66, Broklyn St, New York, USA
Turning big ideas into great services!

open market operations คือ: 4 ข้อควรรู้ กลไก BOT ควบคุมปริมาณเงินและเศรษฐกิจไทย

Home / เริ่มต้นเทรด / ope...

meetcinco_com | 27 10 月

open market operations คือ: 4 ข้อควรรู้ กลไก BOT ควบคุมปริมาณเงินและเศรษฐกิจไทย

บทนำ: เปิดเผยกลไกการทำงานของ Open Market Operations (OMO)

ในระบบการเงินและเศรษฐกิจที่เต็มไปด้วยความซับซ้อน กลไกสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนและรักษาความสมดุลให้กับระบบทั้งหมดคือ Open Market Operations (OMO) หรือที่รู้จักกันในชื่อการดำเนินงานในตลาดเปิด นี่คือเครื่องมือหลักที่ธนาคารกลางทั่วโลก รวมถึงธนาคารแห่งประเทศไทย (BOT) นำมาใช้ในการกำหนดทิศทางนโยบายการเงิน เพื่อจัดการปริมาณเงินและอัตราดอกเบี้ยในเศรษฐกิจ การเข้าใจกลไกนี้จะช่วยให้เรามองเห็นภาพชัดเจนว่าการเคลื่อนไหวทางการเงินเหล่านี้ส่งผลต่อชีวิตประจำวันของเราอย่างไร บทความนี้จะพาคุณเจาะลึกถึงความหมาย วิธีการทำงาน เป้าหมาย และผลกระทบ โดยมุ่งเน้นไปที่การนำไปใช้ในบริบทของประเทศไทย

ภาพประกอบธนาคารกลางจัดการเงินและอัตราดอกเบี้ยด้วยเฟืองและกราฟในระบบเศรษฐกิจที่มั่นคง

Open Market Operations คืออะไร? ทำความเข้าใจนิยามและหลักการ

Open Market Operations (OMO) หมายถึงกระบวนการที่ธนาคารกลางเข้าไปซื้อหรือขายหลักทรัพย์ในตลาดการเงิน โดยจุดมุ่งหมายหลักคือการควบคุมปริมาณเงินและสภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจ รวมถึงกำหนดทิศทางอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น การดำเนินการนี้เป็นเครื่องมือที่ยืดหยุ่นและถูกนำมาใช้บ่อยครั้งที่สุดในการกำหนดนโยบายการเงิน ธนาคารกลางใช้ OMO เพื่อสร้างสมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทานของเงินสำรองที่ธนาคารพาณิชย์ต้องการ ซึ่งจะกระทบต่อต้นทุนการกู้ยืมและอัตราดอกเบี้ยโดยรวมในระบบ หลักการพื้นฐานคือ เมื่อซื้อหลักทรัพย์ จะมีเงินไหลเข้าสู่ระบบมากขึ้น ในขณะที่การขายจะดึงเงินออกไป

ภาพประกอบธนาคารกลางซื้อและขายหลักทรัพย์ในตลาดการเงินเพื่อควบคุมปริมาณเงินและสภาพคล่อง

กลไกการทำงานของ OMO: ธนาคารแห่งประเทศไทยดำเนินการอย่างไร?

ธนาคารแห่งประเทศไทย (BOT) ในฐานะธนาคารกลางของประเทศ อาศัย OMO เป็นเครื่องมือหลักในการจัดการสภาพคล่องและกำหนดทิศทางอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น กระบวนการทำงานหลักแบ่งออกเป็นสองรูปแบบ คือการซื้อและการขายหลักทรัพย์ ซึ่งช่วยให้ BOT สามารถตอบสนองต่อสถานการณ์เศรษฐกิจได้อย่างรวดเร็ว

ภาพประกอบ BOT ซื้อหลักทรัพย์จากธนาคารเพื่อเพิ่มสภาพคล่อง ลดอัตราดอกเบี้ย และกระตุ้นเศรษฐกิจ

การซื้อหลักทรัพย์ในตลาดเปิด (Open Market Purchases)

