บทนำ: การเติบโตและโอกาสของ Social Trading ในประเทศไทย
ยุคดิจิทัลทำให้ข้อมูลไหลเวียนอย่างเสรีและการเชื่อมต่อข้ามพรมแดนเกิดขึ้นได้ง่ายขึ้น ส่งผลให้ Social Trading กลายเป็นแนวโน้มที่น่าติดตามในวงการลงทุนทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทยด้วย ความสนใจในการลงทุนที่เพิ่มพูน โดยเฉพาะจากกลุ่มนักลงทุนรุ่นใหม่ซึ่งมองหาทางสร้างรายได้และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ทำให้ Social Trading กลายเป็นทางเลือกที่น่าดึงดูด ลดความยุ่งยากในการเข้าถึงตลาดการเงินที่เคยดูห่างไกล บทความนี้จะพาคุณสำรวจทุกมุมมองของ Social Trading สำหรับนักลงทุนไทย ตั้งแต่หลักพื้นฐานไปจนถึงวิธีการลงทุนที่ปลอดภัยและได้ผลลัพธ์ดี

อะไรคือ Social Trading? แนวคิดหลักและหลักการทำงาน
คำจำกัดความของ Social Trading
การลงทุนแบบ Social Trading ช่วยให้นักลงทุนได้สังเกตการณ์ ศึกษา และทำตามกลยุทธ์การเทรดของผู้อื่นผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ โดยผสานการลงทุนเข้ากับลักษณะของเครือข่ายสังคม สร้างชุมชนการเทรดที่สมาชิกสามารถแลกเปลี่ยนมุมมอง วิเคราะห์สถานการณ์ตลาด และสนทนาเรื่อง กลยุทธ์ลงทุน อย่างเปิดกว้าง แนวคิดหลักอยู่ที่การอาศัยสติปัญญาร่วมกันของกลุ่มคน เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจในการเทรด ทำให้กระบวนการนี้เข้าถึงได้ง่ายและเรียนรู้จากเคสจริงของผู้ที่ประสบผลสำเร็จ

Copy Trading และการเทรดรูปแบบอื่นๆ
ในจักรวาลของ Social Trading รูปแบบย่อยที่โดดเด่นคือ Copy Trading ซึ่งเอื้อให้ ผู้ติดตาม สามารถเลียนแบบการเทรดของ ผู้ให้สัญญาณ หรือเทรดเดอร์ชำนาญได้แบบอัตโนมัติ ทุกการเปิด ปิด หรือปรับตำแหน่งของเทรดเดอร์หลัก บัญชีผู้ติดตามก็จะตามทันในอัตราส่วนที่ตั้งไว้
นอกเหนือจากนี้ ยังมีรูปแบบอื่นที่น่าสนใจ เช่น:
- Mirror Trading: รูปแบบที่คัดลอกกลยุทธ์ทั้งหมดของเทรดเดอร์ แตกต่างจาก Copy Trading ตรงที่ยืดหยุ่นน้อยกว่าและมักใช้กลยุทธ์แบบรวม
- PAMM และ MAM: ระบบที่ผู้จัดการกองทุนดูแลบัญชีลูกค้าหลายรายพร้อมกันด้วยกลยุทธ์เดียว โดยรวมเงินทุนและแบ่งผลตอบแทนตามสัดส่วนที่ลงทุน
รูปแบบเหล่านี้มุ่งเน้นให้ผู้ลงทุนเข้าถึงความรู้จากผู้เชี่ยวชาญได้สะดวก ลดเวลาการวิเคราะห์ และทำให้การเทรดไหลลื่นขึ้น โดยเฉพาะสำหรับมือใหม่ที่ต้องการเริ่มต้นอย่างมั่นใจ
ทำไมนักลงทุนไทยถึงเลือก Social Trading? ข้อดีและแรงจูงใจ
นักลงทุนไทย โดยเฉพาะมือใหม่หรือผู้ที่มีเวลาจำกัด พบว่า Social Trading นำเสนอประโยชน์มากมายที่ตอบโจทย์ความต้องการจริง:

- การเรียนรู้ที่เป็นรูปธรรม: ผู้ติดตามได้ศึกษากลยุทธ์ การจัดการความเสี่ยง และการอ่านตลาดจากผู้เชี่ยวชาญโดยตรง เหมือนมีครูสอนจากประสบการณ์จริง
- ประหยัดเวลา: ไม่ต้องนั่งวิเคราะห์ตลาดนานๆ ระบบอัตโนมัติใน Copy Trading จัดการให้หมด
- ลดช่องว่างในการเข้าถึง: ช่วยผู้เริ่มต้นที่อาจไม่ชินกับความซับซ้อนของตลาด หรือข้อจำกัดภาษาในการศึกษาข้อมูลต่างประเทศ
- กระจายความเสี่ยง: เลือกติดตามเทรดเดอร์หลายรายที่มีสไตล์ต่างกัน เพื่อเพิ่มโอกาสทำ กำไร และลดจุดอ่อน
- ความชัดเจน: แพลตฟอร์มส่วนใหญ่เปิดเผยประวัติเทรดและสถิติของเทรดเดอร์อย่างละเอียด ช่วยให้เลือกได้อย่างมีข้อมูลครบถ้วน
ด้วยเหตุผลเหล่านี้ Social Trading จึงกลายเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้นักลงทุนไทยก้าวสู่ตลาดโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องเริ่มจากศูนย์
ความเสี่ยงและความท้าทายที่นักลงทุนไทยไม่ควรมองข้าม
ผลงานในอดีตไม่ได้รับประกันผลตอบแทนในอนาคต
หลักการสำคัญที่ทุกคนควรจำคือ ความเสี่ยง ใน Social Trading อยู่ที่ผลงานเก่าของเทรดเดอร์ แม้จะดีแค่ไหน ก็ไม่รับประกันความสำเร็จในอนาคต ตลาดที่ ผันผวน อาจมีเหตุการณ์ไม่คาดคิด นำไปสู่การสูญเสีย เงินทุน หากมองแค่ผลตอบแทนสูงในอดีตโดยไม่คิดถึงปัจจัยอื่น อาจนำไปสู่ความผิดพลาดใหญ่
การพึ่งพามากเกินไปและการบริหารจัดการเงินทุน
การยึดติดกับเทรดเดอร์คนเดียวมากเกินไป หรือทุ่ม เงินทุน ทั้งหมดโดยไม่กระจาย เป็นสิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยง ผู้ลงทุนควรฝึก การจัดการเงินทุน ที่เหมาะสม กำหนดวงเงินที่ยอมรับ ความเสี่ยง ได้ และหลีกเลี่ยงเงินที่จำเป็นสำหรับชีวิตประจำวัน การกระจายลงทุนไปยังเทรดเดอร์หลายรายหรือสินทรัพย์หลากชนิด จะช่วยลดความเสี่ยงโดยรวมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
กฎหมายไทยและการปฏิบัติตามข้อกำหนดของแพลตฟอร์ม
สำหรับนักลงทุนไทย การเข้าใจ กฎหมายจาก ก.ล.ต. ที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนเป็นสิ่งจำเป็น การเทรด Forex หรือ CFD ผ่านโบรกเกอร์ต่างชาติยังอยู่ในเขตสีเทา เนื่องจากส่วนใหญ่ยังไม่มีใบอนุญาตจาก ก.ล.ต. โดยตรง
แนะนำให้เลือกแพลตฟอร์มที่อยู่ภายใต้การกำกับจากหน่วยงานน่าเชื่อถืออย่าง FCA, CySEC หรือ ASIC เพื่อความมั่นใจในความปลอดภัยและ การปฏิบัติตามกฎ นอกจากนี้ อย่าลืมตรวจสอบเรื่อง ภาษี จาก กำไร ตามกฎหมายไทย เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาในภายหลัง
จะเลือกแพลตฟอร์ม Social Trading ที่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนไทยได้อย่างไร?
