66, Broklyn St, New York, USA
Turning big ideas into great services!

Stop Loss คืออะไร? คู่มือนักลงทุนไทย: ตั้งค่าอย่างไรให้เทรดมั่นใจและปกป้องเงินทุน

Home / ห้องเรียนฟอเร็กซ์ / Sto...

meetcinco_com | 16 10 月

Stop Loss คืออะไร? คู่มือนักลงทุนไทย: ตั้งค่าอย่างไรให้เทรดมั่นใจและปกป้องเงินทุน

บทนำ: Stop Loss คืออะไร และทำไมนักลงทุนไทยควรรู้?

ในแวดวงการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นหุ้นไทย, ฟอเร็กซ์ หรือแม้กระทั่งสกุลเงินดิจิทัล ความแกว่งไกวของราคายังคงเป็นส่วนที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เสมอ ขณะที่โอกาสทำกำไรก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่จะสูญเสียเงินทุน เพื่อช่วยรักษาสภาพคล่องทางการเงินและควบคุมความเสียหายให้อยู่ในขอบเขตที่ยอมรับได้ นักลงทุนที่มีประสบการณ์มักพึ่งพาเครื่องมือสำคัญอย่าง “Stop Loss” หรือที่รู้จักกันในชื่อ “คำสั่งตัดขาดทุน” ซึ่งเป็นระบบที่ช่วยกำหนดจุดออกจากตำแหน่งการลงทุนล่วงหน้า เพื่อจัดการความเสี่ยงและป้องกันพอร์ตลงทุนจากความสูญเสียรุนแรงเกินควร บทความนี้จะนำเสนอรายละเอียดครบถ้วนเกี่ยวกับ Stop Loss ตั้งแต่ความหมายพื้นฐาน วิธีการทำงาน ไปจนถึงเทคนิคการตั้งค่าและกลยุทธ์ที่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนในไทย เพื่อให้คุณสามารถทำการเทรดด้วยความมั่นใจและยั่งยืนยิ่งขึ้น

ภาพประกอบโล่ป้องกันกระเป๋าเงินบนกราฟหุ้นที่ผันผวน พร้อมนักลงทุนที่ดูมั่นใจ

Stop Loss คืออะไร? ความหมายและหลักการทำงาน

Stop Loss หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า SL คือคำสั่งการซื้อขายที่นักลงทุนวางแผนไว้ล่วงหน้า เพื่อให้แพลตฟอร์มทำการปิดตำแหน่งโดยอัตโนมัติ ไม่ว่าจะเป็นการขายสำหรับตำแหน่งซื้อ หรือการซื้อคืนสำหรับตำแหน่งขาย เมื่อราคาของสินทรัพย์เคลื่อนที่ไปในทางตรงข้ามกับที่คาดหวัง จนถึงระดับราคาที่ระบุไว้ไว้ล่วงหน้า จุดมุ่งหมายหลักของมันคือการจำกัดความสูญเสียให้อยู่ในระดับที่ควบคุมได้ ก่อนที่สถานการณ์จะเลวร้ายลงและกระทบต่อเงินทุนอย่างหนักหน่วง

การทำงานของ Stop Loss นั้นตรงไปตรงมาแต่มีประสิทธิภาพสูง เมื่อคุณเปิดตำแหน่งซื้อหุ้นที่ราคา 10 บาท และกำหนด Stop Loss ไว้ที่ 9 บาท หากราคาตกลงมาถึงระดับนั้น ระบบจะสั่งขายทันทีโดยไม่ต้องรอ เพื่อหยุดความสูญเสียไว้ที่ 1 บาทต่อหุ้นเท่านั้น การใช้ Stop Loss จึงเปรียบเสมือนเกราะกำบังที่ช่วยให้นักลงทุนจัดการความเสี่ยงในแต่ละการเทรดได้อย่างมีระบบ

ภาพประกอบหน้าจอเทรดดิ้งที่แสดงคำสั่งขายอัตโนมัติเมื่อถึงราคาที่กำหนด

ทำไม Stop Loss จึงสำคัญต่อการบริหารความเสี่ยง?

