L/C คืออะไร? ทำไม Letter of Credit จึงสำคัญในการค้าระหว่างประเทศ
การค้าขายระหว่างประเทศในยุคนี้เต็มไปด้วยความซับซ้อนและความไม่แน่นอน โดยเฉพาะเรื่องการชำระเงินที่ต้องอาศัยความไว้วางใจอย่างสูงระหว่างคู่ค้าที่อยู่คนละมุมโลก เครื่องมือที่ช่วยคลายกังวลเหล่านี้ได้ดีคือ Letter of Credit หรือที่เรียกย่อๆ ว่า L/C ซึ่งในภาษาไทยมักเรียกว่า “เลตเตอร์ออฟเครดิต” หรือ “ตราสารเครดิต” มันช่วยลดความเสี่ยงและสร้างความมั่นใจให้ทั้งสองฝ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

L/C คือเอกสารที่ธนาคารออกให้ตามคำขอของผู้นำเข้า เพื่อรับประกันว่าจะชำระเงินให้ผู้ส่งออกเมื่อส่งมอบเอกสารครบถ้วนและตรงตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ใน L/C นั่นหมายความว่าความเสี่ยงด้านการชำระเงินจะถูกถ่ายโอนจากผู้ซื้อไปยังธนาคารผู้เปิด L/C ทำให้ผู้ส่งออกรู้สึกอุ่นใจว่าจะได้เงินตามสัญญาโดยไม่ต้องกังวลเรื่องคู่ค้า

เหตุผลที่ L/C สำคัญมากในวงการค้าต่างประเทศนั้นชัดเจนยิ่ง จากประเด็นต่อไปนี้
- ลดความเสี่ยงเรื่องเงิน: ผู้ส่งออกไม่ต้องพึ่งพาผู้นำเข้าโดยตรง แต่รับเงินจากธนาคารแทน
- ปกป้องการส่งมอบสินค้า: ผู้นำเข้าได้รับเงินก็ต่อเมื่อเอกสารการส่งสินค้าถูกต้องครบถ้วน
- ยอมรับกันทั่วโลก: ดำเนินการตามกฎสากลจากหอการค้าระหว่างประเทศ หรือ ICC โดยเฉพาะ UCP 600 ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ธนาคารและผู้ค้าทุกมุมโลกยึดถือในการตีความและปฏิบัติ UCP 600 (Uniform Customs and Practice for Documentary Credits)
- ช่วยเรื่องทุน: ทั้งผู้ส่งออกและผู้นำเข้าสามารถนำ L/C ไปใช้เป็นหลักฐานขอสินเชื่อจากธนาคาร เพื่อเพิ่มสภาพคล่องในธุรกิจ

ด้วยเหตุนี้ ผู้ประกอบการไทยที่ทำธุรกิจนำเข้า-ส่งออกจึงควรศึกษาประเภทของ L/C ให้ละเอียด เพื่อเลือกใช้ให้ตรงกับสถานการณ์และลดความเสี่ยงให้เหลือน้อยที่สุด
L/C มีกี่ประเภท? การจำแนกประเภท Letter of Credit เบื้องต้น
Letter of Credit มีรูปแบบหลากหลาย โดยแบ่งตามเงื่อนไขและลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกัน การรู้จักประเภทเหล่านี้ช่วยให้ผู้ประกอบการเลือกเครื่องมือที่เหมาะสมกับความต้องการและระดับความเสี่ยงของตัวเองได้ดีขึ้น โดยทั่วไป L/C สามารถแบ่งได้จากหลายมุม เช่น การแก้ไขเงื่อนไข ระยะเวลาชำระเงิน การรับประกันเพิ่มเติม หรือวัตถุประสงค์พิเศษ
- ตามการแก้ไข (Revocable vs. Irrevocable)
- ตามเวลาชำระ (Sight vs. Usance)
- ตามการยืนยัน (Confirmed vs. Unconfirmed)
- ตามฟังก์ชันอื่นๆ
มาดูรายละเอียดแต่ละประเภทกัน เพื่อเข้าใจความแตกต่างและจุดเด่นของแต่ละตัว
1. จำแนกตามการเปลี่ยนแปลงแก้ไข (Revocable vs. Irrevocable L/C)
การแบ่งนี้เป็นพื้นฐานที่บอกถึงความมั่นคงของ L/C โดยตรง
เลตเตอร์ออฟเครดิตที่แก้ไขได้ (Revocable L/C)
L/C ประเภทนี้คือเอกสารที่ธนาคารผู้เปิดสามารถปรับเปลี่ยนหรือยกเลิกเงื่อนไขได้เอง โดยไม่ต้องขออนุมัติจากผู้ส่งออกหรือธนาคารอื่น
