บทนำ: ทำความเข้าใจ “จับไข้” อาการสามัญที่ต้องใส่ใจ
อาการ “จับไข้” หรือที่เรารู้จักกันในชื่อไข้ คือสัญญาณที่ร่างกายส่งออกมาเพื่อบอกว่ามีบางอย่างผิดปกติกำลังเกิดขึ้นภายใน ไม่ว่าจะมาจากการติดเชื้อไวรัส แบคทีเรีย หรือแม้กระทั่งการอักเสบจากสาเหตุอื่นๆ อาการนี้พบได้บ่อยในทุกวัย ตั้งแต่เด็กเล็กไปจนถึงผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ การรู้จักเข้าใจสาเหตุ อาการที่เกิดขึ้น และวิธีดูแลตัวเองอย่างถูกต้องเมื่อเกิดอาการไข้ จะช่วยให้เราจัดการสถานการณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ ยังช่วยให้เราตัดสินใจได้ถูกต้องว่าควรขอความช่วยเหลือจากแพทย์เมื่อไหร่ บทความนี้จะพาคุณไปสำรวจคู่มือครบถ้วนเกี่ยวกับอาการจับไข้ เพื่อให้คุณและคนใกล้ชิดสามารถดูแลสุขภาพได้อย่างมั่นใจในทุกโอกาส

“จับไข้” คืออะไร? และรู้ได้อย่างไรว่าคุณกำลังมีไข้
การ “จับไข้” หมายถึงภาวะที่อุณหภูมิร่างกายสูงขึ้นเกินกว่าค่าปกติ ซึ่งเป็นกระบวนการตามธรรมชาติที่ร่างกายใช้เพื่อต่อกรกับเชื้อโรคหรือความผิดปกติอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้น
คำจำกัดความของ “ไข้” และอุณหภูมิปกติของร่างกาย
โดยปกติ อุณหภูมิร่างกายของมนุษย์จะอยู่ระหว่าง 36.5 ถึง 37.5 องศาเซลเซียส ซึ่งค่าอาจผันผวนเล็กน้อยตามเวลาในแต่ละวัน กิจกรรมที่ทำ หรือปัจจัยส่วนตัว เช่น อายุหรือสุขภาพ หากอุณหภูมิสูงเกิน 37.5 องศาเซลเซียส เราจะเรียกว่านี่คืออาการไข้หรือจับไข้ ระดับความรุนแรงของไข้สามารถแบ่งออกได้ดังนี้:
- ไข้ต่ำ: 37.5 – 38 องศาเซลเซียส
- ไข้ปานกลาง: 38.1 – 39 องศาเซลเซียส
- ไข้สูง: 39.1 องศาเซลเซียสขึ้นไป
การวัดอุณหภูมิอย่างแม่นยำจึงเป็นขั้นตอนสำคัญที่จะช่วยให้เราประเมินสถานการณ์ได้ถูกต้องและทันเวลา
วิธีวัดไข้ที่ถูกต้องและอุปกรณ์ที่ควรมีติดบ้าน
การวัดไข้ให้ได้ผลลัพธ์ที่เชื่อถือได้จะช่วยติดตามอาการและตัดสินใจดูแลต่อไปได้ดี ควรมีเครื่องวัดอุณหภูมิหรือปรอทติดบ้านไว้เสมอ ซึ่งปัจจุบันมีหลากหลายแบบให้เลือกตามความสะดวก:
- ปรอทดิจิทัล: ใช้งานง่าย ผลลัพธ์ออกเร็ว สามารถวัดได้ทั้งทางปาก รักแร้ หรือทวารหนัก
- ปรอทวัดทางหู: เหมาะสำหรับเด็กเล็กเพราะสะดวกและไม่รบกวนมาก
- ปรอทวัดทางหน้าผาก: ใช้งานได้รวดเร็วโดยไม่ต้องสัมผัสตัวมาก เหมาะกับเด็กที่กำลังหลับ