การจัดการความเสี่ยงถือเป็นรากฐานของความสำเร็จในการลงทุนระยะยาว และ Stop Loss คือเครื่องมือหลักที่ทำให้กระบวนการนี้มีประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น มีเหตุผลหลายประการที่ทำให้ Stop Loss กลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับนักลงทุน:

  • จำกัดความสูญเสีย: Stop Loss ช่วยกำหนดขีดจำกัดสูงสุดของความเสียหายในแต่ละเทรดอย่างชัดเจน หากตลาดไม่เป็นใจ ระบบจะเข้าแทรกแซงเพื่อปกป้องเงินทุนไม่ให้ไหลออกมากเกินควร
  • รักษาเงินทุน: เงินทุนคือหัวใจของการลงทุน การนำ Stop Loss มาใช้อย่างต่อเนื่องช่วยรักษาสภาพคล่อง ทำให้คุณมีโอกาสเริ่มต้นใหม่ได้ แม้จะพลาดพลั้งในบางครั้ง
  • ลดผลกระทบจากอารมณ์: เมื่อราคาเคลื่อนไหวผิดทิศทาง นักลงทุนมักเผชิญกับความกลัวหรือความหวังที่อาจนำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาด เช่น ถือครองสินทรัพย์ที่ขาดทุนต่อไป Stop Loss ที่วางแผนไว้ช่วยให้ทุกอย่างเป็นไปตามกลยุทธ์ ไม่ใช่ตามอารมณ์ชั่ววูบ
  • เสริมสร้างวินัย: การกำหนด Stop Loss บังคับให้นักลงทุนต้องวางแผนอย่างละเอียดตั้งแต่จุดเข้า จุดออก และจุดตัดขาดทุน ซึ่งเป็นพื้นฐานของวินัยที่แข็งแกร่ง
  • ประหยัดเวลา: คุณไม่จำเป็นต้องจับตาหน้าจอตลอดเวลา Stop Loss ทำงานเอง ทำให้มีเวลามากขึ้นสำหรับการวิเคราะห์ตลาดหรือกิจกรรมอื่น ๆ

ด้วยเหตุนี้ Stop Loss จึงกลายเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้นักลงทุนไทยสามารถเผชิญหน้ากับความไม่แน่นอนของตลาดได้อย่างมีสติ

ภาพประกอบเฟืองที่แสดงการจัดการความเสี่ยงอย่างราบรื่นกับนักลงทุนที่สังเกตกราฟอย่างสงบ

Stop Loss vs. Take Profit (TP): คู่หูในการวางแผนการเทรด

ในการวางกลยุทธ์การเทรดที่สมบูรณ์แบบ นักลงทุนควรพิจารณาทั้งจุดตัดขาดทุนอย่าง Stop Loss และจุดล็อกกำไรอย่าง Take Profit หรือ TP ซึ่งทั้งสองทำหน้าที่เป็นคำสั่งออกจากตำแหน่ง แต่มีจุดประสงค์ที่แตกต่างกันชัดเจน

  • Stop Loss (SL): มุ่งเน้นการลดความเสียหาย โดยปิดตำแหน่งเมื่อราคาเคลื่อนไหวในทางที่ทำให้ขาดทุนเกินขีดจำกัดที่ยอมรับได้
  • Take Profit (TP): มุ่งล็อกกำไร โดยปิดตำแหน่งเมื่อราคาบรรลุเป้าหมายที่คาดหวังในทิศทางที่ถูกต้อง

การกำหนดทั้ง SL และ TP พร้อมกันช่วยสร้างแผนการเทรดที่ชัดเจนตั้งแต่เริ่มต้น คุณจะทราบล่วงหน้าว่าหากถูกทางจะได้กำไรเท่าไร และหากผิดทางจะเสียหายแค่ไหน สิ่งนี้ทำให้สามารถประเมินอัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทน (Risk-Reward Ratio) ได้อย่างแม่นยำ และตัดสินใจว่าการเทรดนั้นคุ้มค่าหรือไม่