เมื่อธนาคารแห่งประเทศไทยต้องการเพิ่มสภาพคล่องและปริมาณเงินในระบบ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจหรือลดอัตราดอกเบี้ย BOT จะเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลหรือหลักทรัพย์อื่นๆ จากธนาคารพาณิชย์ หลังจากการซื้อ ธนาคารพาณิชย์จะได้รับเงินสดหรือเงินฝากที่เพิ่มขึ้นจาก BOT ทำให้มีเงินสำรองเหลือเฟือ สิ่งนี้ช่วยให้ธนาคารพาณิชย์สามารถปล่อยกู้ให้กับธุรกิจและประชาชนได้มากขึ้น ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยในตลาดการเงินปรับตัวลดลง ซึ่งจะกระตุ้นการลงทุนและการบริโภคให้คึกคักยิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น ในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัว การอัดฉีดเงินผ่านช่องทางนี้ช่วยป้องกันการหดตัวที่รุนแรง

การขายหลักทรัพย์ในตลาดเปิด (Open Market Sales)

ในทางตรงกันข้าม หากธนาคารแห่งประเทศไทยต้องการลดสภาพคล่องและปริมาณเงิน เพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อหรือป้องกันฟองสบู่ในเศรษฐกิจ BOT จะขายพันธบัตรรัฐบาลให้กับธนาคารพาณิชย์ หลังจากการขาย ธนาคารพาณิชย์ต้องชำระเงินให้ BOT ทำให้เงินสำรองของพวกเขาลดลง สิ่งนี้จำกัดปริมาณเงินที่ธนาคารพาณิชย์สามารถปล่อยกู้ได้ ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยในตลาดการเงินสูงขึ้น ซึ่งจะช่วยชะลอการลงทุนและการบริโภค เพื่อรักษาความสมดุลในระบบ

ตารางเปรียบเทียบผลกระทบของการซื้อและขายหลักทรัพย์ในตลาดเปิด

การดำเนินงาน ผลกระทบต่อสภาพคล่องและปริมาณเงิน ผลกระทบต่ออัตราดอกเบี้ย วัตถุประสงค์หลัก
ซื้อหลักทรัพย์ เพิ่มขึ้น ลดลง กระตุ้นเศรษฐกิจ
ขายหลักทรัพย์ ลดลง เพิ่มขึ้น ชะลอเศรษฐกิจ

ประเภทของ OMO ที่ BOT ใช้: การซื้อคืนและซื้อขาด

ธนาคารแห่งประเทศไทยนำ OMO ในรูปแบบต่างๆ มาใช้เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในตลาดการเงินและเป้าหมายของนโยบายการเงิน ซึ่งรูปแบบที่พบเห็นบ่อย ได้แก่

  • ธุรกรรมซื้อคืน (Repurchase Agreements – RPs): คือการที่ธนาคารแห่งประเทศไทยซื้อหรือขายหลักทรัพย์ โดยตกลงล่วงหน้าว่าจะขายหรือซื้อคืนในอนาคตตามราคาและวันที่ที่กำหนด นี่เป็นเครื่องมือที่ช่วยจัดการสภาพคล่องระยะสั้นและกำหนดทิศทางอัตราดอกเบี้ยในตลาดเงินให้อยู่ในกรอบที่ต้องการ ด้วยความยืดหยุ่นสูง ทำให้ BOT ใช้รูปแบบนี้บ่อยครั้งที่สุด ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเครื่องมือของ BOT
  • ธุรกรรมซื้อขาด/ขายขาด (Outright Transactions): หมายถึงการซื้อหรือขายหลักทรัพย์อย่างถาวร โดยไม่มีข้อตกลงซื้อคืน รูปแบบนี้ใช้เพื่อปรับสภาพคล่องในระบบให้คงที่ในระยะยาว โดยเฉพาะเมื่อธนาคารกลางต้องการส่งสัญญาณที่ชัดเจนเกี่ยวกับทิศทางนโยบายการเงินในอนาคต