ขั้นตอนการวัดไข้ที่ถูกต้อง:
- ทางปาก: วางปลายปรอทไว้ใต้ลิ้น ปิดปากให้มิด รอสัญญาณจากเครื่องซึ่งใช้เวลาประมาณ 1-2 นาที
- ทางรักแร้: วางปลายปรอทใต้รักแร้แล้วหนีบแขนแนบลำตัว รอ 3-5 นาทีหรือจนกว่าจะมีสัญญาณ วิธีนี้ค่าอาจต่ำกว่าอุณหภูมิแกนกลางร่างกายเล็กน้อย
- ทางทวารหนัก: (เหมาะกับทารกและเด็กเล็ก) ทาเจลหล่อลื่นที่ปลายปรอทแล้วสอดเข้าไปเล็กน้อย รอสัญญาณจากเครื่อง วิธีนี้ให้ผลแม่นยำที่สุด
- ทางหู: ดึงใบหูเบาๆ เพื่อยืดช่องหู สอดปลายปรอทเข้าไปนิดหน่อย กดปุ่มและรอผล
การเลือกวิธีที่เหมาะสมกับอายุและสถานการณ์จะช่วยให้ได้ค่าที่ถูกต้องมากที่สุด และอย่าลืมทำความสะอาดอุปกรณ์ทุกครั้งก่อนและหลังใช้เพื่อความปลอดภัย

สัญญาณและอาการ “จับไข้” ที่พบบ่อย
เมื่อร่างกายเข้าสู่ภาวะไข้ ไม่เพียงแต่จะมีอุณหภูมิสูงขึ้นเท่านั้น แต่ยังมักมาพร้อมกับอาการอื่นๆ ที่ช่วยให้เราสังเกตและดูแลได้ทันท่วงที โดยเฉพาะกับเด็กหรือผู้สูงอายุที่อาจแสดงอาการไม่ชัดเจน
อาการทั่วไปที่บ่งบอกว่ามีไข้
อาการพื้นฐานเหล่านี้มักเป็นตัวบ่งชี้แรกๆ ว่าคุณหรือคนใกล้ชิดกำลังเผชิญกับอาการจับไข้:
- ตัวร้อน: ผิวหนังรู้สึกร้อนหรืออุ่นเมื่อสัมผัส โดยเฉพาะบริเวณหน้าผาก คอ หรือหน้าอก
- ปวดหัว: มักรู้สึกปวดตุบๆ ที่ศีรษะ บางครั้งอาจมีอาการมึนหัวร่วมด้วย
- ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ: รู้สึกปวดตามตัว ข้อต่อ หรือกล้ามเนื้อทั่วไป
- หนาวสั่น: อาการนี้เกิดขึ้นบ่อยในช่วงที่ไข้กำลังพุ่งสูง ร่างกายจะรู้สึกหนาวเย็นและสั่นเทา
- อ่อนเพลีย: ขาดแรง เหนื่อยล้า อยากนอนพักเป็นพิเศษ
- เหงื่อออก: เมื่อไข้เริ่มลดระดับ ร่างกายจะขับเหงื่อเพื่อช่วยระบายความร้อน
การสังเกตอาการเหล่านี้ตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยให้เราจัดการได้ก่อนที่อาการจะรุนแรงขึ้น
อาการร่วมที่ควรสังเกตเป็นพิเศษ
บางครั้งอาการไข้จะมาพร้อมกับสัญญาณอื่นๆ ที่บอกใบ้ถึงสาเหตุหลัก ซึ่งช่วยให้แพทย์วินิจฉัยได้ง่ายขึ้น:
- เจ็บคอ: อาจชี้ไปที่การติดเชื้อในทางเดินหายใจส่วนบน เช่น คออักเสบหรือทอนซิลอักเสบ
- ไอและน้ำมูกไหล: พบบ่อยในโรคหวัดหรือไข้หวัดใหญ่
- คลื่นไส้หรืออาเจียน: อาจเกิดจากเชื้อโรคในระบบทางเดินอาหาร หรือจากไข้ที่สูงเกินไป
- ท้องเสีย: มักเกี่ยวข้องกับการติดเชื้อในลำไส้