ตัวอย่าง: สมมติคุณซื้อหุ้น A ที่ราคา 10 บาท กำหนด SL ที่ 9.50 บาท และ TP ที่ 11.50 บาท หากราคาตกถึง 9.50 บาท ระบบจะขายทันที คุณสูญเสีย 0.50 บาทต่อหุ้น แต่หากราคาขึ้นถึง 11.50 บาท คุณจะได้กำไร 1.50 บาทต่อหุ้น อัตราส่วนในกรณีนี้คือ 1:3 ซึ่งถือว่ามีความสมดุลและน่าลงทุน

Stop Loss vs. Cut Loss: ความต่างที่สำคัญทั้งในแง่กลยุทธ์และจิตวิทยา

แม้ว่าทั้งสองคำจะเกี่ยวข้องกับการตัดขาดทุน แต่ Stop Loss และ Cut Loss มีความแตกต่างที่ชัดเจนทั้งในด้านกลยุทธ์และด้านจิตวิทยา ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการตัดสินใจและผลลัพธ์การลงทุน

คุณสมบัติ Stop Loss (SL) Cut Loss
ลักษณะ คำสั่งอัตโนมัติที่วางไว้ล่วงหน้า การตัดสินใจขายด้วยตนเองเมื่อขาดทุน
ช่วงเวลา ตั้งค่าก่อนหรือทันทีที่เข้าเทรด ตัดสินใจ ณ ขณะที่ขาดทุนเกิดขึ้น
จิตวิทยา ตัดสินใจด้วยเหตุผล ไม่มีอารมณ์แทรก มักถูกอารมณ์อย่างกลัวหรือหวังครอบงำ
วินัย เสริมวินัยในการจัดการความเสี่ยง พึ่งพาวินัยส่วนตัวเป็นหลัก
ความยืดหยุ่น ค่อนข้างตายตัวแต่ปรับได้ ยืดหยุ่นกว่าแต่เสี่ยงต่ออารมณ์
ข้อดี ป้องกันความเสียหายรุนแรง ลดอคติ ไม่ต้องเฝ้าจอ ปรับตามสถานการณ์ได้ดีในบางเคส
ข้อเสีย อาจถูกเรียกใช้งานแล้วราคากลับตัว ต้องวางแผนล่วงหน้า ยากที่จะตัดสินใจ ขาดทุนอาจหนักหากชักช้า

ด้านกลยุทธ์: Stop Loss เป็นส่วนประกอบของแผนเทรดที่เป็นระบบและวางไว้ล่วงหน้า เป็นการตัดสินใจเชิงตรรกะที่ยึดมั่นในกฎ “ถ้าถึงจุดนี้ต้องออก” โดยไม่สนใจปัจจัยภายนอก ในทางตรงกันข้าม Cut Loss คือการตัดสินใจแบบเรียลไทม์เมื่อตำแหน่งขาดทุนแล้ว ซึ่งอาจเกิดจากการยอมรับความผิดพลาดหรือเพราะพอร์ตไม่ไหว

ด้านจิตวิทยา: นี่คือประเด็นที่ละเอียดอ่อนที่สุด การทำ Cut Loss ด้วยตัวเองมักเป็นเรื่องท้าทายสำหรับนักลงทุนส่วนใหญ่ เนื่องจากไม่มีใครอยากยอมรับความพ่ายแพ้ มักมีความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ว่าตลาดจะพลิกผัน ซึ่งนำไปสู่การถือครองที่ยืดเยื้อและขาดทุนหนัก Stop Loss ช่วยขจัดอุปสรรคนี้เพราะระบบจัดการให้เอง โดยไม่ต้องเผชิญหน้ากับความเจ็บปวดทางใจ ซึ่งเป็นอคติที่เรียกว่า “Disposition Effect” หรือการหลีกเลี่ยงการยอมรับขาดทุน

ประเภทของ Stop Loss ที่ควรรู้

Stop Loss ไม่ได้จำกัดอยู่แค่รูปแบบเดียว แต่มีหลายประเภทที่เหมาะกับสถานการณ์และสไตล์การเทรดที่แตกต่างกันไป นี่คือประเภทหลักที่นักลงทุนไทยควรทำความเข้าใจ

