66, Broklyn St, New York, USA
Turning big ideas into great services!

ทฤษฎีปริมาณเงิน: 5 สิ่งที่คุณต้องรู้เพื่อรับมือกับเงินเฟ้อในยุคดิจิทัล

Home / เริ่มต้นเทรด / ทฤษ...

meetcinco_com | 21 10 月

ทฤษฎีปริมาณเงิน: 5 สิ่งที่คุณต้องรู้เพื่อรับมือกับเงินเฟ้อในยุคดิจิทัล

บทนำ: ทำความเข้าใจทฤษฎีปริมาณเงิน

ทฤษฎีปริมาณเงินถือเป็นหลักการพื้นฐานในเศรษฐศาสตร์มหภาคที่ช่วยไขความเชื่อมโยงระหว่างเงินหมุนเวียนในระบบกับราคาสินค้าโดยรวม มันชี้ให้เห็นว่าการขยายตัวของเงินในเศรษฐกิจมักนำไปสู่การปรับตัวของราคาให้สูงขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเงินเพิ่มเร็วกว่าการผลิตสินค้าและบริการ ซึ่งนั่นคือรากเหง้าของเงินเฟ้อ

illustration of a balance scale with money on one side and rising prices on the other symbolizing the quantity theory of money

การศึกษาทฤษฎีนี้ช่วยให้เราเข้าใจการวิเคราะห์เงินเฟ้อ การวางนโยบายการเงินจากธนาคารกลาง และผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั้งระบบได้ดีขึ้น บทความนี้จะสำรวจรากฐาน ประวัติศาสตร์ สมมติฐาน ข้อจำกัด รวมถึงการนำไปใช้ในเศรษฐกิจไทยและยุคดิจิทัล เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น

รากฐานทางประวัติศาสตร์และผู้บุกเบิก

แนวคิดแรกเริ่ม: จากเดวิด ฮูม สู่ยุคคลาสสิก

ความคิดเกี่ยวกับทฤษฎีปริมาณเงินมีมาตั้งแต่สมัยเก่าแก่ แต่เริ่มชัดเจนขึ้นในศตวรรษที่ 18 ผ่านผลงานของเดวิด ฮูม นักปรัชญาและนักเศรษฐศาสตร์ชาวสกอตแลนด์ ในหนังสือ “Of Money” ปี 1752 เขาอธิบายว่าการเพิ่มเงินในระบบจะผลักดันราคาสินค้าให้สูงขึ้นในระยะยาว แม้ในระยะสั้นอาจช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้บ้าง แนวคิดนี้กลายเป็นฐานให้กับนักเศรษฐศาสตร์คลาสสิกในยุคหลัง

illustration of a magnifying glass over economic charts and a central bank building representing monetary policy analysis

นักเศรษฐศาสตร์คลาสสิกมองว่าเศรษฐกิจจะปรับเข้าสู่สมดุลที่การจ้างงานเต็มศักยภาพ โดยเงินที่เปลี่ยนแปลงจะกระทบเฉพาะราคาเท่านั้น ไม่ใช่การผลิตหรือการจ้างงานในระยะยาว ซึ่งเรียกแนวคิดนี้ว่าความเป็นกลางของเงิน

เออร์วิง ฟิชเชอร์ และสมการการแลกเปลี่ยน

เออร์วิง ฟิชเชอร์ นักเศรษฐศาสตร์ชาวอเมริกันในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ได้พัฒนาทฤษฎีนี้ให้เป็นรูปแบบคณิตศาสตร์ชัดเจน ผ่านสมการการแลกเปลี่ยนที่เป็นแกนกลาง:

MV = PQ

ที่:

  • M: ปริมาณเงินทั้งหมดในระบบเศรษฐกิจ
  • V: ความเร็วที่เงินหมุนเวียน โดยเฉลี่ยเงินหนึ่งหน่วยถูกใช้ซื้อสินค้าและบริการกี่ครั้งในช่วงเวลา
  • P: ระดับราคาเฉลี่ยของสินค้าและบริการ
  • Q: ปริมาณสินค้าที่ผลิตหรือธุรกรรมทั้งหมด
illustration of an old philosopher like David Hume contemplating money and its effects on prices in the 18th century

