66, Broklyn St, New York, USA
Turning big ideas into great services!

CFD คืออะไร? เจาะลึกกลไก ข้อดี ข้อเสีย และข้อควรรู้ในไทยสำหรับนักลงทุน

Home / เริ่มต้นเทรด / CFD...

meetcinco_com | 01 11 月

CFD คืออะไร? เจาะลึกกลไก ข้อดี ข้อเสีย และข้อควรรู้ในไทยสำหรับนักลงทุน

ในยุคที่การลงทุนมีตัวเลือกทางการเงินมากมาย ผลิตภัณฑ์หนึ่งที่กำลังได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั่วโลกคือ CFD หรือสัญญาซื้อขายส่วนต่าง โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบความยืดหยุ่นและโอกาสทำกำไรในตลาดที่เคลื่อนไหวรุนแรง บทความนี้จะอธิบายอย่างละเอียดว่า CFD คืออะไร หลักการทำงาน ข้อดีและข้อเสีย รวมถึงประเด็นที่นักลงทุนชาวไทยต้องทราบเกี่ยวกับกฎระเบียบและความเสี่ยงในการเทรด

ภาพประกอบตลาดการเงินที่หลากหลายพร้อมเครื่องมือทางการเงินและแว่นขยายที่โฟกัสไปที่ CFD เครื่องมือที่ยืดหยุ่น

CFD คืออะไร? (Contract for Difference) นิยามและหลักการพื้นฐาน

CFD ย่อมาจากสัญญาซื้อขายส่วนต่าง ซึ่งเป็นเครื่องมือทางการเงินที่ช่วยให้นักลงทุนสามารถคาดการณ์และทำกำไรจากความเปลี่ยนแปลงของราคาสินทรัพย์ต่างๆ โดยไม่จำเป็นต้องถือครองสินทรัพย์นั้นจริงๆ สรุปง่ายๆ คือ มันคือข้อตกลงระหว่างนักลงทุนกับโบรกเกอร์ เพื่อแลกเปลี่ยนส่วนต่างของราคาตั้งแต่เริ่มสัญญาจนถึงปิดสัญญา

การทำงานของ CFD เน้นที่การเก็งกำไรจากทิศทางราคา ไม่ว่าจะเป็นหุ้น สินค้าโภคภัณฑ์อย่างน้ำมันหรือทองคำ หรือแม้แต่สกุลเงิน หากการคาดเดาของคุณตรงกับการเคลื่อนไหวของตลาด ก็จะได้รับผลตอบแทนจากส่วนต่างนั้น แต่ถ้าผิดพลาด ก็ต้องรับความสูญเสียตามไปด้วย

ภาพประกอบการจับมือทำสัญญา CFD ระหว่างนักลงทุนและโบรกเกอร์พร้อมกราฟราคาในพื้นหลัง

CFD ทำงานอย่างไร? กลไกสำคัญที่ต้องรู้

ก่อนจะเริ่มเทรด CFD นักลงทุนควรทำความเข้าใจกลไกหลักๆ เช่น การเปิดและปิดตำแหน่ง เลเวอเรจ และมาร์จิ้น เพื่อให้สามารถจัดการการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  • การเปิดและปิดสถานะ:
    • เปิดสถานะซื้อ (Long Position): ใช้เมื่อเชื่อว่าราคาสินทรัพย์จะปรับตัวสูงขึ้น เพื่อทำกำไรจากส่วนต่างบวก
    • เปิดสถานะขาย (Short Position): ใช้เมื่อคาดว่าราคาจะลดลง ซึ่งเป็นจุดเด่นที่ช่วยให้นักลงทุนสามารถรับผลตอบแทนจากตลาดหมีได้
    • ปิดสถานะ: เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมในการล็อกกำไรหรือจำกัดความเสียหาย จะทำการปิดโดยใช้อีกฝั่งหนึ่ง เช่น ถ้าเปิดซื้อก็ปิดด้วยการขาย
  • เลเวอเรจ (Leverage): ระบบนี้ช่วยให้นักลงทุนใช้เงินทุนน้อยในการควบคุมตำแหน่งที่มีมูลค่าสูง เช่น ด้วยเลเวอเรจ 1:100 เงิน 1,000 บาทของคุณสามารถจัดการสินทรัพย์มูลค่า 100,000 บาทได้ แม้จะเพิ่มโอกาสทำกำไร แต่ก็ทำให้ความเสี่ยงขยายตัวอย่างรวดเร็ว หากตลาดสวนทาง
  • มาร์จิ้น (Margin): คือเงินฝากประกันที่ต้องวางไว้กับโบรกเกอร์ เพื่อเปิดและคงสถานะการเทรดไว้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมูลค่ารวมที่ต้องมีในบัญชีตลอดการซื้อขาย
ภาพประกอบเครื่องเล่นเซซอว์กับลูกศรราคาขึ้นลงที่เป็นสัญลักษณ์กำไรและขาดทุนในการเทรด CFD