  1. Market Order Stop Loss (คำสั่งตลาด):
    • หลักการ: เมื่อราคาถึงจุดที่กำหนด ระบบจะส่งคำสั่งปิดตำแหน่งด้วยราคาตลาดปัจจุบันทันที
    • ข้อดี: รับประกันการดำเนินการที่รวดเร็วและใกล้เคียงกับราคาที่ตั้ง
    • ข้อควรระวัง: ในตลาดผันผวนหรือสภาพคล่องต่ำ อาจเกิดการคลาดเคลื่อนราคา (Slippage) ที่ทำให้ได้ราคาไม่ตรงตามคาด
  2. Limit Order Stop Loss (คำสั่งจำกัดราคา):
    • หลักการ: เมื่อราคาถึงจุด Trigger ระบบจะส่งคำสั่งปิดด้วยราคา Limit ที่กำหนดไว้
    • ข้อดี: ป้องกัน Slippage โดยไม่ยอมให้ปิดต่ำกว่าราคาที่ตั้ง
    • ข้อควรระวัง: หากราคาเคลื่อนไหวเร็วเกินไป คำสั่งอาจไม่ถูกจับคู่ ส่งผลให้ตำแหน่งยังเปิดและขาดทุนต่อ
  3. Trailing Stop Loss (เทรลลิ่งสต็อป ลอส):
    • หลักการ: เป็น Stop Loss แบบไดนามิกที่ปรับตามราคาในทิศทางกำไร เมื่อราคาขึ้น (สำหรับซื้อ) จุด Stop Loss จะเลื่อนขึ้นตามเพื่อล็อกกำไร แต่หากราคาลง มันจะคงที่และเรียกใช้งานเมื่อถึงจุดนั้น
    • ตัวอย่าง: ซื้อหุ้นที่ 10 บาท ตั้ง Trailing 1 บาท หากราคาขึ้นเป็น 12 บาท Stop Loss เลื่อนไป 11 บาท หากลงมาถึง 11 บาท จะขาย ได้กำไร 1 บาท แต่ถ้าขึ้นถึง 15 บาท Stop Loss ไปที่ 14 บาท และขายที่ 14 หากลงมา ได้กำไร 4 บาท
    • ข้อดี: ช่วยให้เทรดตามเทรนด์ได้นานขึ้นและล็อกกำไรอัตโนมัติ โดยไม่ต้องปรับด้วยตัวเอง
    • ข้อควรระวัง: อาจถูกเรียกในช่วงแกว่งไกวเล็กน้อย ก่อนที่ราคาจะฟื้นตัว

ควรตั้ง Stop Loss เท่าไหร่? หลักการและปัจจัยที่ต้องพิจารณา

ไม่มีสูตรตายตัวสำหรับการตั้ง Stop Loss เพราะต้องพิจารณาหลายปัจจัย แต่มีแนวทางพื้นฐานที่ช่วยให้การตัดสินใจมีเหตุผลมากขึ้น

  1. อิงเปอร์เซ็นต์จากราคาเข้า:
    • กำหนดเปอร์เซ็นต์ขาดทุนสูงสุดที่ยอมรับ เช่น 5% หรือ 10% จากราคาซื้อ
    • ตัวอย่าง: ซื้อหุ้น 100 บาท ตั้ง Stop Loss ที่ 5% คือ 95 บาท
    • ข้อดี: คำนวณง่ายและควบคุมความเสี่ยงต่อพอร์ตได้
    • ข้อควรระวัง: อาจไม่เหมาะกับสินทรัพย์ผันผวนสูง เพราะโดนเรียกง่าย หรือกว้างเกินในสินค้าที่มั่นคง
  2. อิงแนวรับ/แนวต้าน:
    • วาง Stop Loss ใต้แนวรับสำคัญ (สำหรับซื้อ) หรือเหนือแนวต้าน (สำหรับขาย)
    • ข้อดี: มีพื้นฐานทางเทคนิค เพราะการทะลุแนวเหล่านี้มักบ่งบอกการเปลี่ยนเทรนด์
    • ข้อควรระวัง: การตีความแนวรับแนวต้านอาจแตกต่างกัน ต้องอาศัยประสบการณ์
  3. ใช้ตัวชี้วัด ATR (Average True Range):
    • ATR วัดความผันผวน เพื่อกำหนดระยะ Stop Loss ที่เหมาะสม เช่น ห่าง 1-2 เท่าของ ATR จากราคาเข้า
    • ข้อดี: ปรับตามลักษณะของสินทรัพย์ ทำให้ไม่แคบหรือกว้างเกินไป
    • ข้อควรระวัง: ต้องเข้าใจการใช้งาน ATR และเลือกตัวคูณที่เหมาะสม
  4. ปัจจัยอื่น ๆ:
    • ความผันผวน: สินค้าที่แกว่งไกวมาก ควรให้ช่องว่าง Stop Loss กว้างขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงการเรียกใช้งานโดยไม่จำเป็น
    • กรอบเวลา: เทรดสั้น ๆ อย่างเดย์เทรดใช้ Stop Loss แคบกว่า การลงทุนยาว
    • ระดับความเสี่ยงส่วนบุคคล: ปรับให้เข้ากับความสามารถในการรับมือความสูญเสียของแต่ละคน