- ผื่นขึ้น: หากมีไข้ร่วมกับผื่น อาจเป็นโรคติดเชื้ออย่างไข้เลือดออก หัด หรืออีสุกอีใส
- เบื่ออาหาร: ความอยากอาหารลดลงเป็นเรื่องปกติเมื่อร่างกายไม่สบาย
การจดบันทึกอาการเหล่านี้อย่างละเอียดจะเป็นประโยชน์มากเมื่อต้องพบแพทย์ เพื่อให้การรักษาแม่นยำยิ่งขึ้น

สาเหตุหลักที่ทำให้คุณ “จับไข้”
ไข้ไม่ใช่โรคในตัวเอง แต่เป็นอาการที่เกิดจากการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันต่อสิ่งแปลกปลอมหรือความผิดปกติ โดยส่วนใหญ่มาจากการติดเชื้อ แต่ก็มีสาเหตุอื่นๆ ที่ควรระวัง
การติดเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย
สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดอาการจับไข้คือการติดเชื้อ ซึ่งแบ่งได้ดังนี้:
- ติดเชื้อไวรัส: เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุด เช่น ไข้หวัดธรรมดา ไข้หวัดใหญ่ RSV ในระบบทางเดินหายใจ เชื้อไวรัสในทางเดินอาหาร หรือไวรัสอื่นๆ อาการเหล่านี้มักหายเองภายในไม่กี่วัน หากพักผ่อนและดูแลตัวเองดีๆ
- ติดเชื้อแบคทีเรีย: เช่น คออักเสบจากสเตรปโตคอคคัส ปอดบวม การติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ หรือที่ผิวหนัง โดยปกติต้องรักษาด้วยยาปฏิชีวนะภายใต้คำแนะนำของแพทย์
การแยกแยะระหว่างไวรัสและแบคทีเรียสำคัญมาก เพราะการรักษาจะแตกต่างกัน
โรคและภาวะอื่นๆ ที่ทำให้เกิดไข้
นอกจากการติดเชื้อ ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่อาจกระตุ้นให้เกิดไข้ได้ เช่น:
- ไข้เลือดออก: โรคยอดฮิตในไทย โดยเฉพาะฤดูฝน เกิดจากไวรัสเดงกีที่มียุงลายเป็นพาหะ อาการเด่นคือไข้พุ่งสูงกะทันหัน ปวดเมื่อย ปวดตา และอาจมีผื่น หากรุนแรงอาจนำไปสู่ภาวะช็อก กระทรวงสาธารณสุข เตือนให้เฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในพื้นที่เสี่ยง
- การอักเสบ: จากโรคที่ไม่ใช่ติดเชื้อ เช่น ข้ออักเสบรูมาตอยด์หรือลูปัส
- ผลข้างเคียงหลังฉีดวัคซีน: อาจมีไข้ต่ำๆ ปวดเมื่อยเล็กน้อยหลังฉีดวัคซีนบางตัว เช่น วัคซีนไข้หวัดใหญ่ ซึ่งเป็นเรื่องปกติและหายได้เอง
- โรคติดเชื้ออื่นๆ: อย่างมาลาเรีย ไทฟอยด์ หรือการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ
- ภาวะขาดน้ำ: พบบ่อยในเด็กเล็กหรือผู้สูงอายุ ซึ่งอาจทำให้อุณหภูมิร่างกายสูงผิดปกติ
- โรคมะเร็งบางชนิด: อาจก่อให้เกิดไข้เรื้อรังโดยไม่ทราบสาเหตุชัดเจน