- จุดเด่น: ยืดหยุ่นมากสำหรับผู้นำเข้าและธนาคาร แต่ผู้ส่งออกเสี่ยงสูงเพราะขาดความแน่นอน
- สถานการณ์ปัจจุบัน: ตาม UCP 600 ไม่มีการเอ่ยถึง Revocable แล้ว โดยถือว่า L/C ทุกตัวเป็น Irrevocable เว้นแต่ระบุชัด ดังนั้นประเภทนี้จึงหายากมากในค้าต่างประเทศสมัยนี้
- ข้อควรระวัง: ผู้ส่งออกอาจถูกเปลี่ยนเงื่อนไขกะทันหัน ทำให้แผนธุรกิจสะดุด
เลตเตอร์ออฟเครดิตที่แก้ไขไม่ได้ (Irrevocable L/C)
เมื่อออกแล้ว เงื่อนไขจะคงที่ ไม่สามารถแก้หรือยกเลิกได้ เว้นแต่ทุกฝ่ายเห็นชอบร่วมกัน โดยเฉพาะผู้ส่งออกและธนาคารผู้เปิด
- จุดเด่น: ให้ความมั่นใจสูงสุดแก่ผู้ส่งออกว่าชำระเงินจะเป็นไปตามสัญญา
- การใช้งาน: เป็นประเภทหลักที่ใช้กันแพร่หลายในค้าต่างประเทศ
- ประโยชน์: ช่วยให้ผู้ส่งออกวางแผนผลิตและส่งสินค้าได้อย่างสบายใจ โดยไม่กลัวการเปลี่ยนแปลงฝ่ายเดียว
2. จำแนกตามเงื่อนไขการชำระเงิน (Sight vs. Usance L/C)
ส่วนนี้เกี่ยวข้องกับเวลาที่ธนาคารจะจ่ายเงินให้ผู้ส่งออก
เลตเตอร์ออฟเครดิตแบบจ่ายทันที (Sight L/C)
ธนาคารจะจ่ายเงินให้ทันทีที่ผู้ส่งออกนำเอกสารที่ตรงตามเงื่อนไขมาส่งให้ตรวจสอบ
- ลักษณะ: ชำระเงินในทันทีหลังตรวจเอกสารผ่าน
- สำหรับผู้ส่งออก: ได้เงินเร็ว ช่วยให้ธุรกิจหมุนเงินได้คล่องตัว
- สำหรับผู้นำเข้า: ต้องเตรียมเงินสดพร้อมจ่ายเมื่อธนาคารเรียก
- เหมาะกับ: การค้าที่ต้องการความรวดเร็ว และผู้ส่งออกอยากลดเวลารอเงิน
เลตเตอร์ออฟเครดิตแบบผ่อนชำระ (Usance L/C หรือ Term L/C)
การชำระเงินจะเกิดขึ้นเมื่อครบกำหนดเวลาที่กำหนด เช่น นับจากวันที่ส่งสินค้าหรือรับเอกสาร
- ลักษณะ: ผู้ส่งออกได้เงินหลังครบกำหนด เช่น 30, 60 หรือ 90 วัน
- สำหรับผู้นำเข้า: ได้เวลาขายสินค้าก่อนจ่ายเงิน เพิ่มโอกาสหมุนเวียน
- สำหรับผู้ส่งออก: แม้ช้ากว่าแต่ยังรับประกันจากธนาคาร หากต้องการเงินด่วนสามารถขอส่วนลดจากธนาคารได้แต่มีค่าธรรมเนียม
- เกี่ยวข้องกับ: มักใช้คู่กับตั๋วแลกเงินที่ผู้ส่งออกออกให้ และธนาคารหรือผู้นำเข้าตรวจรับ
3. จำแนกตามการยืนยัน (Confirmed vs. Unconfirmed L/C)
ส่วนนี้เกี่ยวกับการมีธนาคารอีกแห่งมารับประกันเพิ่ม
เลตเตอร์ออฟเครดิตที่ยืนยันแล้ว (Confirmed L/C)
คือ Irrevocable L/C ที่มีธนาคารอีกแห่ง (Confirming Bank) มารับประกันชำระเงิน หากธนาคารผู้เปิดไม่สามารถทำได้
- ลักษณะ: Confirming Bank รับผิดชอบเต็มตัว แม้เหตุผลใดก็ตาม
- สำหรับผู้ส่งออก: ปลอดภัยสุด โดยเฉพาะค้าขายในประเทศเสี่ยง เช่น เศรษฐกิจหรือการเมืองไม่แน่นอน หรือธนาคารผู้เปิดน่าเชื่อถือต่ำ
- ค่าใช้จ่าย: มีค่าธรรมเนียมเพิ่ม ซึ่งมักหักจากผู้ส่งออก
- เหมาะกับ: ผู้ส่งออกที่อยากลดความเสี่ยงให้ต่ำที่สุด
เลตเตอร์ออฟเครดิตที่ไม่ยืนยัน (Unconfirmed L/C)
Irrevocable L/C ที่รับประกันจากธนาคารผู้เปิดเพียงแห่งเดียว ไม่มีเพิ่มเติม
- ลักษณะ: ขึ้นอยู่กับความน่าเชื่อถือของธนาคารผู้เปิดเท่านั้น
- การใช้งาน: พบบ่อยในค้าที่คู่ค้าและธนาคารแข็งแกร่ง
- ค่าใช้จ่าย: ต่ำกว่า Confirmed เพราะไม่ต้องมีธนาคารเพิ่ม