สมการนี้แสดงความจริงพื้นฐานว่ามูลค่าการใช้จ่ายเงิน (MV) ต้องเท่ากับมูลค่าสินค้าที่ขายได้ (PQ) มันช่วยให้เราเห็นภาพการไหลเวียนของเงินในเศรษฐกิจได้อย่างเป็นรูปธรรม

สมการปริมาณเงิน: MV=PQ และ M=kPY

นอกจากสมการของฟิชเชอร์ ทฤษฎีนี้ยังมีรูปแบบอื่นจากนักเศรษฐศาสตร์เคมบริดจ์ เช่น อัลเฟรด มาร์แชล และอาร์เทอร์ ซี. พีกู ที่เรียกว่าสมการดุลเงินสด:

M = kPY

ที่:

  • M: ปริมาณเงิน
  • k: สัดส่วนรายได้ที่คนต้องการถือเป็นเงินสดสำหรับธุรกรรม
  • P: ระดับราคา
  • Y: รายได้ประชาชาติที่แท้จริง หรือปริมาณผลิตจริง

ทั้งสองสมการเชื่อมโยงกัน โดย k ผกผันกับ V (k = 1/V) ถ้าคนถือเงินสดน้อย k ลดลง V ก็เพิ่ม สมการฟิชเชอร์มองจากมุมไหลเวียนเงิน ส่วนเคมบริดจ์เน้นการถือครองเงิน ทำให้เราเข้าใจพฤติกรรมผู้คนได้ลึกซึ้งขึ้น

สมมติฐานหลักและกลไกการทำงาน

ทฤษฎีนี้พึ่งพาสมมติฐานสำคัญเพื่ออธิบายความสัมพันธ์ระหว่างเงินและราคา โดยเฉพาะในเวอร์ชันดั้งเดิม:

  1. V คงที่หรือเปลี่ยนช้า: พฤติกรรมใช้จ่ายคนไม่เปลี่ยนกะทันหัน ทำให้ V เสถียรในระยะสั้นถึงกลาง
  2. Q คงที่หรือไม่ขึ้นกับเงิน: ในระยะยาว เศรษฐกิจผลิตที่จุดเต็มศักยภาพ โดยขึ้นกับปัจจัยผลิตและเทคโนโลยี ไม่ใช่เงิน

ด้วยสมมติฐานเหล่านี้ หากธนาคารกลางเพิ่ม M แต่ V และ Q คงที่ P ต้องขึ้นตามเพื่อให้สมการสมดุล เช่น M เพิ่ม 10% P ก็ขึ้น 10% นี่คือเหตุผลที่เงินเฟโอ้เป็นเรื่องของเงินเสมอ ตามคำของมิลตัน ฟรีดแมน ซึ่งช่วยให้เราเห็นกลไกชัดเจน

ทฤษฎีปริมาณเงินกับการเงินเฟ้อ

ทฤษฎีนี้เป็นเครื่องมือหลักในการอธิบายเงินเฟ้อ โดยเฉพาะระยะยาว เมื่อเงินเพิ่มเร็วเกินผลิต ความต้องการซื้อพุ่งแต่สินค้ามีจำกัด ผู้ขายจึงขึ้นราคา

สาเหตุหลักมาจากรัฐหรือธนาคารกลางที่ขยายเงินเกินอัตราเติบโตผลิตจริง ทำให้มูลค่าเงินลด ต้องใช้เงินมากขึ้นซื้อของเดิม นโยบายควบคุมเงินเข้มงวดจึงเป็นทางสู้เงินเฟ้อตามทฤษฎีนี้ ในทางปฏิบัติ มันช่วยธนาคารกลางตัดสินใจได้ดี