ตัวอย่างการเทรด CFD แบบง่ายๆ

ลองนึกภาพว่าคุณสนใจเทรด CFD หุ้นของบริษัท A และมองว่าราคาจะเพิ่มขึ้น

สถานการณ์:

  • ราคาหุ้นบริษัท A ในขณะนี้: 100 บาท
  • คุณเปิดสถานะซื้อ 100 หุ้น (1 สัญญา CFD เท่ากับ 1 หุ้น)
  • เลเวอเรจ: 1:10 (ต้องวางมาร์จิ้น 10% ของมูลค่ารวม)
  • มูลค่าการซื้อขาย: 100 หุ้น x 100 บาท = 10,000 บาท
  • มาร์จิ้นที่ต้องใช้: 10% ของ 10,000 บาท = 1,000 บาท

ผลลัพธ์ที่ 1: ราคาหุ้นปรับขึ้น

  • ราคาหุ้นบริษัท A ขึ้นไปที่ 105 บาท
  • คุณปิดสถานะด้วยการขายที่ 105 บาท
  • กำไร: (105 บาท – 100 บาท) x 100 หุ้น = 500 บาท

ผลลัพธ์ที่ 2: ราคาหุ้นปรับลง

  • ราคาหุ้นบริษัท A ลงไปที่ 95 บาท
  • คุณปิดสถานะด้วยการขายที่ 95 บาท
  • ขาดทุน: (95 บาท – 100 บาท) x 100 หุ้น = -500 บาท

จากตัวอย่างนี้ แสดงให้เห็นว่าด้วยเงินจริงเพียง 1,000 บาท คุณสามารถเก็งกำไรจากสินทรัพย์มูลค่า 10,000 บาทได้ ซึ่งเป็นประโยชน์ของเลเวอเรจ แต่ก็ต้องระวังความเสี่ยงที่ตามมา

ข้อดีและข้อเสียของการเทรด CFD

การเทรด CFD มีทั้งโอกาสและความท้าทายที่นักลงทุนต้องชั่งน้ำหนักให้ดีก่อนตัดสินใจ

ข้อดีของการเทรด CFD ข้อเสียของการเทรด CFD
เข้าถึงตลาดหลากหลาย: สามารถเทรดหุ้น CFD ดัชนี CFD สินค้าโภคภัณฑ์ CFD เช่น ทองคำหรือน้ำมัน และ Forex CFD ได้ในแพลตฟอร์มเดียวกัน ความเสี่ยงสูงจากเลเวอเรจ: แม้จะช่วยเพิ่มกำไร แต่ก็อาจทำให้ขาดทุนหนักและเงินทุนหมดเกลี้ยงในเวลาอันสั้น
ทำกำไรได้ทั้งสองทิศทาง: เปิดสถานะซื้อเมื่อราคาขึ้น หรือขายเมื่อราคาลง เพื่อรับผลตอบแทนจากทุกสถานการณ์ตลาด ค่าธรรมเนียมข้ามคืน: ถ้าถือสถานะนานเกินวัน อาจต้องจ่ายค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมอย่าง Swap หรือ Overnight Fee
ทุนเริ่มต้นต่ำ: ระบบมาร์จิ้นและเลเวอเรจช่วยให้เข้าถึงสินทรัพย์ราคาแพงได้ด้วยเงินไม่มาก ความผันผวนสูง: ตลาด CFD เคลื่อนไหวรวดเร็ว ทำให้การคาดการณ์ยากและอาจพลิกผันกะทันหัน
สภาพคล่องดี: ส่วนใหญ่เข้าออกตลาดได้สะดวก ไม่ติดขัด ความซับซ้อน: สำหรับผู้เริ่มต้น อาจสับสนกับกลไกเลเวอเรจ มาร์จิ้น และการจัดการความเสี่ยง
ไม่ต้องถือสินทรัพย์จริง: ไม่มีภาระเรื่องการเก็บรักษาหรือค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการเป็นเจ้าของโดยตรง ความเสี่ยงจากโบรกเกอร์: ถ้าเลือกโบรกเกอร์ CFD ที่ไม่น่าเชื่อถือ อาจเสี่ยงต่อการสูญเสียเงินทุนหรือการปฏิบัติที่ไม่โปร่งใส