4. ประเภท L/C อื่นๆ ที่พบบ่อย
นอกจากประเภทหลัก ยังมี L/C พิเศษที่ออกแบบสำหรับสถานการณ์เฉพาะในการค้าต่างประเทศ
เลตเตอร์ออฟเครดิตค้ำประกัน (Standby L/C – SBLC)
ต่างจาก L/C ทั่วไปตรงที่ไม่ใช้ชำระค่าสินค้าโดยตรง แต่เหมือนหลักประกันจากธนาคาร
- ลักษณะ: ชำระเงินเมื่อผู้ขอไม่ทำตามสัญญาหลัก
- การใช้งาน: สำหรับค้ำประกันสัญญา สินเชื่อ การประมูล หรือชำระหนี้หากผิดนัด
- ต่างจาก L/C สินค้า: เรียกใช้เฉพาะตอนผิดนัด ไม่ใช่การค้าปกติ
เลตเตอร์ออฟเครดิตที่โอนได้ (Transferable L/C)
L/C ที่ให้ผู้รับคนแรก (มักเป็นตัวกลาง) โอนสิทธิ์รับเงินทั้งหมดหรือบางส่วนให้ผู้รับคนที่สอง (เช่น ผู้ผลิตจริง)
- ลักษณะ: ช่วยตัวกลางไม่เปิดเผยข้อมูลผู้ผลิต และให้ผู้ผลิตได้เงินตรงจากธนาคาร
- ข้อจำกัด: โอนได้ครั้งเดียว เงื่อนไขหลักคงเดิม ยกเว้นลดจำนวนเงินหรือวันที่
Red Clause L/C
L/C พิเศษที่อนุญาตให้ธนาคารจ่ายเงินล่วงหน้าให้ผู้ส่งออกก่อนส่งสินค้า
- ลักษณะ: ชื่อมาจากข้อความสีแดงในอดีตที่อนุญาตจ่ายล่วงหน้า
- ประโยชน์: ช่วยผู้ส่งออกมีทุนซื้อวัตถุดิบหรือผลิตก่อนส่ง
- ความเสี่ยง: สูงสำหรับผู้นำเข้าและธนาคาร เพราะจ่ายก่อนได้สินค้า
Back-to-Back L/C
เปิด L/C สองชุด โดยชุดแรกจากผู้นำเข้าใช้เป็นหลักประกันเปิดชุดที่สองให้ผู้ผลิต
- ลักษณะ: ตัวกลางใช้ L/C จากผู้ซื้อขอเปิด L/C ใหม่ให้ซัพพลายเออร์
- ประโยชน์: เหมาะตัวกลางทุนน้อยแต่มีออร์เดอร์แน่นอน
- ความซับซ้อน: จัดการเอกสารยากและเสี่ยงเรื่องเวลา หากไม่ระวัง
เลือก L/C ประเภทไหนดี? คำแนะนำสำหรับผู้ประกอบการไทย
การเลือก L/C ที่เหมาะสมช่วยจัดการความเสี่ยงและต้นทุนได้ดี สำหรับผู้ประกอบการไทย ต้องพิจารณาหลายปัจจัยก่อนตัดสินใจ เพื่อให้ธุรกิจเดินหน้าสุ่ย
ปัจจัยในการพิจารณาเลือกประเภท L/C
ก่อนเลือก L/C ควรดูปัจจัยเหล่านี้
- ความน่าเชื่อถือคู่ค้า: ถ้าคู่ค้ามั่นคงและสนิทสนม ใช้ Unconfirmed Irrevocable L/C ได้
- ความเสี่ยงประเทศ: ถ้าประเทศคู่ค้าเสี่ยง ใช้ Confirmed Irrevocable L/C เพื่อความปลอดภัย
- มูลค่าการค้า: ยิ่งสูง ยิ่งเลือก L/C มั่นคง
- ลักษณะสินค้า: สินค้าที่ขายเร็วเหมาะ Sight L/C สินค้าที่ต้องรอขายเหมาะ Usance
- อำนาจต่อรอง: ถ้าต่อรองได้ดี จะกำหนดเงื่อนไขได้ตามใจ
- ต้นทุน: Confirmed หรือซับซ้อนมีค่าธรรมเนียมสูงกว่า
- สภาพคล่อง: ผู้ส่งออกอยากเงินเร็วเลือก Sight ผู้นำเข้าอยากผ่อนเลือก Usance
กรณีศึกษา: สถานการณ์ธุรกิจไทยกับการเลือกใช้ L/C
ดูตัวอย่างจริงจากธุรกิจไทย
- SME ไทยเริ่มค้าขายตลาดใหม่ในแอฟริกา:
ตลาดใหม่เสี่ยงทั้งธนาคารและการเมือง ควรใช้ Confirmed Irrevocable Sight L/C ด้วยธนาคารยืนยันจากไทยหรือประเทศที่น่าเชื่อถือ เพื่อลดเสี่ยงและได้เงินเร็ว
- ตัวกลางไทยหาสินค้าจากผู้ผลิตรายย่อยส่งต่อ:
ถ้าไม่อยากเปิดเผยผู้ผลิต ใช้ Transferable L/C ถ้าไม่ได้ ลอง Back-to-Back L/C ปรึกษาธนาคารอย่างกรุงเทพหรือกสิกรไทย
- บริษัทก่อสร้างไทยได้โปรเจกต์ใหญ่ต่างประเทศ:
ต้องค้ำประกันสัญญาหรือเงินล่วงหน้า ใช้ Standby L/C จาก EXIM Bank หรือธนาคารใหญ่ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้า
ธนาคารไทยหลายแห่งอย่าง ธนาคารกสิกรไทย, ธนาคารกรุงเทพ และ EXIM Bank มีบริการปรึกษาและ L/C หลากหลาย ผู้ประกอบการควรคุยกับผู้เชี่ยวชาญเพื่อเลือกให้ตรงจุด
L/C กับเครื่องมือการค้าระหว่างประเทศอื่นๆ: สัญญาทรัสต์รีซีท (Trust Receipt) และความแตกต่าง
นอกจาก L/C ยังมีเครื่องมืออื่นๆ ในการค้าต่างประเทศ บางตัวใช้คู่กันเพื่อช่วยผู้นำเข้า เช่น สัญญาทรัสต์รีซีท
สัญญาทรัสต์รีซีท (Trust Receipt) คืออะไร?
Trust Receipt คือสัญญาที่ผู้นำเข้าทำกับธนาคารตัวเอง ธนาคารจะปล่อยเอกสารสินค้าให้ผู้นำเข้าไปรับของจากเรือหรือเครื่องบินก่อนจ่ายเงิน ผู้นำเข้าจะเป็นผู้ดูแลสินค้าในนามธนาคาร และต้องขายแล้วนำเงินมาคืนตามกำหนด
สรุปคือ มันช่วยให้ผู้นำเข้าไม่ต้องจ่ายเงินทันที แต่เอาไปขายก่อน เพิ่มความคล่องตัวในการจัดการทุน
ความสัมพันธ์และการใช้ร่วมกันกับ L/C
L/C และ Trust Receipt ทำงานเสริมกันในค้าต่างประเทศ
- L/C: รับประกันเงินให้ผู้ส่งออกเมื่อเอกสารถูกต้อง
- Trust Receipt: ให้เครดิตสั้นๆ แก่ผู้นำเข้า เพื่อรับของและขายก่อนจ่ายธนาคาร
ปกติหลังธนาคารผู้เปิด L/C จ่ายเงินให้ผู้ส่งออก ถ้าผู้นำเข้าทุนไม่พอ ธนาคารอาจเสนอ Trust Receipt เพื่อรับเอกสารไปก่อน และจ่ายทีหลัง
ข้อดีข้อเสียเปรียบเทียบ L/C และ Trust Receipt
เพื่อให้เห็นชัด มาดูตารางเปรียบเทียบ
| คุณสมบัติ | Letter of Credit (L/C) | สัญญาทรัสต์รีซีท (Trust Receipt – TR) |
|---|---|---|
| วัตถุประสงค์หลัก | รับประกันการชำระเงินจากผู้นำเข้าถึงผู้ส่งออก | ให้สินเชื่อแก่ผู้นำเข้าเพื่อรับเอกสารและสินค้าก่อนชำระเงิน |
| ผู้ได้รับประโยชน์หลัก | ผู้ส่งออก (Exporter) | ผู้นำเข้า (Importer) |
| ผู้รับความเสี่ยงหลัก | ธนาคารผู้เปิด L/C รับความเสี่ยงจากผู้นำเข้า | ผู้นำเข้า รับความเสี่ยงด้านการขายสินค้าและชำระคืน ธนาคารรับความเสี่ยงจากผู้นำเข้า |
| ช่วงเวลาใช้งาน | ตั้งแต่ก่อนการส่งมอบสินค้าจนถึงการชำระเงิน | หลังการชำระเงินตาม L/C หรือเอกสารเรียกเก็บเงิน โดยธนาคาร |
| สถานะของสินค้า | ยังเป็นของผู้นำเข้าเมื่อรับเอกสาร | ผู้นำเข้าถือสินค้าในฐานะผู้รับฝาก (Trustee) ในนามของธนาคาร |
| เอกสารหลัก | L/C, เอกสารการขนส่ง, ตั๋วแลกเงิน | สัญญาทรัสต์รีซีท |
| ข้อดี | ผู้ส่งออกปลอดภัย, ผู้นำเข้ามั่นใจว่าได้รับเอกสารถูกต้อง | ผู้นำเข้าไม่ต้องใช้เงินสดทันที, มีเวลาขายสินค้า, เพิ่มสภาพคล่อง |
| ข้อเสีย | มีค่าธรรมเนียมสูง, ขั้นตอนซับซ้อน, ต้องจัดการเอกสารอย่างเข้มงวด | ผู้นำเข้ามีภาระผูกพันต้องชำระคืน, หากขายไม่ได้ยังต้องคืนเงิน, ธนาคารมีความเสี่ยงหากผู้นำเข้าผิดนัด |
L/C และ Trust Receipt เป็นเครื่องมือหลักที่ทำให้ค้าต่างประเทศราบรื่น แต่บทบาทต่างกัน การใช้คู่กันช่วยให้ทั้งผู้ส่งออกและผู้นำเข้าได้ประโยชน์เต็มที่ ผู้ประกอบการไทยควรปรึกษาธนาคารเพื่อเลือกตามทุนและสถานการณ์ ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Trust Receipt สามารถหาได้จาก EXIM Bank