ข้อวิพากษ์วิจารณ์และข้อจำกัดของทฤษฎี

มุมมองของเคนส์และนักเศรษฐศาสตร์สมัยใหม่

แม้ทรงอิทธิพล ทฤษฎีนี้ก็ถูกวิจารณ์ จอห์น เมย์นาร์ด เคนส์โต้แย้งเรื่อง V คงที่ โดยบอกว่า V ผันผวนมาก โดยเฉพาะช่วงเศรษฐกิจถดถอย คนอาจกักตุนเงินเพื่อความปลอดภัย ทำให้ V ตกและเงินเพิ่มไม่ก่อเงินเฟ้อทันที

นักเศรษฐศาสตร์สมัยใหม่เห็นด้วยว่าความสัมพันธ์ M กับ P ไม่ตรงเสมอไป ปัจจัยอย่างความคาดหวัง ความเชื่อมั่น เทคโนโลยี และตลาด ก็กำหนดราคาได้ ซึ่งทำให้ทฤษฎีต้องปรับใช้อย่างยืดหยุ่น

ความท้าทายในโลกแห่งความเป็นจริง

ในความเป็นจริง Q ไม่คงที่เสมอ โดยเฉพาะระยะสั้นที่เศรษฐกิจยังไม่เต็มศักยภาพ เงินเพิ่มอาจกระตุ้นผลิตและจ้างงานโดยไม่ก่อเงินเฟ้อ

การวัด M ก็ซับซ้อนขึ้นเพราะสินทรัพย์การเงินหลากหลาย และ V วัดยาก ทำให้ใช้ทฤษฎีคาดการณ์หรือวางนโยบายต้องดูปัจจัยอื่นด้วย เพื่อความแม่นยำ

เงินนิยม (Monetarism) และมิลตัน ฟรีดแมน

ทฤษฎีนี้ถูกฟื้นคืนผ่านเงินนิยม โดยมิลตัน ฟรีดแมน ผู้ได้โนเบล เป็นผู้นำ เขายอมรับ V ไม่คงที่แต่เสถียรในระยะยาว และยืนยันเงินเพิ่มเกินเป็นต้นเหตุเงินเฟ้อ

ฟรีดแมนเสนอให้ธนาคารกลางควบคุมการเติบโตเงินให้ตรงกับผลิตจริง เพื่อรักษาราคาเสถียร เงินนิยมมีบทบาทใหญ่ในนโยบายการเงินโลกช่วง 1970-1980 และยังเป็นแนวทางที่เกี่ยวข้อง

ทฤษฎีปริมาณเงินในบริบทของประเทศไทย

เงินเฟ้อในประเทศไทย: การวิเคราะห์ผ่านทฤษฎีปริมาณเงิน

ไทยเผชิญเงินเฟ้อมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทฤษฎีนี้ช่วยวิเคราะห์ได้ หลังวิกฤตโลกและโควิด ธนาคารแห่งประเทศไทยใช้มาตรการผ่อนคลาย เช่น ลดดอกเบี้ย เพิ่มสภาพคล่อง เพื่อฟื้นเศรษฐกิจ

จากข้อมูลดัชนีราคาผู้บริโภคของกระทรวงพาณิชย์และธปท. พบว่าปี 2565-2566 เงินเฟ้อไทยพุ่งชัดเจน ซึ่งอาจจากเงินเพิ่มในระบบจากนโยบายผ่อนคลาย บวกต้นทุนผลิตสูง ดูข้อมูลเงินเฟ้อของไทยจากธนาคารแห่งประเทศไทย ทำให้เห็นผลกระทบชัด

บทบาทของธนาคารแห่งประเทศไทย (BOT) ในการจัดการปริมาณเงิน

ธปท. ควบคุมเงินในระบบเพื่อรักษาราคาและสนับสนุนการเติบโตยั่งยืน ใช้กรอบเป้าหมายเงินเฟ้ออย่างยืดหยุ่น ด้วยเครื่องมือหลัก:

  • อัตราดอกเบี้ยนโยบาย: ปรับขึ้นลงเพื่อกระทบต้นทุนกู้และการใช้จ่าย ส่งผลต่อเงินในระบบ
  • การดำเนินงานในตลาดเปิด: ซื้อขายหลักทรัพย์รัฐเพื่อปรับสภาพคล่องธนาคารพาณิชย์