CFD กับการลงทุนประเภทอื่น: แตกต่างกันอย่างไร?

เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น ลองมาพิจารณาความแตกต่างระหว่าง CFD กับรูปแบบการลงทุนอื่นๆ ที่คนไทยคุ้นเคย

CFD หุ้น กับ Forex ต่างกันอย่างไร?

  • CFD หุ้น: เน้นเก็งกำไรจากราคาหุ้นบริษัทเฉพาะเจาะจง เช่น หุ้น Apple หรือ Tesla โดยไม่ต้องซื้อหุ้นจริงๆ เพียงคาดการณ์ทิศทางราคา
  • Forex: เกี่ยวข้องกับการเทรดคู่สกุลเงิน เช่น EUR/USD หรือ GBP/JPY โดยอาศัยความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ตลาดนี้เปิดตลอด 24 ชั่วโมง 5 วันต่อสัปดาห์ และมีสภาพคล่องสูงสุดในโลก
  • จุดต่างหลัก: สินทรัพย์อ้างอิง CFD หุ้น มุ่งไปที่หุ้นเดี่ยวหรือดัชนี ส่วน Forex เน้นคู่เงิน

CFD กับ หุ้น สามัญ

คุณสมบัติ CFD หุ้นสามัญ
การเป็นเจ้าของสินทรัพย์ ไม่เป็นเจ้าของสินทรัพย์อ้างอิง เป็นเจ้าของหุ้นจริง
การทำกำไร ทำกำไรจากส่วนต่างราคา (ขึ้น/ลง) ทำกำไรจากราคาหุ้นที่สูงขึ้นและเงินปันผล
เลเวอเรจ มีเลเวอเรจสูง ไม่มีเลเวอเรจ (ต้องใช้เงินเต็มจำนวน)
การทำ Short Sell ทำได้ง่ายและยืดหยุ่น มีข้อจำกัดมากกว่า
ต้นทุน สเปรด, ค่าคอมมิชชั่น, ค่าธรรมเนียมข้ามคืน ค่าคอมมิชชั่น, ค่าธรรมเนียมตลาด
ความเสี่ยง สูงมาก (อาจขาดทุนเกินเงินลงทุน) ปานกลาง (ขาดทุนไม่เกินเงินลงทุน)

Cfd กับ Future ต่าง กันอย่างไร?

CDF และสัญญาซื้อขายล่วงหน้า หรือ Future เป็นเครื่องมืออนุพันธ์ที่คล้ายกัน แต่มีโครงสร้างและการใช้งานที่แตกต่าง

  • มาตรฐานของสัญญา: Future มีรูปแบบมาตรฐานที่กำหนดขนาดสัญญา วันหมดอายุ และการส่งมอบไว้ล่วงหน้า ในขณะที่ CFD ยืดหยุ่นกว่าและขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละโบรกเกอร์
  • การส่งมอบ: Future อาจต้องส่งมอบสินทรัพย์จริงเมื่อครบกำหนด แต่ CFD ชำระด้วยเงินสดเท่านั้น ไม่มีกระบวนการส่งมอบ
  • ตลาด: Future ซื้อขายในตลาดที่มีการกำกับดูแลเข้มงวด เช่น TFEX ในไทย ส่วน CFD เป็นการเทรดแบบ OTC ผ่านโบรกเกอร์โดยตรง
  • ความยืดหยุ่น: CFD อนุญาตให้ปรับขนาดเทรดได้อิสระและไม่มีวันหมดอายุที่จำกัดเหมือน Future