วัตถุประสงค์หลักของ Open Market Operations ในนโยบายการเงินของไทย

ธนาคารแห่งประเทศไทยนำ Open Market Operations มาใช้ด้วยกลยุทธ์ที่หลากหลาย เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของนโยบายการเงินและรักษาเสถียรภาพทางการเงินของประเทศ โดยกลไกนี้ช่วยให้ BOT สามารถปรับตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ

การควบคุมปริมาณเงินและสภาพคล่องในระบบ

เป้าหมายหลักของ OMO คือการจัดการปริมาณเงินและสภาพคล่องในระบบธนาคารให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เพื่อสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจโดยไม่ก่อให้เกิดปัญหาอัตราเงินเฟ้อที่สูงเกินควรหรือภาวะเงินฝืดที่ยืดเยื้อ การซื้อหรือขายหลักทรัพย์ช่วยให้ BOT สามารถเพิ่มหรือลดเงินทุนที่ธนาคารพาณิชย์มีอยู่ได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันความผันผวนที่ไม่คาดคิด

การชี้นำอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น

OMO ยังทำหน้าที่สำคัญในการกำหนดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นในตลาดการเงิน โดยเฉพาะอัตราดอกเบี้ยระหว่างธนาคาร เช่น อัตราดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตรระยะข้ามคืน ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยนโยบายหลักของไทย การแทรกแซงสภาพคล่องผ่าน OMO จะส่งผลโดยตรงต่อต้นทุนการกู้ยืมระยะสั้นของธนาคารพาณิชย์ และแพร่กระจายไปยังอัตราดอกเบี้ยอื่นๆ ในตลาดการเงินและเศรษฐกิจโดยรวม ทำให้ระบบเคลื่อนไหวไปในทิศทางที่ต้องการ

สร้างเสถียรภาพทางการเงินและเศรษฐกิจ

ธนาคารแห่งประเทศไทยใช้ OMO เพื่อสร้างและรักษาเสถียรภาพทางการเงินและเศรษฐกิจของชาติ เช่น ในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว ธนาคารกลางอาจเลือกซื้อหลักทรัพย์เพื่ออัดฉีดสภาพคล่อง ลดอัตราดอกเบี้ย และส่งเสริมการลงทุน แต่หากเศรษฐกิจร้อนแรงและเผชิญแรงกดดันจากอัตราเงินเฟ้อ BOT อาจขายหลักทรัพย์เพื่อดึงสภาพคล่องออก เพิ่มอัตราดอกเบี้ย และชะลอการเติบโตเพื่อป้องกันความไม่สมดุล นอกจากนี้ ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ เช่น วิกฤตต้มยำกุ้งปี 2540 หรือการระบาดของโควิด-19 BOT ยังใช้ OMO เพื่อจัดการความผันผวนในตลาดการเงิน โดยรักษาระดับสภาพคล่องที่จำเป็นสำหรับการดำเนินงานของระบบธนาคารให้ต่อเนื่อง บทบาทของ BOT ในนโยบายการเงิน

OMO กับเครื่องมือทางการเงินอื่นๆ ของ BOT: ความแตกต่างและการทำงานร่วมกัน

นอกเหนือจาก OMO แล้ว ธนาคารแห่งประเทศไทยยังมีเครื่องมืออื่นๆ ในนโยบายการเงินที่นำมาใช้ร่วมกัน เพื่อจัดการสภาพคล่องและอัตราดอกเบี้ยได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น การผสมผสานเหล่านี้ช่วยให้ BOT สามารถรับมือกับสถานการณ์ที่หลากหลายได้ดียิ่งขึ้น

เปรียบเทียบ OMO กับ Standing Facilities (เช่น Standing Lending Facility, Discount Window)

Standing Facility คือมาตรการที่ธนาคารกลางจัดเตรียมไว้ เพื่อให้ธนาคารพาณิชย์สามารถกู้ยืมหรือฝากเงินกับธนาคารกลางได้ตามต้องการ ในอัตราดอกเบี้ยที่กำหนดล่วงหน้า ตัวอย่างเช่น