หากไข้เกิดขึ้นโดยไม่มีสาเหตุชัดเจน ควรตรวจกับแพทย์เพื่อหาต้นตอที่แท้จริง
การดูแลตัวเองเบื้องต้นเมื่อ “จับไข้” ที่บ้าน
เมื่อเกิดอาการจับไข้ การดูแลตัวเองที่บ้านอย่างถูกวิธีจะช่วยบรรเทาความไม่สบายและเร่งการฟื้นตัว โดยไม่ต้องรีบร้อนไปโรงพยาบาลเสมอไป
การลดไข้ด้วยวิธีทางกายภาพ
วิธีเหล่านี้ไม่ต้องพึ่งยาแต่ได้ผลดีในการช่วยควบคุมอุณหภูมิร่างกาย:
- เช็ดตัว: ใช้น้ำอุณหภูมิห้องชุบผ้า (หลีกเลี่ยงน้ำเย็นจัดเพราะอาจทำให้ร่างกายสร้างความร้อนเพิ่ม) เช็ดทั่วตัว โดยเฉพาะซอกคอ รักแร้ ข้อพับขา และขาหนีบ เช็ดในทิศทางตามรูขุมขนเพื่อระบายความร้อน ทำซ้ำๆ นาน 15-20 นาที
- แต่งกายให้เหมาะสม: เลือกเสื้อผ้าบางเบา ระบายอากาศดี ไม่ต้องห่มผ้าหนักเพื่อให้ร่างกายระบายความร้อนได้
- อยู่ในที่อากาศถ่ายเท: เปิดหน้าต่างให้อากาศไหลเวียน แต่หลีกเลี่ยงลมพัดตรงตัว
- พักผ่อนเต็มที่: การนอนหลับช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้ดีขึ้นและฟื้นตัวเร็ว
วิธีเหล่านี้เหมาะสำหรับไข้ไม่รุนแรง และสามารถทำควบคู่กับการใช้ยาได้
การใช้ยาลดไข้อย่างปลอดภัย
ยาลดไข้ช่วยบรรเทาอาการได้ดี แต่ต้องใช้ให้ถูกต้องเพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียง:
- พาราเซตามอล: ยาที่ปลอดภัยและหาง่ายสำหรับทุกวัย ผู้ใหญ่กินครั้งละ 500-1000 มิลลิกรัม ทุก 4-6 ชั่วโมง ไม่เกิน 4000 มิลลิกรัมต่อวันเพื่อป้องกันอันตรายต่อตับ เด็กต้องคำนวณตามน้ำหนักตัว
- ไอบูโปรเฟน: ช่วยลดไข้และอักเสบ แต่ใช้ด้วยความระวังในคนที่มีปัญหากระเพาะ ไต หรือหัวใจ และหลีกเลี่ยงในผู้ป่วยไข้เลือดออก ผลข้างเคียงอาจรุนแรงกว่า ดังนั้นควรปรึกษาเภสัชกรหรือแพทย์ก่อน โดยเฉพาะเด็ก
ข้อควรระวัง: อ่านฉลากทุกครั้ง อย่าเกินขนาด และหากสงสัยให้ถามผู้เชี่ยวชาญเสมอ เพื่อความปลอดภัยสูงสุด
การดูแลทั่วไปและโภชนาการ
นอกจากลดไข้แล้ว การดูแลร่างกายโดยรวมก็สำคัญไม่แพ้กัน:
- ดื่มน้ำเยอะๆ: เพื่อป้องกันขาดน้ำ ช่วยให้ร่างกายขับของเสียและทำงานปกติ
- น้ำเกลือแร่: ถ้ามีอาเจียนหรือท้องเสีย ใช้ ORS ชดเชยเกลือแร่ที่เสียไป
- อาหารเบาๆ: เลือกโจ๊ก ข้าวต้ม ซุป หรืออาหารเหลวที่ย่อยง่าย เพื่อไม่ให้ร่างกายใช้พลังงานมาก
- หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์และคาเฟอีน: เพราะอาจทำให้ขาดน้ำหนักขึ้น