การเทรด CFD ในประเทศไทย: กฎหมายและข้อควรระวัง

นักลงทุนไทยมักสงสัยว่า CFD ผิดกฎหมายหรือไม่ในประเทศเรา

จากข้อมูลล่าสุด สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต. ได้เตือน ว่า CFD สำหรับสินทรัพย์ที่ไม่ได้ซื้อขายในตลาดไทย เช่น หุ้นต่างประเทศ สินค้าโภคภัณฑ์ หรือ Forex ไม่ได้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลโดยตรงของ ก.ล.ต. และยังไม่มีกฎหมายเฉพาะสำหรับบริการจากโบรกเกอร์ต่างชาติที่เสนอให้บุคคลทั่วไป

ดังนั้น การเปิดบัญชีกับโบรกเกอร์ต่างประเทศเพื่อเทรด CFD ยังไม่ถือว่าผิดกฎหมายชัดเจน แต่ก็ไม่ได้รับการรับรองหรือคุ้มครองตามกฎหมายไทย หากเกิดปัญหา อาจต้องพึ่งพากฎหมายต่างประเทศแทน

ข้อควรระวังสำหรับนักลงทุนไทย:

  • ไม่ได้รับการกำกับดูแลจาก ก.ล.ต.: ถ้ามีข้อพิพาทกับโบรกเกอร์ต่างชาติ จะไม่สามารถใช้สิทธิ์ตามกฎหมายไทยได้
  • ความเสี่ยงจากโบรกเกอร์ต่างประเทศ: เลือกโบรกเกอร์ที่มีการกำกับดูแลจากหน่วยงานน่าเชื่อถือ เช่น FCA ในอังกฤษ หรือ ASIC ในออสเตรเลีย เพื่อปกป้องเงินทุนให้มากที่สุด อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับการกำกับดูแลโบรกเกอร์
  • ความเสี่ยงด้านภาษี: กำไรจากการเทรด CFD อาจต้องเสียภาษีในไทย ควรศึกษากฎหมายภาษีให้ละเอียดและปฏิบัติตาม
  • ความเสี่ยงด้านภาษาและวัฒนธรรม: การสื่อสารกับโบรกเกอร์ต่างชาติอาจมีอุปสรรคจากภาษา ทำให้เข้าใจเงื่อนไขยาก

ใครเหมาะกับการเทรด CFD?

CDF เหมาะกับนักลงทุนที่มีลักษณะดังนี้

  • มีความรู้ตลาดการเงิน: รู้จักปัจจัยที่กระทบราคาสินทรัพย์อ้างอิง
  • รับความเสี่ยงได้: เพราะเลเวอเรจสูง อาจขาดทุนรวดเร็วและเกินทุนเริ่มต้น
  • มีวินัยและแผนการเทรด: วางกลยุทธ์เข้า-ออกตลาดและจัดการความเสี่ยงอย่างเป็นระบบ
  • มีเวลาติดตามตลาด: ต้องอัปเดตข่าวสารเนื่องจากความผันผวนสูง
  • ต้องการความยืดหยุ่น: ชอบเข้าถึงตลาดหลากหลายและทำกำไรทั้งขาขึ้นขาลง

อย่างไรก็ตาม CFD ไม่เหมาะกับมือใหม่หรือผู้ที่ทนความเสี่ยงต่ำ

คำแนะนำสำหรับการเริ่มต้นเทรด CFD อย่างปลอดภัย

หากคุณสนใจ CFD แต่ยังกังวลเรื่องความเสี่ยง ลองทำตามขั้นตอนเหล่านี้เพื่อเริ่มต้นอย่างมั่นใจ