  • Standing Lending Facility (SLF): ธนาคารพาณิชย์สามารถกู้ยืมเงินจากธนาคารแห่งประเทศไทยได้ ซึ่งทำหน้าที่เป็นเพดานของอัตราดอกเบี้ยในตลาดการเงินระยะสั้น
  • Discount Window: คล้ายกับ SLF แต่ธนาคารพาณิชย์ต้องนำหลักทรัพย์มาค้ำประกันในการกู้ยืมจากธนาคารกลาง

ความแตกต่างหลักคือ OMO เป็นเครื่องมือเชิงรุกที่ธนาคารกลางริเริ่มเพื่อกำหนดทิศทางอัตราดอกเบี้ย ในขณะที่ Standing Facilities เป็นเครื่องมือเชิงรับที่ธนาคารพาณิชย์ใช้เพื่อจัดการสภาพคล่องของตัวเอง โดยช่วยกำหนดกรอบบนและล่างของอัตราดอกเบี้ยในตลาด

บทบาทของ Reserve Requirement (การดำรงเงินสำรอง) ร่วมกับ OMO

Reserve Requirement คืออัตราเงินสำรองที่ธนาคารพาณิชย์ต้องคงไว้กับธนาคารกลาง ซึ่งคำนวณจากสัดส่วนเงินฝากที่ได้รับจากลูกค้า การปรับ Reserve Requirement ส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องในระบบอย่างกว้างขวางและค่อนข้างรุนแรง จึงไม่ค่อยนำมาใช้บ่อย ธนาคารแห่งประเทศไทยมักใช้ OMO เพื่อปรับสภาพคล่องให้สอดคล้องกับ Reserve Requirement ที่กำหนด หากต้องการลดสภาพคล่องอย่างถาวร BOT อาจเพิ่ม Reserve Requirement ร่วมกับการขายหลักทรัพย์ในตลาดเปิด เพื่อให้ผลกระทบเกิดขึ้นอย่างกลมกลืน

ผลกระทบของ Open Market Operations ต่อเศรษฐกิจไทยและประชาชน

การดำเนินงานในตลาดเปิดของธนาคารแห่งประเทศไทยไม่ได้หยุดอยู่แค่ในตลาดการเงินเท่านั้น แต่ยังแผ่ขยายผลกระทบไปยังภาคส่วนต่างๆ ของเศรษฐกิจไทยและชีวิตประจำวันของประชาชน ทำให้กลไกนี้กลายเป็นส่วนสำคัญที่เชื่อมโยงนโยบายกับความเป็นจริง

ผลต่อภาคธุรกิจและการลงทุน

เมื่อธนาคารแห่งประเทศไทยใช้ OMO เพื่อลดอัตราดอกเบี้ยผ่านการซื้อหลักทรัพย์ ต้นทุนการกู้ยืมของธนาคารพาณิชย์จะถูกลง ทำให้พวกเขาสามารถเสนออัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ต่ำลงให้กับภาคธุรกิจ การเข้าถึงเงินทุนที่ราคาถูกจะกระตุ้นให้ธุรกิจลงทุนในโครงการใหม่ ขยายกิจการ และสร้างการจ้างงาน ซึ่งส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวม แต่ในทางกลับกัน หากธนาคารกลางต้องการชะลอเศรษฐกิจโดยเพิ่มอัตราดอกเบี้ย ต้นทุนการกู้ยืมที่สูงขึ้นจะทำให้ภาคธุรกิจชะลอการลงทุน เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยง

ผลต่อผู้บริโภคและกำลังซื้อ

การเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยจาก OMO ส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้บริโภค เช่น หากอัตราดอกเบี้ยลดลง อัตราดอกเบี้ยเงินกู้สำหรับซื้อบ้านหรือรถยนต์ก็จะถูกลง ทำให้ประชาชนมีภาระผ่อนชำระที่เบาลง มีเงินเหลือสำหรับการใช้จ่ายหรือออมมากขึ้น สิ่งนี้ช่วยเพิ่มกำลังซื้อและกระตุ้นการบริโภคในประเทศ แต่หากอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น ภาระหนี้จะเพิ่มหนัก ทำให้กำลังซื้อลดลงและชะลอการใช้จ่าย นอกจากนี้ อัตราดอกเบี้ยเงินฝากก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน โดยผู้ฝากเงินจะได้ผลตอบแทนที่ดีขึ้นเมื่ออัตราดอกเบี้ยโดยรวมสูง

