้องการเพิ่มพูนความรู้เพื่อเพิ่มโอกาสในการทำงาน
  • ธุรกิจด้านสุขภาพและการดูแลผู้สูงอายุ: เป็นความต้องการพื้นฐานที่ยังคงมีอยู่

การว่างงานในประเทศไทยจะเพิ่มสูงขึ้นมากน้อยเพียงใดหากเกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ?

หากเกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ อัตราการว่างงานในประเทศไทยมีแนวโน้มที่จะ เพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญและรวดเร็ว อาจพุ่งสูงขึ้นเป็นตัวเลขสองหลัก (มากกว่า 10%) ซึ่งสูงกว่าอัตราปกติมาก การเลิกจ้างงานจะเกิดขึ้นในวงกว้างในหลายภาคส่วนธุรกิจ ทั้งภาคอุตสาหกรรม บริการ และการท่องเที่ยว ผลกระทบจะรุนแรงและกินเวลานานจนกว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวกลับมา

ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำในยุคดิจิทัลและโลกาภิวัตน์ จะแตกต่างจากในอดีตอย่างไรต่อประเทศไทย?

ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำในยุคปัจจุบันอาจมีลักษณะแตกต่างจากอดีต:

  • **การแพร่กระจายเร็วขึ้น:** ด้วยโลกาภิวัตน์และระบบการเงินที่เชื่อมโยงกัน วิกฤตในประเทศหนึ่งอาจส่งผลกระทบต่อประเทศไทยได้รวดเร็วขึ้น
  • **บทบาทของเทคโนโลยี:** การพึ่งพาเทคโนโลยีดิจิทัลมากขึ้นอาจสร้างโอกาสใหม่ๆ ในการปรับตัว แต่ก็อาจเพิ่มความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัลได้
  • **ห่วงโซ่อุปทานโลก:** ปัญหาในห่วงโซ่อุปทานโลกอาจส่งผลกระทบต่อการผลิตและส่งออกของไทยอย่างรุนแรง
  • **ความท้าทายจากสภาพภูมิอากาศ:** วิกฤตเศรษฐกิจอาจซ้ำเติมปัญหาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่น ผลกระทบต่อภาคเกษตรกรรม
  • **ข้อมูลข่าวสารรวดเร็ว:** ข่าวสารและข้อมูลที่รวดเร็วอาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของตลาดได้ทั้งในทางบวกและลบอย่างรวดเร็ว

วิกฤตการณ์โควิด-19 ถือเป็นภาวะเศรษฐกิจตกต่ำสำหรับประเทศไทยหรือไม่ เพราะเหตุใด?

วิกฤตการณ์โควิด-19 ทำให้เกิดการหดตัวทางเศรษฐกิจที่รุนแรงในประเทศไทย โดยเฉพาะจากผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยวและบริการ อย่างไรก็ตาม โดยทั่วไปแล้วยังไม่ถือว่าเป็นภาวะเศรษฐกิจตกต่ำเต็มรูปแบบ (Depression) ตามนิยามสากลที่ต้องมีการหดตัวของ GDP ที่ลึกมาก (เช่น 10% ขึ้นไป) และกินเวลานานหลายปี

แม้ GDP ของไทยจะหดตัวลงอย่างมากในปี 2563 และอัตราการว่างงานเพิ่มขึ้น แต่ก็มีการฟื้นตัวในเวลาต่อมาด้วยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการควบคุมโรค การหดตัวดังกล่าวใกล้เคียงกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่รุนแรง (Severe Recession) มากกว่าภาวะเศรษฐกิจตกต่ำที่มักจะเกิดจากปัญหาเชิงโครงสร้างของระบบการเงินและอุปสงค์รวมที่หายไปอย่างถาวร

發佈留言