  1. ศึกษาลึกซึ้ง: ใช้เวลาอ่านข้อมูลเกี่ยวกับ CFD เลเวอเรจ มาร์จิ้น และความเสี่ยงทั้งหมดก่อนลงเงินจริง
  2. ใช้บัญชีทดลอง: โบรกเกอร์ส่วนใหญ่มีเดโมแอคเคาท์ให้ฝึกโดยไม่เสียเงิน ช่วยให้คุ้นเคยกับแพลตฟอร์ม ทดสอบกลยุทธ์ และควบคุมอารมณ์
  3. เลือกโบรกเกอร์น่าเชื่อถือ: ตรวจสอบว่ามีการกำกับดูแลจากหน่วยงานต่างประเทศชั้นนำหรือไม่
  4. จัดการความเสี่ยง: ตั้ง Stop Loss เพื่อตัดขาดทุนและ Take Profit เพื่อล็อกกำไร อย่าลงทุนเกินกว่าที่รับได้
  5. เริ่มด้วยทุนน้อย: เมื่อพร้อมเทรดจริง ใช้เงินจำนวนเล็กน้อยเพื่อปรับตัวกับตลาด
  6. วิเคราะห์ตลาด: ติดตามข่าวและใช้เครื่องมือเทคนิคอลหรือพื้นฐานในการตัดสินใจ

สรุป: CFD คือเครื่องมือที่ต้องเข้าใจก่อนใช้

CDF เป็นเครื่องมือทางการเงินที่ทรงพลังในการสร้างผลตอบแทน แต่ความเสี่ยงก็สูงไม่แพ้กัน ด้วยเลเวอเรจที่ช่วยขยายการควบคุมสินทรัพย์ มันจึงเป็นทั้งโอกาสและความท้าทาย

การรู้จักหลักการ ข้อดีข้อเสีย ความแตกต่างจากผลิตภัณฑ์อื่นๆ สถานะทางกฎหมายในไทย และการเลือกโบรกเกอร์ที่เหมาะสม เป็นก้าวแรกที่สำคัญสำหรับนักลงทุนไทย การเรียนรู้อย่างต่อเนื่องและวินัยในการจัดการความเสี่ยงจะนำไปสู่ความสำเร็จและความปลอดภัยในการเทรด CFD

CFD คืออะไร และแตกต่างจากการซื้อขายหุ้นทั่วไปอย่างไร?

CFD (Contract for Difference) คือ สัญญาซื้อขายส่วนต่าง ที่ให้คุณเก็งกำไรจากการขึ้นลงของราคาสินทรัพย์อ้างอิง (เช่น หุ้น, ดัชนี, สินค้าโภคภัณฑ์) โดยไม่ต้องเป็นเจ้าของสินทรัพย์นั้นๆ

ความแตกต่างจากหุ้นทั่วไป:

  • การเป็นเจ้าของ: CFD ไม่ได้เป็นเจ้าของหุ้นจริง แต่หุ้นทั่วไปคือการเป็นเจ้าของบริษัท
  • เลเวอเรจ: CFD มีเลเวอเรจสูง ทำให้ใช้เงินน้อยในการควบคุมสถานะใหญ่ แต่หุ้นทั่วไปไม่มีเลเวอเรจ
  • ทำกำไรขาลง: CFD สามารถทำกำไรจากการที่ราคาลดลงได้ง่าย (Short Sell) แต่หุ้นทั่วไปมีข้อจำกัดมากกว่า
  • เงินปันผล: CFD โดยทั่วไปไม่ได้รับเงินปันผลโดยตรง (แต่อาจมีการปรับยอดหากมีการจ่ายปันผล) ส่วนหุ้นทั่วไปจะได้รับเงินปันผล

การเทรด CFD ผิดกฎหมายในประเทศไทยหรือไม่ และมีข้อควรระวังอะไรบ้าง?

การเทรด CFD ผ่านโบรกเกอร์ต่างประเทศยังไม่มีกฎหมายไทยที่ระบุว่า “ผิดกฎหมาย” อย่างชัดเจน แต่ก็ไม่ได้ “ถูกกฎหมาย” และไม่ได้รับการกำกับดูแลโดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)

ข้อควรระวัง:

  • ไม่มีการคุ้มครองตามกฎหมายไทยหากเกิดข้อพิพาท
  • ความเสี่ยงในการเลือกโบรกเกอร์ที่ไม่ได้รับการกำกับดูแลที่ดี
  • อาจมีภาระภาษีจากกำไรที่ได้รับ

เลเวอเรจ (Leverage) ใน CFD คืออะไร และมันเพิ่มความเสี่ยงอย่างไร?