- งดกิจกรรมหนัก: พักผ่อนเต็มที่ หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายจนกว่าจะหายดี
การปฏิบัติตามแนวทางเหล่านี้จะช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวเร็วและลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน
เมื่อไหร่ที่ “จับไข้” แล้วควรรีบพบแพทย์? สัญญาณอันตรายที่ต้องระวัง
แม้ไข้ส่วนใหญ่จะหายเองได้ แต่บางครั้งมันคือสัญญาณเตือนของปัญหาที่รุนแรง การรู้จักอาการที่ต้องรีบพบแพทย์จะช่วยป้องกันความเสี่ยง
สัญญาณเตือนในผู้ใหญ่และเด็กโต
รีบไปโรงพยาบาลหากพบอาการเหล่านี้:
- ไข้สูงเกิน 39.5-40 องศาเซลเซียส และไม่ยอมลดแม้กินยา
- ไข้ลากยาวเกิน 48-72 ชั่วโมงโดยไม่ดีขึ้น
- หายใจเหนื่อย หายใจเร็วผิดปกติ
- เจ็บหน้าอก
- ปวดหัวรุนแรง คอแข็ง หรือแพ้แสง
- ซึม สับสน วิงเวียน หรือเปลี่ยนพฤติกรรม
- อาเจียน ท้องเสียรุนแรง จนขาดน้ำ (ปากแห้ง ผิวแห้ง ปัสสาวะน้อย)
- มีผื่นหรือจุดเลือดออกใต้ผิว
- ปวดท้องรุนแรง
- บวมหรือปวดมากที่ส่วนใดส่วนหนึ่ง
- ชัก
- มีภูมิคุ้มกันต่ำหรือกินยากดภูมิ
สัญญาณอันตรายในเด็กเล็กและทารก
เด็กเล็กเสี่ยงต่อ complication มากกว่า ดังนั้นต้องระวังให้มาก:
- ทารกต่ำกว่า 3 เดือน ไข้ 38 องศาขึ้นไป: รีบพบแพทย์ทันที
- เด็ก 3-6 เดือน ไข้ 39 องศาขึ้นไป หรือไม่สบายมาก
- เด็กไข้แต่ร้องไห้ไม่หยุดหรืออ่อนเพลียผิดปกติ
- เด็กซึม ไม่เล่น ไม่ดื่มนม
- หายใจลำบาก หอบ หรือหายใจเร็ว
- ผิวเปลี่ยนสี เช่น ซีด เขียว หรือจุดเลือด
- กระหม่อมโป่ง (ในทารก)
- ชักจากไข้ แม้ไม่รุนแรงระยะยาว แต่ต้องตรวจสาเหตุ
- สัญญาณขาดน้ำ เช่น ปัสสาวะน้อย ไม่มีน้ำตา
กลุ่มเสี่ยงที่ควรปรึกษาแพทย์ทันที
กลุ่มเหล่านี้ควรพบแพทย์ทันทีที่ไข้เกิดขึ้นเพราะเสี่ยงสูง:
- สตรีมีครรภ์: โดยเฉพาะไตรมาสแรก ไข้สูงอาจกระทบลูกในท้อง
- ผู้สูงอายุ: มักมีโรคประจำตัวหลายอย่าง
- ผู้ป่วยเรื้อรัง: เช่น เบาหวาน หัวใจ ไต ตับ ปอด
- ผู้ป่วยมะเร็ง: หรือกำลังเคมีบำบัด
- ภูมิคุ้มกันต่ำ: เช่น HIV หรือกินยาดับภูมิ
ถ้าไม่แน่ใจ อย่ารอช้า ไปโรงพยาบาลเพื่อความชัวร์ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม ลองดูที่ โรงพยาบาลสมิติเวช
การป้องกัน “จับไข้” และข้อควรระวัง
การป้องกันดีกว่าต้องมารักษา โดยเน้นสร้างสุขภาพแข็งแรงและหลีกเลี่ยงเชื้อโรค
วิธีป้องกันไข้หวัดและไข้หวัดใหญ่