ฟังก์ชันแพลตฟอร์มและประสบการณ์ผู้ใช้
การคัดเลือก แพลตฟอร์ม ที่ใช่คือก้าวแรกที่สำคัญ ควรพิจารณาปัจจัยต่อไปนี้เพื่อให้เหมาะกับการใช้งานจริง:
- ส่วนต่อประสาน: ใช้งานสะดวก ชัดเจน ไม่ยุ่งยาก แม้สำหรับมือใหม่
- เครื่องมือเทรด: ครอบคลุมการวิเคราะห์ทางเทคนิค แผนภูมิที่อ่านง่าย และข้อมูลโปรไฟล์เทรดเดอร์
- การดูแลลูกค้า: มีช่องทางติดต่อหลากหลาย และหากมีบริการภาษาไทยยิ่งดี
- ความยืดหยุ่น: รองรับอุปกรณ์หลากหลาย ทั้งคอมพิวเตอร์และมือถือ โดยเฉพาะการเชื่อมต่อกับ MetaTrader 5 หรือ MT5 บนเว็บ ที่ช่วยให้เทรดได้ทุกที่
ประเภทสินทรัพย์ที่ซื้อขายและโครงสร้างค่าธรรมเนียม
ตรวจสอบว่าแพลตฟอร์มมี สินทรัพย์ ที่หลากหลาย เช่น Forex, CFD, หุ้น หรือคริปโต เพื่อให้กระจายพอร์ตได้ตามแผน
โครงสร้าง ค่าธรรมเนียม ก็สำคัญไม่แพ้กัน:
- สเปรด: ส่วนต่างราคาซื้อขาย ควรต่ำเพื่อประหยัดต้นทุน
- คอมมิชชั่น: ค่าเทรดต่อรายการ
- ค่าอื่นๆ: เช่น ค่าถอนเงินหรือค่าบำรุงบัญชี
การเปรียบเทียบ ค่าใช้จ่าย เหล่านี้อย่างละเอียดจะช่วยให้เลือกแพลตฟอร์มที่คุ้มค่าที่สุด
แพลตฟอร์มยอดนิยมในประเทศไทยและการเปรียบเทียบ
ในไทย มีแพลตฟอร์ม Social Trading ที่ได้รับความไว้วางใจหลายตัว:
- Exness: โบรกเกอร์ Forex ชั้นนำที่ฮิตในไทย ด้วย Copy Trading ที่ใช้งานง่าย รองรับฝากถอนผ่านธนาคารไทยและ QR Code โปรแกรม Exness Partner ยังเปิดโอกาสสร้างรายได้จากการแนะนำเพื่อน
- Tickmill: นำเสนอ Social Trading ผ่าน Myfxbook AutoTrade ด้วยสเปรดต่ำและการกำกับดูแลที่แข็งแกร่ง
- Pepperstone: โบรกเกอร์ระดับโลกเด่นเรื่องสเปรดต่ำและแพลตฟอร์มทันสมัย รองรับ Myfxbook และ DupliTrade
เมื่อเปรียบเทียบ ควรดูความน่าเชื่อถือ บริการภาษาไทย และ วิธีชำระเงิน ที่เหมาะกับคนไทย เพื่อประสบการณ์ที่ราบรื่น
กลยุทธ์การเทรด Social Trading ในไทย: จากการเลือกเทรดเดอร์ไปจนถึงการบริหารความเสี่ยง
จะประเมินผู้ให้บริการสัญญาณได้อย่างไร?