เลเวอเรจ (Leverage) คือกลไกที่ช่วยให้คุณสามารถควบคุมตำแหน่งการซื้อขายที่มีมูลค่าสูงกว่าเงินทุนที่คุณมีอยู่จริง เช่น เลเวอเรจ 1:100 หมายถึงเงิน 1 บาทของคุณสามารถควบคุมสินทรัพย์มูลค่า 100 บาทได้

เพิ่มความเสี่ยง: เลเวอเรจจะขยายทั้งกำไรและขาดทุน หากตลาดเคลื่อนไหวสวนทางกับที่คุณคาดการณ์ แม้ราคาจะเปลี่ยนไปเพียงเล็กน้อย คุณก็อาจขาดทุนจำนวนมาก หรือถึงขั้นเงินทุนหมดบัญชีได้อย่างรวดเร็ว

ฉันจะเลือกโบรกเกอร์ CFD ที่เชื่อถือได้อย่างไรในฐานะคนไทย?

ในฐานะนักลงทุนไทยที่ไม่มีโบรกเกอร์ CFD ในประเทศที่ได้รับการกำกับดูแลโดย ก.ล.ต. คุณควรพิจารณาโบรกเกอร์ต่างประเทศที่มีคุณสมบัติดังนี้:

  • การกำกับดูแล: เลือกโบรกเกอร์ที่ได้รับการกำกับดูแลจากหน่วยงานที่มีชื่อเสียง เช่น FCA (สหราชอาณาจักร), ASIC (ออสเตรเลีย), CySEC (ไซปรัส)
  • ชื่อเสียงและประวัติ: ตรวจสอบรีวิวและความคิดเห็นจากผู้ใช้งานจริง
  • แพลตฟอร์มการซื้อขาย: ใช้งานง่าย มีเครื่องมือครบครัน
  • ค่าธรรมเนียม: ตรวจสอบสเปรด, ค่าคอมมิชชั่น, และค่าธรรมเนียมข้ามคืน
  • บริการลูกค้า: มีช่องทางการติดต่อที่หลากหลาย และมีการตอบสนองที่ดี

เทรด CFD ทองคำ หรือ CFD Forex คืออะไร มีความแตกต่างกันอย่างไร?

ทั้ง CFD ทองคำ และ CFD Forex คือการเทรดสัญญาซื้อขายส่วนต่าง แต่สินทรัพย์อ้างอิงต่างกัน

  • CFD ทองคำ: เป็นการเก็งกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาทองคำ โดยไม่ต้องซื้อทองคำจริง
  • CFD Forex: เป็นการเก็งกำไรจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างคู่สกุลเงิน เช่น EUR/USD หรือ USD/THB

ความแตกต่างหลักอยู่ที่ประเภทของตลาดและปัจจัยที่ส่งผลต่อราคา ทองคำได้รับผลกระทบจากอุปสงค์/อุปทาน, นโยบายการเงิน, ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ส่วน Forex ได้รับผลกระทบจากนโยบายของธนาคารกลาง, ข้อมูลเศรษฐกิจ, เหตุการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์

ต้องใช้เงินทุนเริ่มต้นเท่าไหร่ในการเทรด CFD?

จำนวนเงินทุนเริ่มต้นในการเทรด CFD แตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับโบรกเกอร์และขนาดของตำแหน่งที่คุณต้องการเปิด โบรกเกอร์บางรายอาจอนุญาตให้คุณเริ่มต้นด้วยเงินเพียงไม่กี่ร้อยบาท แต่ด้วยเลเวอเรจสูง การมีเงินทุนสำรองที่เพียงพอเพื่อรองรับการขาดทุนเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง

คำแนะนำคือ ควรเริ่มต้นด้วยเงินจำนวนที่คุณพร้อมจะเสียไปได้ และไม่ควรใช้เงินทั้งหมดที่มีในการลงทุน

CFD มีค่าธรรมเนียมหรือค่าใช้จ่ายอะไรบ้างที่ต้องรู้?