แม้ไม่ยึดทฤษฎีเคร่งครัด แต่ความสัมพันธ์เงินกับเงินเฟ้อยังสำคัญในการตัดสินใจ ศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับนโยบายการเงินของ BOT ธปท. ยังต้องรับมือความซับซ้อนจากปัจจัยภายนอกที่กระทบเงินเฟ้อ

ทฤษฎีปริมาณเงินในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล

สกุลเงินดิจิทัล คริปโต และการชำระเงินออนไลน์ กำลังท้าทายและเปิดโอกาสใหม่ให้ทฤษฎีนี้

ธุรกรรมดิจิทัลที่รวดเร็วอาจเร่ง V เพราะคนทำรายการบ่อยขึ้น ลดการถือเงินสด แต่คริปโตที่มีอุปทานจำกัดและอยู่นอกธนาคารกลาง ทำให้วัด M และควบคุมยาก

ทฤษฎีนี้ยังใช้ได้ไหมในเศรษฐกิจดิจิทัล? หลักพื้นฐานคงอยู่ แต่ V และ M ซับซ้อนขึ้นจากพฤติกรรมใหม่ นักเศรษฐศาสตร์กำลังศึกษาผลกระทบระยะยาว เพื่อปรับใช้ให้เหมาะสม

ข้อแนะนำสำหรับบุคคลและธุรกิจในประเทศไทย

เข้าใจทฤษฎีนี้ช่วยบุคคลและธุรกิจไทยวางแผนรับมือเงินเฟ้อได้ดี:

  • สำหรับบุคคล:
    • บริหารเงินออม: เงินเฟ้อลดมูลค่าออม ควรลงทุนสินทรัพย์ให้ผลตอบแทนเกินเงินเฟ้อ เช่น กองทุน หุ้น อสังหาฯ ตามความเสี่ยง
    • การลงทุน: กระจายพอร์ต เน้นสินทรัพย์ป้องกันเงินเฟ้อ เช่น ทองคำ หรือสินค้าโภคภัณฑ์
    • หนี้สิน: หนี้ดอกเบี้ยคงที่ เงินเฟ้อช่วยลดภาระจริง แต่หนี้อัตราลอยตัวอาจแพงขึ้นจากดอกเบี้ยธปท.
  • สำหรับธุรกิจ:
    • จัดการต้นทุน: ตรวจสอบและลดต้นทุนผลิตต่อเนื่อง เพราะเงินเฟ้อทำให้วัตถุดิบแพง
    • กำหนดราคา: ปรับราคาให้ตรงต้นทุน แต่ระวังแข่งขัน
    • บริหารสินค้าคงคลัง: ถือสินค้าที่คาดราคาขึ้น แต่คำนึงต้นทุนเก็บและเสี่ยงล้าสมัย
    • เข้าถึงเงินทุน: ติดตามดอกเบี้ยธปท. เพื่อวางแผนกู้และสภาพคล่อง

ติดตามข่าวเศรษฐกิจและนโยบายธปท. อย่างใกล้ชิด จะช่วยตัดสินใจได้ฉลาด

สรุป: ความสำคัญของทฤษฎีปริมาณเงินในปัจจุบัน

ทฤษฎีปริมาณเงินยังเป็นเครื่องมือพื้นฐานในการเชื่อมโยงเงินกับราคาและเงินเฟ้อ แม้มีข้อจำกัด แต่หลักที่ว่าการเพิ่มเงินเกินและต่อเนื่องนำเงินเฟ้อระยะยาว ยังคงจริงและเป็นแนวทางให้ธนาคารกลาง

ในยุคเศรษฐกิจซับซ้อนและนวัตกรรมการเงิน ทฤษฎีนี้ต้องปรับร่วมกับปัจจัยอื่น แต่การรู้หลักพื้นฐานยังจำเป็นสำหรับนักศึกษา นักนโยบาย และประชาชน เพื่อรับมือเงินเฟ้ออย่างมีเหตุผล

คำถามที่พบบ่อย (FAQs)

ทฤษฎีปริมาณเงินอธิบายภาวะเงินเฟ้อในประเทศไทยปัจจุบันได้อย่างไร?