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการบริหารความเสี่ยง สามารถศึกษาจากเว็บไซต์ของ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ซึ่งมีคำแนะนำที่เป็นประโยชน์ในการวางแผนลงทุนและควบคุมความเสี่ยง

วิธีตั้ง Stop Loss ในแพลตฟอร์มยอดนิยมของไทย (เช่น Streaming Mobile App)

ขั้นตอนการตั้ง Stop Loss ในแพลตฟอร์มต่าง ๆ มักคล้ายกัน แต่รายละเอียดอาจแตกต่างเล็กน้อย โดยเฉพาะในแอปยอดนิยมอย่าง Streaming Mobile App ที่นักลงทุนไทยนิยมใช้สำหรับหุ้น

ตัวอย่างการตั้ง Stop Loss ใน Streaming Mobile App (สำหรับหุ้น):

  1. เข้าสู่ระบบ: เปิดแอปและล็อกอินด้วยบัญชีของคุณ
  2. เลือกเมนู Order: มักอยู่ที่แถบด้านล่างหรือบนของหน้าจอ
  3. เลือก Buy หรือ Sell: สำหรับหุ้นที่ถืออยู่ ให้เลือก Sell
  4. ระบุหุ้นและจำนวน: พิมพ์ชื่อหุ้นและปริมาณที่ต้องการ
  5. เลือกประเภทคำสั่ง: ในส่วน Condition ให้เลือก Stop Order หรือ Conditional Order
  6. กำหนดราคา Trigger: ราคาที่จะกระตุ้นคำสั่ง เช่น 9.50 บาทสำหรับการขายเมื่อราคาลง
  7. กำหนดราคา Limit: ราคาที่จะปิดจริง มักตั้งใกล้เคียง Trigger หรือใช้ Market Price (MP) หากเป็น Market Order
  8. กำหนดวันหมดอายุ: เช่น Day สำหรับวันเดียว GTC สำหรับจนกว่าจะยกเลิก หรือ GTD สำหรับถึงวันที่กำหนด
  9. ตรวจสอบและยืนยัน: ดูรายละเอียดให้ครบแล้วกดยืนยัน

สำหรับแพลตฟอร์มอื่น ๆ:

  • Bitkub (คริปโต): เลือก Stop-Limit หรือ Stop-Market ในหน้าซื้อขาย โดยระบุราคา Trigger และ Limit
  • Exness (Forex) / MT4/MT5: เมื่อเปิดตำแหน่ง จะมีช่อง Stop Loss และ Take Profit ให้กรอกราคาได้เลย

การฝึกตั้ง Stop Loss ในแพลตฟอร์มที่ใช้จริงเป็นกุญแจสำคัญ ควรทดลองในบัญชีเดโมก่อนเสมอ และหากสงสัยให้ติดต่อโบรกเกอร์โดยตรงเพื่อความชัดเจน

ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยในการใช้ Stop Loss และวิธีหลีกเลี่ยง

ถึงแม้ Stop Loss จะเป็นเครื่องมือที่ทรงพลัง แต่การนำไปใช้ผิดพลาดก็อาจสร้างปัญหาได้ นี่คือข้อผิดพลาดทั่วไปพร้อมวิธีป้องกัน