ค่าใช้จ่ายหลักในการเทรด CFD ได้แก่:

  • สเปรด (Spread): คือส่วนต่างระหว่างราคาซื้อ (Bid) และราคาขาย (Ask) เป็นค่าใช้จ่ายหลักที่โบรกเกอร์เรียกเก็บ
  • ค่าคอมมิชชั่น (Commission): โบรกเกอร์บางรายอาจคิดค่าคอมมิชชั่นเพิ่มเติม นอกเหนือจากสเปรด โดยเฉพาะในการเทรด CFD หุ้น
  • ค่าธรรมเนียมข้ามคืน (Overnight Fee / Swap): หากคุณถือสถานะข้ามวัน จะมีค่าธรรมเนียมที่คิดตามอัตราดอกเบี้ย
  • ค่าธรรมเนียมอื่นๆ: เช่น ค่าธรรมเนียมการฝาก/ถอนเงิน หรือค่าธรรมเนียมบัญชีที่ไม่ใช้งาน (Inactivity Fee)

หากขาดทุนจากการเทรด CFD ฉันจะเสียเงินมากกว่าเงินลงทุนเริ่มต้นได้หรือไม่?

ใช่ มีความเป็นไปได้ที่จะเสียเงินมากกว่าเงินลงทุนเริ่มต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณใช้เลเวอเรจสูง และไม่มีการตั้งค่า Stop Loss ที่เหมาะสม หรือในกรณีที่ตลาดเกิดช่องว่างราคา (Gap) อย่างรุนแรง

โบรกเกอร์บางรายอาจมีนโยบาย “การคุ้มครองยอดคงเหลือติดลบ” (Negative Balance Protection) ซึ่งจะช่วยจำกัดการขาดทุนไม่ให้เกินเงินในบัญชีของคุณ แต่คุณควรตรวจสอบเงื่อนไขนี้กับโบรกเกอร์ของคุณก่อนเริ่มเทรด

มีบัญชีทดลอง (Demo Account) สำหรับ CFD หรือไม่ และควรใช้เมื่อไหร่?

ใช่ โบรกเกอร์ CFD ส่วนใหญ่มีบัญชีทดลอง (Demo Account) ให้บริการ ซึ่งช่วยให้คุณสามารถซื้อขายด้วยเงินเสมือนจริงในสภาพแวดล้อมตลาดจริง

ควรใช้บัญชีทดลองเมื่อ:

  • คุณเป็นมือใหม่และต้องการเรียนรู้การทำงานของแพลตฟอร์มและกลไกของ CFD
  • คุณต้องการทดสอบกลยุทธ์การซื้อขายใหม่ๆ โดยไม่มีความเสี่ยงทางการเงิน
  • คุณต้องการทำความคุ้นเคยกับสินทรัพย์อ้างอิงต่างๆ ก่อนลงทุนจริง

ควรใช้บัญชีทดลองจนกว่าคุณจะเข้าใจระบบและมั่นใจในกลยุทธ์ของคุณก่อนที่จะเปลี่ยนไปใช้บัญชีจริง

การเทรด CFD เหมาะสำหรับนักลงทุนประเภทไหน?

การเทรด CFD เหมาะสำหรับนักลงทุนที่มีคุณสมบัติดังนี้:

  • มีประสบการณ์และความรู้ความเข้าใจในตลาดการเงินเป็นอย่างดี
  • สามารถยอมรับความเสี่ยงในระดับสูงได้
  • มีวินัยในการบริหารความเสี่ยงและมีกลยุทธ์การเทรดที่ชัดเจน
  • มีเวลาติดตามและวิเคราะห์ตลาดอย่างสม่ำเสมอ
  • ต้องการความยืดหยุ่นในการเข้าถึงตลาดที่หลากหลายและทำกำไรได้ทั้งขาขึ้นและขาลง

ไม่เหมาะสำหรับมือใหม่ที่ไม่มีประสบการณ์ หรือผู้ที่ไม่สามารถรับความเสี่ยงสูงได้

發佈留言