การเลือก ผู้ให้สัญญาณ ที่ดีคือหัวใจของความสำเร็จ ไม่ใช่แค่มองผลตอบแทนสูง แต่ต้องพิจารณา ตัวชี้วัดความเสี่ยง และรายละเอียดอื่นๆ เช่น:
- คะแนนความเสี่ยง: บ่งบอกถึงความก้าวร้าวของกลยุทธ์ ควรตรงกับ ระดับรับความเสี่ยง ของตัวเอง
- ประวัติเทรด: ดูย้อนหลังอย่างน้อย 6-12 เดือน เพื่อประเมินความสม่ำเสมอในตลาดต่างๆ
- การขาดทุนสูงสุด: ตรวจสอบว่าพอร์ตเคยร่วงหนักแค่ไหน ควรอยู่ในระดับที่ยอมรับได้
- ความถี่เทรดและระยะถือ: เทรดเดอร์ที่เทรดบ่อยหรือถือสั้นๆ อย่าง Scalp gold อาจเสี่ยงสูง
- อัตราชนะและอัตราส่วนกำไรขาดทุน: Win Rate สูงแต่ Risk/Reward ต่ำอาจไม่ยั่งยืน ต้องดูภาพรวม
การจัดสรรเงินทุนและกลยุทธ์ควบคุมความเสี่ยง
การจัดการเงินทุน ที่ชาญฉลาดคือเกราะป้องกัน ความเสี่ยง ที่ดีที่สุด:
- กำหนดงบ: ใช้เฉพาะเงินที่เสียได้โดยไม่กระทบชีวิต
- กระจายลงทุน: แบ่งเงินไปยังเทรดเดอร์หลายคนที่มีสไตล์ต่าง เพื่อลดผลกระทบจากความล้มเหลวของคนใดคนหนึ่ง
- ตั้ง Stop Loss: ใช้ฟีเจอร์ในแพลตฟอร์มเพื่อจำกัดการขาดทุนสูงสุด
- ปรับขนาด: ลดการลงทุนหากความเสี่ยงเกิน ระดับที่สบายใจ
การรวมกลยุทธ์ยอดนิยม: ข้อควรพิจารณาในการคัดลอกเทรดเดอร์ Scalp gold
กลยุทธ์ Scalp gold มุ่งหา กำไร เล็กๆ แต่บ่อยจากความเคลื่อนไหวราคา ทองคำ ด้วย การเทรดความถี่สูง ที่ต้องแม่นยำและรวดเร็ว
หากคัดลอกเทรดเดอร์แนวนี้ ควรคำนึงถึง:
- ความผันผวนของทอง: การเทรด ทองคำ มักแกว่งตัวแรง เพิ่ม ความเสี่ยง
- สเปรดและคอมมิชชั่น: กลยุทธ์นี้กระทบจากค่าธรรมเนียมสูงเพราะเทรดบ่อย
- ประสิทธิภาพแพลตฟอร์ม: ต้องเร็วเพื่อรองรับการดำเนินการทันที
แม้ Scalp gold อาจให้ผลตอบแทนดี แต่ความเสี่ยงก็สูง ควรศึกษาลึกและทดลองในบัญชีเดโมก่อนลงทุนจริง เพื่อความมั่นใจ
สรุป: เริ่มต้นเส้นทางการเทรด Social Trading ของคุณในประเทศไทย
Social Trading เปิดประตูสู่ตลาดการเงินโลกสำหรับนักลงทุนไทย ด้วยการเรียนรู้และเลียนแบบจากผู้เชี่ยวชาญ แต่เส้นทางนี้มาพร้อม ความเสี่ยง ที่ต้องจัดการ การเข้าใจหลักการ เลือกแพลตฟอร์มที่ใช่ ประเมินเทรดเดอร์ให้ดี และวินัยในการจัดการเงินทุน คือองค์ประกอบหลักสู่ความสำเร็จ
บทความนี้หวังว่าจะเป็นคู่มือที่ช่วยให้คุณเริ่มต้น การลงทุน ใน Social Trading อย่างชาญฉลาดในไทย การเรียนรู้ต่อเนื่องและปรับตัวเข้ากับตลาดที่เปลี่ยนแปลงคือกุญแจสำคัญ ขอให้คุณประสบความสำเร็จในการ ลงทุน
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
1. Social Trading ในประเทศไทยถูกกฎหมายหรือไม่? และควรระวังข้อกำหนดทางกฎหมายท้องถิ่นใดบ้าง?
การลงทุนใน Social Trading ผ่านโบรกเกอร์ต่างประเทศยังคงเป็นพื้นที่สีเทาในประเทศไทย เนื่องจากโบรกเกอร์ส่วนใหญ่ยังไม่ได้รับใบอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต. หรือ SEC Thailand) โดยตรง สิ่งสำคัญคือการเลือกแพลตฟอร์มที่ได้รับการกำกับดูแลจากหน่วยงานระหว่างประเทศที่มีชื่อเสียง และควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับภาระภาษีที่อาจเกิดขึ้นจากกำไรจากการลงทุนตามกฎหมายไทย
2. ในฐานะนักลงทุนมือใหม่ชาวไทย ควรเริ่มต้น Social Trading ด้วยเงินทุนเท่าไหร่? และมีวิธีการชำระเงินสกุลบาทที่แนะนำหรือไม่?