ข้อควรระวังและเคล็ดลับการใช้ Letter of Credit สำหรับธุรกิจไทย
ถึง L/C จะช่วยลดเสี่ยง แต่ผู้ประกอบการไทยต้องระวังและมีเคล็ดลับ เพื่อให้ทุกอย่างลื่นไหลและหลีกเลี่ยงปัญหา
- ตรวจเอกสารละเอียด: สำคัญที่สุดในการใช้ L/C ผู้ส่งออกต้องเช็คทุกอย่าง เช่น ใบตราส่ง Invoice Packing List ใบรับรองแหล่งกำเนิด ให้ตรงเงื่อนไขเป๊ะ แม้สะกดผิดนิดเดียวก็อาจถูกปฏิเสธ (Discrepancy)
- เข้าใจค่าธรรมเนียม: L/C มีหลายค่า เช่น เปิด แจ้ง ดำเนินเอกสาร Discrepancy และยืนยัน ควรถามธนาคารให้ชัดเพื่อไม่ให้งง
- จัดการเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน: ค้าต่างประเทศมักใช้สกุลต่าง ควรป้องกันด้วย Forward Contract หรือ Options เพื่อไม่ให้กำไรผันผวน
- สื่อสารธนาคารบ่อยๆ: ช่องทางดีๆ กับธนาคารช่วยแก้ปัญหาตั้งแต่ต้น
- พิจารณาประกันภัย: L/C ลดเสี่ยงได้แต่ไม่หมด ถ้ากลัวธนาคารล้ม ลองซื้อ Trade Credit Insurance เพิ่มความมั่นใจ
- หลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดทั่วไปของไทย:
- ส่งเอกสารช้า: จากเตรียมไม่ทันหรือขนส่งล่าช้า
- ข้อมูลไม่ตรง: เช็คชื่อ ที่อยู่ สินค้า เงินให้ตรงทุกเอกสาร
- ไม่เข้าใจเงื่อนไข: L/C บางตัวมีพิเศษต้องทำตามเคร่งครัด
อบรมพนักงานให้เชี่ยวชาญ L/C จะช่วยป้องกันได้ดี
- ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: ถ้าสงสัยหรือซับซ้อน คุยกับนักค้าต่างประเทศหรือเจ้าหน้าที่ธนาคาร
สรุป: L/C เครื่องมือสำคัญที่ต้องเข้าใจ
Letter of Credit เป็นเครื่องมือทางการเงินที่ทรงพลังในค้าต่างประเทศ ช่วยสร้างความเชื่อมั่นและลดเสี่ยงให้ทั้งผู้ส่งออกและผู้นำเข้า จากประเภทที่กล่าวมา จะเห็นว่า L/C มีความยืดหยุ่น สามารถปรับให้เข้ากับธุรกิจได้ ไม่ว่าจะ Irrevocable ที่มั่นคง Sight สำหรับจ่ายเร็ว Usance สำหรับเครดิต Confirmed สำหรับตลาดเสี่ยง หรือ Standby สำหรับค้ำประกัน
ผู้ประกอบการไทยต้องรู้จุดเด่น ข้อดี ข้อเสีย และเหมาะสมของแต่ละประเภท เพื่อเลือกใช้ให้ฉลาดและได้ประโยชน์สูงสุด โดยดูปัจจัยอย่างคู่ค้า เสี่ยงประเทศ และต้นทุน
นอกจากนี้ การรู้จัก L/C กับเครื่องมืออื่นอย่าง Trust Receipt ช่วยจัดการทุนครบวงจร การเตรียมเอกสารดี สื่อสารธนาคาร และปรึกษาผู้รู้ จะเป็นกุญแจสู่ความสำเร็จในการใช้ L/C
L/C No. ย่อมาจากอะไร และมีความสำคัญอย่างไร?
L/C No. ย่อมาจาก Letter of Credit Number หรือ เลขที่เลตเตอร์ออฟเครดิต เป็นรหัสอ้างอิงเฉพาะที่ธนาคารผู้เปิด L/C กำหนดขึ้นสำหรับ L/C แต่ละฉบับ มีความสำคัญอย่างยิ่งในการอ้างอิงถึง L/C นั้นๆ ในทุกการติดต่อสื่อสารและเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการค้าระหว่างประเทศ เพื่อให้มั่นใจว่าทุกฝ่ายกำลังอ้างถึง L/C ฉบับเดียวกันและป้องกันความสับสน
L/C at sight คืออะไร แตกต่างจาก L/C Term อย่างไร?