- ล้างมือบ่อยด้วยสบู่หรือเจลแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะหลังสัมผัสของสาธารณะ ไอจาม หรือก่อนกิน
- อย่าสัมผัสหน้า โดยเฉพาะตา จมูก ปาก
- สวมหน้ากากในที่แออัดหรือเมื่อไม่สบาย
- เว้นระยะจากคนป่วย
- ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ประจำปี โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงอย่างเด็ก ผู้สูงอายุ สาวๆ ท้อง และคนป่วยเรื้อรัง
- กินอาหารดีๆ เน้นผักผลไม้เพื่อเสริมภูมิ
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
- นอนให้พอเพื่อไม่ให้ภูมิอ่อนแอ
การปฏิบัติเหล่านี้ช่วยลดโอกาสติดเชื้อได้มาก โดยเฉพาะในฤดูที่โรคระบาด
การแก้ไขความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับการจับไข้ในสังคมไทย
ในไทยมีตำนานเกี่ยวกับไข้ที่อาจทำให้ดูแลผิดวิธี:
- “ห่มผ้าหนาเพื่อขับเหงื่อ”: ไม่จริง ห่มหนักทำให้ร้อนกว่า ควรใส่เสื้อบาง
- “ห้ามอาบน้ำตอนไข้”: อาบได้ แต่ใช้น้ำอุณหภูมิห้อง เร็วๆ ถ้าอ่อนเพลียให้เช็ดตัวแทน
- “ชักจากไข้สูงเกิน”: ชักจากไข้เกิดจากความไวของเด็ก ไม่ใช่แค่ระดับไข้ ลดไข้ช่วยให้สบายแต่ไม่ป้องกัน 100%
- “ต้องกินยาปฏิชีวนะทุกครั้ง”: ไม่ใช่ ไข้ส่วนใหญ่จากไวรัส ยานี้ไร้ผลและอาจทำให้ดื้อยา ปรึกษาแพทย์ก่อน
การรู้ความจริงช่วยให้ดูแลถูกต้องและปลอดภัย
สรุป: การดูแล “จับไข้” อย่างเข้าใจและทันท่วงที
อาการจับไข้คือการเตือนจากร่างกายเกี่ยวกับปัญหาภายใน การเข้าใจนิยาม สาเหตุ และอาการ จะเป็นฐานที่ดีในการดูแลสุขภาพ การพักผ่อน ดื่มน้ำ เช็ดตัว และใช้ยาถูกวิธี ช่วยบรรเทาและฟื้นตัวได้ดี แต่สิ่งสำคัญคือการจับตาสัญญาณรุนแรง โดยเฉพาะในเด็ก ผู้สูงอายุ หรือคนมีโรคประจำตัว ถ้าพบอาการน่ากังวล รีบพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยและรักษาให้ตรงจุด ข้อมูลถูกต้องและการตัดสินใจรวดเร็วจะช่วยให้คุณและคนรักปลอดภัยผ่านช่วงไข้ไปได้
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการ “จับไข้”
“จับไข้” กับ “เป็นไข้” ใช้ต่างกันอย่างไรครับ/คะ?
โดยทั่วไปแล้ว ทั้ง “จับไข้” และ “เป็นไข้” มีความหมายเดียวกัน คือการมีอุณหภูมิร่างกายสูงกว่าปกติครับ/ค่ะ เป็นคำที่ใช้สื่อถึงอาการไข้ในภาษาไทยที่พบได้บ่อยและเข้าใจตรงกัน
ไข้สูง 39 องศาเซลเซียสขึ้นไป ควรทำอย่างไรเบื้องต้นก่อนไปโรงพยาบาล?