  1. ตั้ง Stop Loss แคบเกินไป:
    • ปัญหา: ใกล้ราคาเข้าจนเกินไป ทำให้ถูกเรียกใช้งานบ่อยจากความผันผวนปกติ (Whipsaw) ก่อนราคาจะกลับตัว
    • วิธีหลีกเลี่ยง: ใช้หลักการอิงโครงสร้างราคา แนวรับต้าน หรือ ATR เพื่อให้มีช่องว่างที่เหมาะสม แทนการใช้เปอร์เซ็นต์แคบ ๆ
  2. ตั้ง Stop Loss กว้างเกินไป:
    • ปัญหา: ห่างจากราคาเข้าจนทำให้ขาดทุนหนักหากผิดทาง หรือ Risk-Reward Ratio ไม่สมดุล
    • วิธีหลีกเลี่ยง: กำหนดระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ชัดเจน และปรับขนาดตำแหน่ง (Position Sizing) เพื่อให้ขาดทุนไม่เกิน 1-2% ของพอร์ต
  3. ไม่ปรับ Stop Loss เมื่อสถานการณ์เปลี่ยน:
    • ปัญหา: เมื่อมีกำไรแล้วไม่เลื่อน Stop Loss ขึ้น อาจทำให้กำไรหายหรือกลับมาเสียหาย
    • วิธีหลีกเลี่ยง: ใช้ Trailing Stop Loss หรือเลื่อนไปจุดคุ้มทุนเมื่อราคาเคลื่อนไหวถูกทาง เพื่อล็อกกำไรบางส่วน
  4. ยกเลิก Stop Loss ด้วยอารมณ์:
    • ปัญหา: เมื่อราคาใกล้ Trigger ด้วยความหวังที่ราคาจะฟื้น เลื่อนหรือยกเลิก ซึ่งทำลายวินัยทั้งหมด
    • วิธีหลีกเลี่ยง: ยึดมั่นในแผนที่วางไว้ อย่าปรับด้วยอารมณ์ เรียนรู้จากผลลัพธ์และปรับแผนในครั้งถัดไปแทน
  5. ไม่เข้าใจประเภท Stop Loss:
    • ปัญหา: ใช้ Market Order ในตลาดสภาพคล่องต่ำ ทำให้ Slippage หนัก
    • วิธีหลีกเลี่ยง: ศึกษาความแตกต่างของแต่ละประเภทและเลือกให้เหมาะกับตลาดและสินทรัพย์

สรุป: Stop Loss เครื่องมือสำคัญเพื่อการเทรดอย่างยั่งยืน

Stop Loss ไม่ใช่แค่คำสั่งธรรมดา แต่เป็นหลักการสำคัญในการจัดการความเสี่ยงและปกป้องเงินทุน การเข้าใจและนำ Stop Loss มาใช้อย่างถูกต้องช่วยให้นักลงทุนควบคุมความสูญเสีย ลดอิทธิพลจากอารมณ์ และสร้างวินัยที่มั่นคง ไม่ว่าคุณจะลงทุนในหุ้น ฟอเร็กซ์ หรือคริปโต การรวม Stop Loss เข้ากับกลยุทธ์คือสิ่งที่ขาดไม่ได้

โดยการหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดทั่วไปและเลือกประเภทที่เหมาะสม คุณจะใช้เครื่องมือนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สุดท้ายแล้ว เป้าหมายของการลงทุนไม่ใช่แค่กำไรสูงสุด แต่คือการรักษาเงินต้นและเติบโตอย่างมั่นคง Stop Loss คือพันธมิตรที่จะพาคุณไปสู่จุดนั้นด้วยความมั่นใจ

1. Stop Loss อ่านว่าอะไร และมีตัวย่อว่าอะไร?

Stop Loss อ่านว่า “สต็อป ลอส” หรือ “สต็อป ลอซ” และมีตัวย่อที่นิยมใช้กันคือ “SL” ครับ