L/C at sight (หรือ Sight L/C) คือ เลตเตอร์ออฟเครดิตที่ธนาคารจะชำระเงินให้กับผู้ส่งออกทันทีที่ธนาคารตรวจสอบเอกสารแล้วว่าถูกต้องและครบถ้วนตามเงื่อนไขใน L/C
L/C Term (หรือ Usance L/C) คือ เลตเตอร์ออฟเครดิตที่ธนาคารจะชำระเงินให้กับผู้ส่งออกเมื่อครบกำหนดระยะเวลาที่ระบุไว้ใน L/C เช่น 30 วัน, 60 วัน หรือ 90 วัน นับจากวันที่ในใบตราส่ง หรือวันที่อื่นตามที่ตกลงกัน
ความแตกต่างหลักคือ ระยะเวลาการชำระเงิน: Sight L/C จ่ายทันที ส่วน Usance L/C มีระยะเวลาเครดิต
การเปิด L/C มีขั้นตอนอย่างไรบ้าง และต้องใช้เอกสารอะไรบ้าง?
ขั้นตอนการเปิด L/C โดยทั่วไปมีดังนี้:
- ผู้นำเข้ายื่นคำขอเปิด L/C: ผู้นำเข้า (ผู้ซื้อ) ยื่นคำขอพร้อมรายละเอียดเงื่อนไขการค้าต่อธนาคารของตน (ธนาคารผู้เปิด L/C)
- ธนาคารผู้เปิด L/C พิจารณาและออก L/C: ธนาคารตรวจสอบเครดิตของผู้นำเข้าและออก L/C
- ธนาคารแจ้ง L/C: ธนาคารผู้เปิด L/C ส่ง L/C ไปยังธนาคารผู้แจ้ง (Advising Bank) ซึ่งมักจะเป็นธนาคารในประเทศของผู้ส่งออก
- ธนาคารผู้แจ้งส่ง L/C ถึงผู้ส่งออก: ผู้ส่งออก (ผู้ขาย) ได้รับแจ้งการเปิด L/C
- ผู้ส่งออกจัดส่งสินค้าและจัดทำเอกสาร: ผู้ส่งออกจัดส่งสินค้าและเตรียมเอกสารตามเงื่อนไข L/C
- ผู้ส่งออกยื่นเอกสารเรียกเก็บเงิน: ผู้ส่งออกนำเอกสารที่ถูกต้องและครบถ้วนไปยื่นต่อธนาคารผู้แจ้ง
- ธนาคารดำเนินการชำระเงิน: ธนาคารผู้แจ้งส่งเอกสารไปให้ธนาคารผู้เปิด L/C ตรวจสอบและชำระเงินตามประเภท L/C
- ธนาคารผู้เปิด L/C มอบเอกสารให้ผู้นำเข้า: ผู้นำเข้าชำระเงินหรือทำสัญญาทรัสต์รีซีทเพื่อรับเอกสารไปรับสินค้า
เอกสารที่ต้องใช้ในการขอเปิด L/C โดยทั่วไป ได้แก่ สัญญาซื้อขาย (Sales Contract/Proforma Invoice), ใบอนุญาตนำเข้า (ถ้ามี), แบบฟอร์มคำขอเปิด L/C ของธนาคาร และเอกสารประกอบอื่นๆ ที่ธนาคารอาจร้องขอ
สัญญาทรัสต์รีซีท (Trust Receipt) คืออะไร และสัมพันธ์กับ L/C อย่างไร?
สัญญาทรัสต์รีซีท (Trust Receipt – TR) คือเอกสารที่ผู้นำเข้าทำกับธนาคารของตน โดยธนาคารจะยอมปล่อยเอกสารสินค้าให้ผู้นำเข้านำไปรับสินค้าจากท่าเรือหรือสนามบินก่อนที่ผู้นำเข้าจะชำระเงินค่าสินค้าให้ธนาคาร ผู้นำเข้าจะถือสินค้าในฐานะผู้รับฝาก (Trustee) และมีหน้าที่นำไปจำหน่ายเพื่อนำเงินมาชำระคืนธนาคารตามกำหนด
ความสัมพันธ์กับ L/C คือ เมื่อธนาคารผู้เปิด L/C ได้ชำระเงินให้กับผู้ส่งออกตามเงื่อนไข L/C แล้ว หากผู้นำเข้ายังไม่มีเงินสดมาชำระ ธนาคารอาจเสนอให้ผู้นำเข้าทำ TR เพื่อให้ได้เอกสารไปรับสินค้าและมีระยะเวลาในการขายสินค้าก่อนชำระเงินแก่ธนาคาร ดังนั้น L/C จึงเป็นการรับประกันการชำระเงินให้ผู้ส่งออก ส่วน TR เป็นการให้สินเชื่อแก่ผู้นำเข้าเพื่อเสริมสภาพคล่องหลังการชำระเงินตาม L/C
ธุรกิจ SME ไทยควรเลือกใช้ L/C ประเภทไหนดีที่สุด?