บทสรุป: OMO กุญแจสำคัญสู่เสถียรภาพทางการเงินของไทย

สรุปแล้ว Open Market Operations (OMO) คือเครื่องมือที่ทรงพลังและปรับตัวได้สูงของธนาคารแห่งประเทศไทยในการกำหนดนโยบายการเงิน ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมปริมาณเงิน การจัดการสภาพคล่อง หรือการชี้นำอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น ผ่านการซื้อและขายพันธบัตรรัฐบาลในตลาดการเงิน BOT สามารถปรับสมดุลเศรษฐกิจได้อย่างละเอียด เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายสูงสุดคือการรักษาเสถียรภาพทางการเงินและเศรษฐกิจของประเทศ การเข้าใจ OMO จึงเป็นกุญแจสำคัญสำหรับทุกคนที่สนใจกลไกเศรษฐกิจไทย เพราะมันคือหัวใจที่ขับเคลื่อนการเติบโตและความมั่นคงของชาติ

คำถามที่พบบ่อย (FAQs)

Open Market Operations (OMO) ของธนาคารแห่งประเทศไทย มีผลต่ออัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝากของประชาชนโดยตรงอย่างไร?

OMO ส่งผลกระทบทางอ้อมแต่ชัดเจนต่ออัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝากของประชาชน เมื่อ BOT ใช้ OMO เพื่อเพิ่มสภาพคล่องในระบบผ่านการซื้อหลักทรัพย์ อัตราดอกเบี้ยในตลาดจะลดลง ทำให้ธนาคารพาณิชย์ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝากตามไปด้วย ในทางตรงกันข้าม หาก BOT ลดสภาพคล่อง อัตราดอกเบี้ยจะปรับตัวสูงขึ้น

BOT ใช้ Open Market Operations ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจไทย (เช่น วิกฤตปี 40 หรือโควิด-19) อย่างไร?

ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ BOT มักนำ OMO มาใช้เพื่ออัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบธนาคารจำนวนมาก เพื่อป้องกันการขาดสภาพคล่องของธนาคารพาณิชย์และรักษาการทำงานของระบบการเงินให้ต่อเนื่อง เช่น ในช่วงโควิด-19 BOT ได้ซื้อพันธบัตรและหลักทรัพย์อื่นๆ เพื่อรักษาสภาพคล่องและช่วยประคองเศรษฐกิจไม่ให้ทรุดตัวลงอย่างรุนแรง

ความแตกต่างระหว่าง Open Market Operations กับการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Policy Rate) คืออะไร?

อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Policy Rate) คือเป้าหมายอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ BOT ต้องการให้เกิดในตลาดเงิน โดยประกาศจากคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ส่วน OMO คือเครื่องมือปฏิบัติที่ BOT ใช้เพื่อให้อัตราดอกเบี้ยในตลาดเงินจริงเข้าใกล้เป้าหมายนั้น ดังนั้น OMO จึงเป็นกลไกที่ช่วยบรรลุวัตถุประสงค์ของอัตราดอกเบี้ยนโยบาย

หาก BOT ซื้อพันธบัตรรัฐบาลในตลาดเปิด จะส่งผลดีหรือผลเสียต่อค่าเงินบาทอย่างไร?

โดยทั่วไป การที่ BOT ซื้อพันธบัตรรัฐบาลจะเพิ่มปริมาณเงินบาทในระบบและลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งอาจทำให้เงินบาทอ่อนค่าลง เนื่องจากผลตอบแทนจากการถือครองเงินบาทลดลงและอาจดึงดูดเงินทุนต่างชาติให้ไหลออก อย่างไรก็ตาม ผลกระทบต่อค่าเงินบาทยังขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆ เช่น สภาวะเศรษฐกิจโลก การเคลื่อนไหวของค่าเงินในภูมิภาค และนโยบายอื่นๆ ของ BOT

ธุรกิจขนาดเล็กในประเทศไทยจะได้รับผลกระทบจาก Open Market Operations อย่างไรบ้าง?