สำหรับผู้เริ่มต้น ควรเริ่มต้นด้วยเงินทุนจำนวนน้อยที่พร้อมจะสูญเสียได้ โดยทั่วไปอาจเริ่มที่ 100-200 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 3,500 – 7,000 บาท) แพลตฟอร์มยอดนิยมอย่าง Exness รองรับการฝาก-ถอนเงินผ่านธนาคารไทยโดยตรง หรือผ่าน QR Code ซึ่งสะดวกและรวดเร็วสำหรับผู้ใช้ในประเทศไทย
3. MetaTrader 5 (MT5) สามารถรวมเข้ากับแพลตฟอร์ม Social Trading ได้อย่างไร? และผู้ใช้ชาวไทยจะเข้าสู่ระบบและใช้งานได้อย่างไร?
MetaTrader 5 (MT5) เป็นแพลตฟอร์มการซื้อขายที่ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง หลายแพลตฟอร์ม Social Trading มีการเชื่อมโยงหรือบูรณาการกับ MT5 เช่น คุณสามารถเชื่อมต่อบัญชี MT5 ของคุณเข้ากับระบบ Copy Trading ของโบรกเกอร์ได้ เมื่อเข้าสู่ระบบ MT5 คุณจะสามารถเห็นการดำเนินการซื้อขายที่คัดลอกมา หรือจัดการการตั้งค่าบัญชีผ่านหน้าเว็บของโบรกเกอร์ได้
4. จะประเมินและเลือกเทรดเดอร์ที่ควรคัดลอกได้อย่างไร โดยเฉพาะผู้ที่อ้างว่าใช้กลยุทธ์ "Scalp gold"?
การประเมินเทรดเดอร์ไม่ควรพิจารณาเพียงผลตอบแทนสูงเท่านั้น ควรดูประวัติการซื้อขายที่ยาวนาน (อย่างน้อย 6-12 เดือน) อัตราการขาดทุนสูงสุด (Max Drawdown) ความสม่ำเสมอของผลงาน และระดับความเสี่ยงที่เทรดเดอร์รับได้ สำหรับกลยุทธ์ Scalp gold ควรระวังเป็นพิเศษ เนื่องจากเป็นการเทรดความถี่สูงและมีความผันผวนสูง ควรเลือกเทรดเดอร์ที่มีประวัติการจัดการความเสี่ยงที่ดีและมีค่าสเปรดที่เหมาะสม
5. โปรแกรม Exness Partner มีความเกี่ยวข้องกับ Social Trading สำหรับนักลงทุนไทยอย่างไร? และจะเข้าร่วมได้อย่างไร?
โปรแกรม Exness Partner คือโปรแกรมการเป็นพันธมิตรที่ช่วยให้คุณสามารถสร้างรายได้จากการแนะนำลูกค้าใหม่มาเปิดบัญชีกับ Exness ซึ่งมีบริการ Social Trading (Copy Trading) อยู่ด้วย หากคุณเป็นเทรดเดอร์หรือผู้มีอิทธิพลในวงการการเงิน คุณสามารถเข้าร่วมโปรแกรมนี้เพื่อรับค่าคอมมิชชั่นจากการซื้อขายของลูกค้าที่คุณแนะนำมา วิธีการเข้าร่วมมักจะทำได้โดยการลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ของ Exness และปฏิบัติตามข้อกำหนด
6. หากเทรดเดอร์ที่ฉันคัดลอกขาดทุน ฉันจะสูญเสียเงินทุนทั้งหมดหรือไม่? และจะตั้งค่าหยุดขาดทุนเพื่อป้องกันตัวเองได้อย่างไร?