สำหรับธุรกิจ SME ไทย การเลือก L/C ควรพิจารณาจาก ความเสี่ยงของคู่ค้าและประเทศคู่ค้า เป็นหลัก โดยทั่วไปแล้ว L/C ที่ให้ความปลอดภัยสูงสุดคือ Irrevocable Confirmed L/C at Sight
- Irrevocable: เพื่อความมั่นคงว่า L/C จะไม่ถูกยกเลิกหรือแก้ไขฝ่ายเดียว
- Confirmed: หากคู่ค้าอยู่ในประเทศที่มีความเสี่ยงสูง หรือไม่มั่นใจในเครดิตของธนาคารผู้เปิด L/C การมีธนาคารในไทยหรือธนาคารระหว่างประเทศที่น่าเชื่อถือมายืนยัน (Confirm) จะช่วยลดความเสี่ยงได้มาก
- at Sight: เพื่อให้ได้รับเงินรวดเร็ว เสริมสภาพคล่องของ SME
อย่างไรก็ตาม หากคู่ค้ามีความน่าเชื่อถือสูงและอยู่ในประเทศที่มีเสถียรภาพ การใช้ Irrevocable Unconfirmed L/C at Sight ก็เป็นทางเลือกที่ดีและมีค่าธรรมเนียมที่ต่ำกว่า ควรปรึกษาธนาคารที่ให้บริการเพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสมกับสถานการณ์เฉพาะของธุรกิจคุณ
วงเงิน L/C คืออะไร และมีผลต่อการค้าอย่างไร?
วงเงิน L/C (L/C Limit) คือจำนวนเงินสูงสุดที่ธนาคารผู้เปิด L/C ตกลงที่จะรับผิดชอบชำระให้กับผู้ส่งออกตามเงื่อนไขของ L/C ซึ่งมักจะเท่ากับมูลค่าของสินค้าบวกค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ค่าขนส่งและค่าประกันภัย
วงเงิน L/C มีผลต่อการค้าโดยตรงในหลายด้าน:
- จำกัดมูลค่าการค้า: กำหนดว่าการค้านั้นๆ จะมีมูลค่าสูงสุดเท่าใด
- ข้อจำกัดทางการเงินของผู้นำเข้า: สะท้อนถึงความสามารถในการชำระเงินของผู้นำเข้าและวงเงินสินเชื่อที่ได้รับจากธนาคาร
- ความมั่นใจของผู้ส่งออก: ผู้ส่งออกจะมั่นใจว่าจะได้รับเงินไม่เกินวงเงินที่ระบุ
- การบริหารจัดการความเสี่ยง: ช่วยให้ธนาคารและผู้ค้าสามารถบริหารจัดการความเสี่ยงทางการเงินได้
หากเกิดข้อผิดพลาดในการใช้ L/C ผู้ประกอบการไทยควรทำอย่างไร?
หากเกิดข้อผิดพลาดหรือ “ข้อบกพร่องของเอกสาร” (Discrepancy) ในการใช้ L/C ผู้ประกอบการไทยควรดำเนินการดังนี้:
- แจ้งธนาคารทันที: ติดต่อธนาคารผู้แจ้ง (Advising Bank) ของตนทันทีที่พบปัญหา
- ขอคำแนะนำจากธนาคาร: ธนาคารจะให้คำแนะนำเกี่ยวกับวิธีแก้ไขหรือทางเลือกต่างๆ เช่น การขอให้ผู้นำเข้าอนุมัติข้อบกพร่อง (Waiver of Discrepancy)
- ติดต่อผู้นำเข้า: ผู้ส่งออกควรแจ้งผู้นำเข้าเพื่อขอให้ผู้นำเข้าติดต่อธนาคารผู้เปิด L/C เพื่อขออนุมัติข้อบกพร่อง ซึ่งเป็นวิธีที่พบบ่อยที่สุดในการแก้ไขปัญหา
- แก้ไขเอกสาร (ถ้าเป็นไปได้): ในบางกรณีที่ข้อผิดพลาดไม่ร้ายแรงและยังอยู่ในระยะเวลาที่กำหนด อาจสามารถแก้ไขเอกสารและยื่นใหม่ได้
- พิจารณาทางเลือกอื่น: หากไม่สามารถแก้ไขหรือได้รับการอนุมัติ อาจต้องพิจารณาการชำระเงินด้วยวิธีอื่น ซึ่งอาจมีความเสี่ยงมากขึ้น
การป้องกันที่ดีที่สุดคือการตรวจสอบเอกสารอย่างละเอียดก่อนยื่นเสนอต่อธนาคาร
L/C มีข้อดีข้อเสียอย่างไรเมื่อเทียบกับการชำระเงินแบบอื่น?