2. Cut Loss กับ Stop Loss ต่างกันอย่างไรในทางปฏิบัติ?

Cut Loss คือการตัดสินใจขายหุ้นที่ขาดทุนด้วยตนเอง ณ เวลานั้นๆ เมื่อเห็นว่าราคาลงมามากแล้วหรือยอมรับการขาดทุนนั้นได้ มักทำด้วยอารมณ์หรือการตัดสินใจเฉพาะหน้า ส่วน Stop Loss คือคำสั่งขายอัตโนมัติที่ตั้งไว้ล่วงหน้าก่อนเข้าซื้อขาย โดยกำหนดจุดราคาที่จะตัดขาดทุนไว้ชัดเจน เมื่อราคาถึงจุดนั้น ระบบจะขายให้เองโดยอัตโนมัติ เป็นการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ที่ปราศจากอารมณ์

3. SL คืออะไรในการเทรดหุ้น Forex และคริปโต?

SL ย่อมาจาก Stop Loss ซึ่งเป็นคำสั่งซื้อขายที่ตั้งไว้ล่วงหน้าเพื่อจำกัดการขาดทุนในทุกตลาด ไม่ว่าจะเป็นหุ้น (Stock), Forex (ตลาดอัตราแลกเปลี่ยน) หรือคริปโต (Cryptocurrency) หลักการทำงานเหมือนกันคือเมื่อราคาสินทรัพย์เคลื่อนที่ไปในทิศทางที่ทำให้ขาดทุนจนถึงจุดที่กำหนด ระบบจะปิดสถานะโดยอัตโนมัติ

4. มือใหม่ควรตั้ง Stop Loss เท่าไหร่ถึงจะเหมาะสมกับความเสี่ยง?

สำหรับมือใหม่ การเริ่มต้นด้วยการจำกัดความเสี่ยงต่อการเทรดหนึ่งครั้งไม่เกิน 1-2% ของเงินทุนทั้งหมดเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีครับ วิธีการตั้งค่าอาจใช้เปอร์เซ็นต์จากราคาเข้า (เช่น 5-10%) หรืออิงจากแนวรับแนวต้านที่ชัดเจน ควรทดลองในบัญชีทดลองก่อน และค่อยๆ ปรับหาจุดที่เหมาะสมกับสไตล์การเทรดและความผันผวนของสินทรัพย์ที่คุณสนใจ

5. Trailing Stop Loss คืออะไร และเหมาะกับการเทรดแบบไหน?

Trailing Stop Loss คือ Stop Loss ที่สามารถขยับตามราคาไปในทิศทางที่มีกำไรได้โดยอัตโนมัติ ช่วยให้นักลงทุนสามารถล็อกกำไรที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เหมาะสำหรับการเทรดที่ต้องการรันเทรนด์ (Run the trend) หรือในตลาดที่มีแนวโน้มชัดเจน เพราะช่วยให้คุณสามารถถือสถานะได้นานขึ้นโดยไม่ต้องกังวลว่าจะเสียกำไรที่สะสมมาเมื่อราคากลับตัว

6. มีวิธีตั้ง Stop Loss ในแอป Streaming บนมือถืออย่างไรบ้าง?

ในแอป Streaming Mobile คุณสามารถตั้ง Stop Loss ได้โดยเข้าเมนู “Order” > “Sell” (สำหรับหุ้นที่ถืออยู่) > เลือกหุ้นและจำนวน > ในส่วนของ “Condition” หรือ “ประเภทคำสั่ง” เลือก “Stop Order” หรือ “Conditional Order” > กำหนดราคา Trigger (ราคาที่จะกระตุ้น) และราคา Limit (ราคาที่จะขายจริง) > กำหนดวันหมดอายุ > ตรวจสอบและยืนยัน

7. หากตั้ง Stop Loss แล้วราคาลงมาชนพอดี แต่หลังจากนั้นราคาเด้งกลับขึ้นไปสูงมาก ควรทำอย่างไรในอนาคต?