ทฤษฎีปริมาณเงินเสนอว่าเงินเฟ้อในประเทศไทยอาจเกิดจากการเพิ่มขึ้นของปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจเร็วกว่าการเติบโตของผลผลิตที่แท้จริง ตัวอย่างเช่น นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายของธนาคารแห่งประเทศไทยในช่วงวิกฤต หรือการใช้จ่ายภาครัฐที่เพิ่มขึ้น ซึ่งล้วนส่งผลให้มีเงินหมุนเวียนมากขึ้นและกดดันให้ราคาสินค้าและบริการปรับตัวสูงขึ้น

ธนาคารแห่งประเทศไทย (BOT) นำทฤษฎีปริมาณเงินมาใช้ในการกำหนดนโยบายการเงินหรือไม่ และมีข้อจำกัดอย่างไร?

ธนาคารแห่งประเทศไทยไม่ได้ยึดติดกับทฤษฎีปริมาณเงินแบบเคร่งครัด แต่หลักการพื้นฐานที่ว่าปริมาณเงินมีผลต่อเงินเฟ้อยังคงเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญในการพิจารณานโยบาย BOT ใช้กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อในการดำเนินนโยบาย และพิจารณาปัจจัยทางเศรษฐกิจอื่นๆ อย่างรอบด้าน ข้อจำกัดคือความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณเงินกับเงินเฟ้อไม่ได้เป็นไปอย่างตรงไปตรงมาเสมอไปในระยะสั้น และยังมีปัจจัยอื่นๆ อีกมากที่ส่งผลต่อระดับราคา

การเพิ่มขึ้นของสกุลเงินดิจิทัลและการชำระเงินแบบไร้เงินสดส่งผลต่อ “ความเร็วการหมุนเวียนของเงิน” ในประเทศไทยอย่างไร?

การชำระเงินดิจิทัลที่รวดเร็วและสะดวกสบายขึ้นมีแนวโน้มที่จะทำให้ “ความเร็วการหมุนเวียนของเงิน” ในประเทศไทยเพิ่มขึ้น เนื่องจากผู้คนสามารถทำธุรกรรมได้บ่อยครั้งขึ้นและไม่ต้องถือเงินสดจำนวนมาก ในขณะที่สกุลเงินดิจิทัลบางประเภทที่ไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของธนาคารกลาง อาจทำให้การวัดและบริหารจัดการปริมาณเงินโดยรวมมีความซับซ้อนมากขึ้น

ในฐานะประชาชนคนหนึ่ง ควรทำความเข้าใจทฤษฎีปริมาณเงินเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อในประเทศไทยอย่างไร?

การเข้าใจทฤษฎีปริมาณเงินช่วยให้คุณตระหนักว่าเงินเฟ้อเป็นปรากฏการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้เมื่อปริมาณเงินเพิ่มขึ้นมากเกินไป คุณควรพิจารณา:

  • กระจายการลงทุน: ไม่ควรถือเงินสดมากเกินไป ควรลงทุนในสินทรัพย์ที่สามารถรักษามูลค่าหรือให้ผลตอบแทนสูงกว่าเงินเฟ้อ
  • ติดตามข่าวสาร: รับทราบแนวโน้มนโยบายการเงินของ BOT และข้อมูลเงินเฟ้อ เพื่อประกอบการตัดสินใจทางการเงิน
  • วางแผนการใช้จ่าย: จัดการหนี้สินอย่างรอบคอบ โดยเฉพาะหนี้ที่มีดอกเบี้ยลอยตัวที่อาจเพิ่มขึ้นเมื่อ BOT ขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ

ทฤษฎีปริมาณเงินยังคงมีความเกี่ยวข้องและใช้ได้จริงในเศรษฐกิจไทยยุคใหม่หรือไม่?