ข้อดีของ L/C:
- ความปลอดภัยสูง: ผู้ส่งออกมั่นใจว่าจะได้รับชำระเงินจากธนาคาร
- ลดความเสี่ยง: ทั้งผู้ส่งออกและผู้นำเข้าได้รับการคุ้มครอง
- เป็นที่ยอมรับทั่วโลก: ดำเนินการภายใต้กฎเกณฑ์สากล UCP 600
- อำนวยความสะดวกในการจัดหาเงินทุน: สามารถใช้เป็นหลักประกันในการขอสินเชื่อได้
ข้อเสียของ L/C:
- ต้นทุนสูง: มีค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายหลายส่วน
- ขั้นตอนซับซ้อน: ต้องจัดการเอกสารและปฏิบัติตามเงื่อนไขอย่างเคร่งครัด
- ความเสี่ยงจากเอกสารไม่ตรงกัน: หากเอกสารมีข้อผิดพลาด อาจทำให้การชำระเงินล่าช้าหรือถูกปฏิเสธ
เมื่อเทียบกับวิธีอื่น เช่น การชำระเงินล่วงหน้า (Advance Payment) L/C ให้ความปลอดภัยแก่ผู้นำเข้ามากกว่า หรือเมื่อเทียบกับการเปิดบัญชี (Open Account) L/C ให้ความปลอดภัยแก่ผู้ส่งออกมากกว่า แต่ก็มีต้นทุนและขั้นตอนที่มากกว่าเช่นกัน
ธนาคารไทย (เช่น กสิกรไทย, EXIM Bank) มีบริการ L/C แตกต่างกันอย่างไร?
ธนาคารไทยหลักๆ เช่น ธนาคารกสิกรไทย (KBank), ธนาคารกรุงเทพ, และ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM Bank) ล้วนให้บริการ L/C แต่ก็มีความแตกต่างในจุดเน้น:
- ธนาคารพาณิชย์ (เช่น KBank, ธนาคารกรุงเทพ): มักจะมีบริการ L/C ที่หลากหลาย ครอบคลุมทั้งผู้นำเข้าและผู้ส่งออก พร้อมด้วยเครือข่ายสาขาและพันธมิตรธนาคารทั่วโลกที่แข็งแกร่ง ให้บริการทั้ง L/C ประเภทมาตรฐานและประเภทพิเศษ รวมถึงการสนับสนุนด้านสินเชื่อและเงินทุนหมุนเวียนที่เชื่อมโยงกับ L/C
- EXIM Bank (ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย): มุ่งเน้นการสนับสนุนผู้ส่งออกไทยเป็นหลัก โดยเฉพาะ SMEs ที่อาจเข้าถึงบริการธนาคารพาณิชย์ได้ยากกว่า EXIM Bank มักจะมีโปรแกรมพิเศษ เช่น การค้ำประกันการส่งออก การรับประกัน L/C จากธนาคารในต่างประเทศ หรือการให้สินเชื่อเพื่อการส่งออก โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและพัฒนาการค้าระหว่างประเทศของไทย
ผู้ประกอบการควรเปรียบเทียบข้อเสนอ ค่าธรรมเนียม และบริการเสริมจากแต่ละธนาคารเพื่อให้ได้สิ่งที่เหมาะสมกับธุรกิจของตนที่สุด
L/C สามารถโอนเปลี่ยนมือได้หรือไม่ และมีเงื่อนไขอย่างไร?
L/C สามารถโอนเปลี่ยนมือได้ หาก L/C ฉบับนั้นระบุว่าเป็น Transferable L/C
เงื่อนไขหลักของการโอนเปลี่ยนมือมีดังนี้:
- ต้องระบุว่า “Transferable”: L/C ต้องระบุไว้อย่างชัดเจนว่าเป็น L/C ที่โอนเปลี่ยนมือได้
- โอนได้เพียงครั้งเดียว: ผู้รับผลประโยชน์คนแรก (First Beneficiary) สามารถโอนสิทธิ์ให้กับผู้รับผลประโยชน์คนที่สอง (Second Beneficiary) ได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น
- เงื่อนไขหลักต้องคงเดิม: เงื่อนไขสำคัญของ L/C ต้นฉบับ เช่น วันที่หมดอายุ, วันที่ส่งมอบ, รายละเอียดสินค้า จะต้องคงเดิมในการโอน เว้นแต่จำนวนเงินใน L/C, ราคาต่อหน่วย, วันหมดอายุ, หรือระยะเวลาการยื่นเอกสาร อาจถูกลดลงหรือยืดออกไป (เฉพาะวันที่)
- ธนาคารผู้แจ้งเป็นผู้ดำเนินการ: การโอนจะดำเนินการโดยธนาคารผู้แจ้ง (Advising Bank) หรือธนาคารที่ได้รับอนุญาตให้โอน
Transferable L/C มีประโยชน์มากสำหรับตัวกลางการค้าที่ต้องการให้ผู้ผลิตหรือซัพพลายเออร์ได้รับชำระเงินโดยตรง โดยใช้ L/C ที่ได้รับจากผู้ซื้อเป็นเครื่องมือ