เหตุการณ์เช่นนี้เป็นเรื่องปกติในตลาด (เรียกว่า Whipsaw) และอาจเป็นสัญญาณว่า Stop Loss ที่คุณตั้งไว้แคบเกินไป หรือไม่สอดคล้องกับความผันผวนของสินทรัพย์นั้นๆ สิ่งที่คุณควรทำในอนาคตคือ:

  • **ทบทวนการตั้งค่า:** พิจารณาว่าคุณตั้ง Stop Loss อิงจากหลักการใด และควรปรับให้กว้างขึ้นเล็กน้อยโดยอิงจากแนวรับทางเทคนิคหรือค่า ATR
  • **ยอมรับ:** เข้าใจว่าไม่มี Stop Loss ใดที่สมบูรณ์แบบ บางครั้งก็ต้องยอมรับว่าแผนผิดพลาด แต่การจำกัดการขาดทุนคือสิ่งสำคัญที่สุด
  • **เรียนรู้จากตลาด:** ศึกษาพฤติกรรมของสินทรัพย์นั้นๆ ว่ามักมีการแกว่งตัวในกรอบใด เพื่อตั้ง Stop Loss ให้เหมาะสมยิ่งขึ้นในครั้งต่อไป

8. Stop Loss Treaty คืออะไร และเกี่ยวข้องกับการเทรด Stop Loss หรือไม่?

คำว่า “Stop Loss Treaty” ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเทรด Stop Loss ในตลาดการเงินครับ “Stop Loss Treaty” โดยทั่วไปแล้วเป็นคำที่ใช้ในบริบทของการประกันภัยต่อ (Reinsurance) ซึ่งหมายถึงสัญญาที่บริษัทประกันภัยต่อจะเข้ามาคุ้มครองความเสียหายของบริษัทประกันภัยหลัก เมื่อค่าสินไหมทดแทนรวมที่จ่ายไปเกินกว่าจำนวนที่กำหนดไว้ ดังนั้นจึงไม่มีความเกี่ยวข้องกับการตั้งค่า Stop Loss ในการซื้อขายหุ้นหรือสินทรัพย์ทางการเงินอื่นๆ

9. การใช้ Stop Loss มีข้อควรระวังอะไรบ้างในตลาดไทย?

ข้อควรระวังหลักๆ ในตลาดไทย ได้แก่:

  • **สภาพคล่อง:** หุ้นบางตัวในตลาดไทยอาจมีสภาพคล่องต่ำ การใช้ Market Order Stop Loss อาจทำให้ได้ราคาที่ไม่ดีนัก
  • **ความผันผวนสูง:** หุ้นขนาดเล็กหรือหุ้นที่มีข่าว อาจมีความผันผวนสูง ทำให้โดน Stop Loss บ่อยครั้ง
  • **คำสั่งที่อาจไม่ถูกจับคู่:** หากใช้ Limit Order Stop Loss และราคาเคลื่อนที่รวดเร็ว อาจทำให้คำสั่งไม่ถูกจับคู่และไม่สามารถปิดสถานะได้
  • **อารมณ์:** แม้จะตั้ง Stop Loss แล้ว แต่บางคนก็ยังพยายามเลื่อนหรือยกเลิกด้วยอารมณ์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องระวังอย่างยิ่งครับ

10. การตั้ง Stop Loss บ่อยๆ จะส่งผลต่อพอร์ตการลงทุนอย่างไร?

การโดน Stop Loss บ่อยๆ อาจบ่งชี้ว่ากลยุทธ์การเทรดของคุณมีปัญหา เช่น:

  • **จุดเข้าไม่ดี:** เข้าซื้อในจังหวะที่ไม่เหมาะสม
  • **Stop Loss แคบเกินไป:** ไม่เผื่อให้ราคามีพื้นที่หายใจ
  • **เลือกสินทรัพย์ผิด:** เทรดสินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูงเกินไปเมื่อเทียบกับ Stop Loss ที่ตั้ง

ผลกระทบคือทำให้พอร์ตขาดทุนสะสมได้ แม้แต่ละครั้งจะขาดทุนน้อย แต่หลายครั้งรวมกันก็อาจเป็นจำนวนมากได้ ควรทบทวนและปรับปรุงกลยุทธ์การเทรด, จุดเข้า และการตั้ง Stop Loss ของคุณหากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้บ่อยครั้งครับ

發佈留言