หากมีไข้สูง 39 องศาเซลเซียสขึ้นไป ควรปฏิบัติดังนี้:
- รับประทานยาลดไข้พาราเซตามอลตามขนาดที่แนะนำ
- เช็ดตัวลดไข้ด้วยน้ำอุณหภูมิห้อง โดยเน้นบริเวณซอกคอ ซอกรักแร้ ข้อพับ
- ดื่มน้ำเปล่าหรือน้ำเกลือแร่ให้มาก
- สวมเสื้อผ้าบางเบา และอยู่ในห้องที่อากาศถ่ายเทสะดวก
หากไข้ไม่ลดลง หรือมีอาการผิดปกติอื่นๆ ควรรีบไปพบแพทย์โดยเร็ว
ลูกมีไข้หนาวสั่นตอนกลางคืน อันตรายไหม และมีวิธีดูแลอย่างไร?
อาการหนาวสั่นเป็นกลไกธรรมชาติของร่างกายเมื่อไข้กำลังจะขึ้นสูงครับ/ค่ะ โดยทั่วไปไม่อันตราย แต่ควรดูแลดังนี้:
- ให้ลูกรับประทานยาลดไข้ตามน้ำหนักตัว
- ใช้ผ้าห่มบางๆ คลุมตัวลูกให้รู้สึกอบอุ่นในช่วงที่หนาวสั่น
- เมื่อไข้เริ่มขึ้นและหยุดหนาวสั่นแล้ว ให้ถอดผ้าห่มออก และเช็ดตัวลดไข้
- สังเกตอาการอื่นๆ หากลูกซึมลง หายใจลำบาก หรือมีไข้สูงมากและไม่ลด ควรไปพบแพทย์
ไข้ขึ้นๆ ลงๆ มาหลายวัน แต่ไม่มีอาการอื่นร่วม ควรไปพบแพทย์ไหม?
หากไข้ขึ้นๆ ลงๆ ติดต่อกันหลายวัน (เช่น 3-5 วัน) แม้จะไม่มีอาการอื่นร่วมที่ชัดเจน ก็ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุครับ/ค่ะ เพราะอาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อบางชนิดที่ต้องการการรักษา หรือเป็นไข้จากสาเหตุอื่นๆ ที่จำเป็นต้องวินิจฉัย
รู้สึกร้อนๆ หนาวๆ เหมือนจะเป็นไข้ แต่ยังไม่ได้วัดไข้ ควรเริ่มดูแลตัวเองอย่างไร?
หากรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ คล้ายจะเป็นไข้ ควรเริ่มต้นดังนี้:
- วัดไข้เพื่อยืนยันอุณหภูมิร่างกาย
- ดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอ
- พักผ่อนให้มาก
- หากมีไข้ ให้เริ่มดูแลตามคำแนะนำเบื้องต้น เช่น เช็ดตัว หรือรับประทานยาลดไข้ถ้าจำเป็น
การพักผ่อนและการดื่มน้ำเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในช่วงเริ่มต้น
ยาพาราเซตามอลสำหรับผู้ใหญ่กับเด็ก ต่างกันอย่างไร และควรเลือกใช้อย่างไร?
ยาพาราเซตามอลสำหรับผู้ใหญ่และเด็กต่างกันที่ “ความเข้มข้น” และ “รูปแบบ” ครับ/ค่ะ ยาสำหรับเด็กมักมาในรูปแบบน้ำเชื่อมหรือยาหยดที่มีความเข้มข้นต่ำกว่า และมีรสชาติที่เด็กรับประทานง่าย การเลือกใช้ต้องคำนวณตามน้ำหนักตัวของเด็กอย่างเคร่งครัด ส่วนยาสำหรับผู้ใหญ่มักเป็นเม็ด 500 มิลลิกรัม ควรเลือกใช้ตามวัยและน้ำหนักตัว และอ่านฉลากยาอย่างละเอียดก่อนใช้เสมอ
การเช็ดตัวลดไข้ ควรใช้น้ำอุณหภูมิเท่าไหร่ และเช็ดส่วนไหนบ้าง?