ไม่จำเป็นต้องสูญเสียเงินทุนทั้งหมด หากเทรดเดอร์ที่คุณคัดลอกขาดทุน แพลตฟอร์ม Social Trading ส่วนใหญ่มีฟังก์ชันการบริหารจัดการความเสี่ยง เช่น การตั้งค่า Stop Loss (หยุดขาดทุน) สำหรับบัญชี Copy Trading ของคุณ ซึ่งช่วยให้คุณกำหนดวงเงินสูงสุดที่คุณยอมรับการขาดทุนได้ หากการขาดทุนถึงระดับที่ตั้งไว้ ระบบจะหยุดการคัดลอกโดยอัตโนมัติเพื่อปกป้องเงินทุนของคุณ
7. กำไรจากการ Social Trading ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในประเทศไทยหรือไม่? และมีข้อควรพิจารณาด้านภาษีใดบ้าง?
กำไรจากการลงทุนถือเป็นรายได้ที่ต้องนำไปเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามกฎหมายไทย อย่างไรก็ตาม การคำนวณภาษีจากกำไรที่ได้จากโบรกเกอร์ต่างประเทศอาจมีความซับซ้อน เนื่องจากยังไม่มีกฎหมายที่ชัดเจนและเฉพาะเจาะจงครอบคลุมในทุกด้าน ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีเพื่อขอคำแนะนำที่ถูกต้องและเหมาะสมกับสถานการณ์ของคุณ
8. นอกจากความเสี่ยงทั่วไปแล้ว นักลงทุนไทยใน Social Trading อาจเผชิญกับความท้าทายเฉพาะทางในท้องถิ่นใดบ้าง?
นักลงทุนไทยอาจเผชิญกับความท้าทายด้านภาษาหากแพลตฟอร์มหรือเทรดเดอร์ที่คัดลอกไม่มีข้อมูลหรือการสนับสนุนในภาษาไทย นอกจากนี้ ความเข้าใจในบริบทเศรษฐกิจและการเมืองของไทยอาจไม่สอดคล้องกับกลยุทธ์ของเทรดเดอร์ต่างชาติ และความเสี่ยงด้านกฎระเบียบที่ยังไม่ชัดเจนในประเทศไทยก็เป็นอีกหนึ่งความท้าทายที่สำคัญ ธนาคารแห่งประเทศไทย และ ก.ล.ต. ยังคงติดตามและประเมินกิจกรรมการลงทุนประเภทนี้อย่างใกล้ชิด
9. มีแพลตฟอร์ม Social Trading ใดบ้างที่แนะนำและมีการสนับสนุนลูกค้าเป็นภาษาไทยที่ดี?
Exness เป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มที่ได้รับความนิยมสูงในประเทศไทยและมีชื่อเสียงด้านการสนับสนุนลูกค้าเป็นภาษาไทยที่ดีเยี่ยม รวมถึงมีช่องทางการฝาก-ถอนที่สะดวกสำหรับคนไทย นอกจากนี้ยังมีโบรกเกอร์อื่นๆ ที่เริ่มให้ความสำคัญกับตลาดไทยมากขึ้นเรื่อยๆ แนะนำให้ตรวจสอบบริการลูกค้าและภาษาที่รองรับบนเว็บไซต์ของแต่ละแพลตฟอร์มก่อนตัดสินใจ
10. จะหลีกเลี่ยงการถูกหลอกลวงใน Social Trading ได้อย่างไร โดยเฉพาะในตลาดประเทศไทย?
เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกหลอกลวง ควรเลือกแพลตฟอร์มที่ได้รับการกำกับดูแลจากหน่วยงานการเงินที่มีชื่อเสียงระดับสากลเสมอ ตรวจสอบรีวิวและความน่าเชื่อถือของแพลตฟอร์มและเทรดเดอร์ อย่าหลงเชื่อคำอ้างเรื่องผลตอบแทนที่สูงเกินจริงหรือการรับประกันกำไรที่ปราศจากความเสี่ยง และไม่ควรเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวหรือรหัสผ่านให้กับผู้อื่น ศูนย์ป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ของไทยก็เป็นแหล่งข้อมูลสำหรับการแจ้งเบาะแสการฉ้อโกง