ธุรกิจขนาดเล็กจะได้รับผลกระทบผ่านการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ หาก OMO ทำให้ดอกเบี้ยลดลง ธุรกิจเหล่านี้จะเข้าถึงเงินทุนได้ง่ายขึ้นด้วยต้นทุนที่ต่ำ ซึ่งช่วยกระตุ้นการลงทุนและขยายกิจการ แต่หากดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น ภาระหนี้จะสูงขึ้นและอาจทำให้การเติบโตชะลอตัวลง

Open Market Operations มีความเกี่ยวข้องกับ “สภาพคล่องในระบบธนาคาร” อย่างไร?

OMO คือเครื่องมือหลักที่ BOT ใช้ในการจัดการสภาพคล่องในระบบธนาคารโดยตรง การซื้อหลักทรัพย์จากธนาคารพาณิชย์จะเพิ่มเงินสำรองให้พวกเขา ทำให้สภาพคล่องโดยรวมเพิ่มขึ้น ในทางกลับกัน การขายจะดึงเงินสำรองออก ลดสภาพคล่อง การรักษาระดับสภาพคล่องที่เหมาะสมจึงช่วยป้องกันปัญหาการขาดแคลนเงินทุนในระบบการเงิน

BOT ใช้เครื่องมือ Open Market Operations บ่อยแค่ไหน และมีข่าวสารอัปเดตจาก BOT ที่ไหน?

BOT นำ OMO มาใช้เป็นประจำเกือบทุกวัน เพื่อจัดการสภาพคล่องระยะสั้นให้สอดคล้องกับเป้าหมายอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ข่าวสารและประกาศเกี่ยวกับการดำเนินงานในตลาดเปิด รวมถึงข้อมูลนโยบายการเงิน สามารถติดตามได้จากเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของธนาคารแห่งประเทศไทย (www.bot.or.th) ซึ่งอัปเดตรายงานและข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ

หากต้องการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลที่ BOT ใช้ใน OMO ประชาชนทั่วไปทำได้หรือไม่?

ประชาชนทั่วไปสามารถลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลได้ โดย BOT ไม่ได้ขายโดยตรงให้ประชาชนในการทำ OMO แต่สามารถซื้อผ่านช่องทางเช่น ธนาคารพาณิชย์หรือตลาดรอง ซึ่งพันธบัตรเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของตลาดที่ BOT ดำเนินการซื้อขาย

Open Market Operations กับการควบคุมเงินเฟ้อในประเทศไทยมีความสัมพันธ์กันอย่างไร?

OMO เป็นเครื่องมือสำคัญในการควบคุมเงินเฟ้อ หาก BOT พบว่าอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มสูง จะใช้ OMO แบบขายหลักทรัพย์เพื่อดึงสภาพคล่องออก ลดปริมาณเงิน เพิ่มอัตราดอกเบี้ย และชะลอการใช้จ่ายกับการลงทุน ซึ่งช่วยลดแรงกดดันจากเงินเฟ้อ

Open Market Operations มีความสำคัญต่อ “ตลาดเงิน” (Money Market) ของประเทศไทยอย่างไร?

OMO มีบทบาทสำคัญยิ่งต่อตลาดเงินของไทย เพราะเป็นกลไกหลักที่ BOT ใช้กำหนดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น เช่น อัตราดอกเบี้ยข้ามคืน ทำให้ตลาดมีสภาพคล่องเพียงพอและเสถียร การดำเนินงานผ่าน OMO ช่วยให้ธนาคารพาณิชย์จัดการสภาพคล่องได้ดี และส่งผ่านผลของนโยบายการเงินไปยังอัตราดอกเบี้ยอื่นๆ ในระบบอย่างราบรื่น

發佈留言