ควรใช้น้ำอุณหภูมิห้อง (ไม่ควรใช้น้ำเย็นจัด) ในการเช็ดตัวลดไข้ครับ/ค่ะ
เน้นเช็ดบริเวณที่มีหลอดเลือดใหญ่ใกล้ผิวหนัง เพื่อช่วยระบายความร้อนได้ดี:
- ซอกคอ
- ซอกรักแร้
- ข้อพับแขนและขา
- ขาหนีบ
- หน้าผาก
เช็ดในทิศทางย้อนรูขุมขน และเช็ดซ้ำๆ ประมาณ 15-20 นาที
ถ้าเป็นไข้ในช่วงหน้าฝนของไทย มีโอกาสเป็นไข้เลือดออกมากน้อยแค่ไหน?
ในช่วงหน้าฝนของประเทศไทย มีโอกาสเป็นไข้เลือดออกได้สูงกว่าปกติครับ/ค่ะ เนื่องจากเป็นช่วงที่ยุงลายซึ่งเป็นพาหะของโรคมีการแพร่พันธุ์มาก หากมีไข้สูงเฉียบพลัน ปวดเมื่อยตามตัว ปวดกระบอกตา หน้าแดง อาจมีจุดเลือดออก หรือมีอาการคลื่นไส้อาเจียนร่วมด้วย ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาอย่างเหมาะสม
คนท้องหรือผู้สูงอายุจับไข้ มีข้อควรระวังพิเศษอะไรบ้าง?
คนท้องและผู้สูงอายุเป็นกลุ่มเสี่ยงที่ควรระมัดระวังเป็นพิเศษเมื่อจับไข้ครับ/ค่ะ:
- คนท้อง: ไข้สูงอาจส่งผลกระทบต่อทารกในครรภ์ได้ โดยเฉพาะในไตรมาสแรก ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที ไม่ควรซื้อยารับประทานเอง
- ผู้สูงอายุ: มักมีโรคประจำตัวหลายโรค และอาจมีภูมิคุ้มกันต่ำลง อาการไข้ในผู้สูงอายุอาจเป็นสัญญาณของภาวะติดเชื้อรุนแรงได้ง่าย ควรรีบพบแพทย์แม้ไข้จะไม่สูงมากนัก
ทั้งสองกลุ่มนี้ควรได้รับการดูแลจากแพทย์อย่างใกล้ชิด
หลังไข้ลดแล้ว ควรดูแลตัวเองอย่างไรให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็ว?
หลังไข้ลด ร่างกายยังต้องการการฟื้นตัว ควรดูแลตัวเองดังนี้:
- พักผ่อนต่อเนื่อง: แม้ไข้จะลดแล้ว แต่ร่างกายยังอ่อนเพลีย ควรพักผ่อนให้เพียงพอต่อไปอีก 1-2 วัน
- ดื่มน้ำให้มาก: ช่วยชดเชยน้ำที่ร่างกายสูญเสียไป และช่วยฟื้นฟูเซลล์
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์: เน้นอาหารอ่อน ย่อยง่าย และมีคุณค่าทางโภชนาการ เพื่อสร้างเสริมพลังงานและภูมิคุ้มกัน
- หลีกเลี่ยงกิจกรรมหนัก: งดการออกกำลังกาย หรือกิจกรรมที่ใช้แรงมากในช่วงฟื้นตัว
- สังเกตอาการ: หากไข้กลับมาอีก หรือมีอาการผิดปกติอื่นๆ ควรรีบปรึกษาแพทย์