ทฤษฎีปริมาณเงินยังคงมีความเกี่ยวข้องในฐานะกรอบแนวคิดพื้นฐานที่อธิบายความสัมพันธ์ระยะยาวระหว่างปริมาณเงินและระดับราคา แม้ในเศรษฐกิจไทยยุคใหม่ที่ซับซ้อนและมีนวัตกรรมทางการเงินมากมาย แต่หลักการที่ว่าการเพิ่มขึ้นของปริมาณเงินอย่างต่อเนื่องและมากเกินไปยังคงเป็นสาเหตุหลักของเงินเฟ้อ อย่างไรก็ตาม ควรพิจารณาร่วมกับปัจจัยอื่นๆ เช่น โครงสร้างเศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี และนโยบายอื่นๆ เพื่อให้ได้ภาพรวมที่สมบูรณ์

ถ้าปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจไทยเพิ่มขึ้นเสมอ จะทำให้เกิดเงินเฟ้อทุกครั้งไปหรือไม่?

ไม่เสมอไป หากปริมาณเงินเพิ่มขึ้นในอัตราที่สอดคล้องกับการเติบโตของปริมาณการผลิต (Q) หรือหากความเร็วการหมุนเวียนของเงิน (V) ลดลง การเพิ่มขึ้นของปริมาณเงินอาจไม่นำไปสู่เงินเฟ้อเสมอไป นอกจากนี้ ในช่วงที่เศรษฐกิจซบเซา การเพิ่มปริมาณเงินอาจช่วยกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจและลดการว่างงานได้ก่อนที่จะทำให้เกิดเงินเฟ้อ

นโยบาย “คลัง” ของรัฐบาลไทย มีผลกระทบต่อทฤษฎีปริมาณเงินอย่างไร?

นโยบายการคลังของรัฐบาลไทย เช่น การใช้จ่ายภาครัฐ หรือการลด/เพิ่มภาษี สามารถส่งผลกระทบต่อปริมาณเงินได้ ตัวอย่างเช่น หากรัฐบาลกู้ยืมเงินจากธนาคารกลางหรือธนาคารพาณิชย์เพื่อใช้จ่าย โครงการเหล่านี้จะเพิ่มปริมาณเงินในระบบ และหากการใช้จ่ายภาครัฐนั้นไม่ได้เพิ่มกำลังการผลิตที่แท้จริง ก็อาจนำไปสู่แรงกดดันด้านเงินเฟ้อตามหลักทฤษฎีปริมาณเงินได้

ธุรกิจ SMEs ในประเทศไทยควรปรับตัวอย่างไรเมื่อเผชิญกับเงินเฟ้อตามหลักทฤษฎีปริมาณเงิน?

ธุรกิจ SMEs ควรปรับตัวโดย:

  • บริหารต้นทุน: หาทางลดต้นทุนการผลิตและดำเนินงาน เช่น การเพิ่มประสิทธิภาพ หรือการหาแหล่งวัตถุดิบทางเลือก
  • ปรับราคาสินค้า: พิจารณาปรับราคาสินค้าและบริการให้สอดคล้องกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นอย่างรอบคอบ เพื่อรักษากำไรและไม่ส่งผลกระทบต่อลูกค้ามากเกินไป
  • บริหารสภาพคล่อง: วางแผนการเงินและกระแสเงินสดให้ดี เพื่อรับมือกับต้นทุนที่สูงขึ้นและอัตราดอกเบี้ยที่อาจปรับขึ้น
  • พิจารณาการลงทุน: หากจำเป็นต้องลงทุน ควรคำนึงถึงอัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยในการประเมินผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับ

ทฤษฎีปริมาณเงินมีความแตกต่างจากแนวคิดเศรษฐศาสตร์อื่น ๆ ที่ใช้อธิบายเงินเฟ้อในประเทศไทยอย่างไร?

ทฤษฎีปริมาณเงินเน้นที่บทบาทของปริมาณเงินเป็นสาเหตุหลักของเงินเฟ้อ ในขณะที่แนวคิดอื่น ๆ อาจเน้นที่:

  • เงินเฟ้อจากต้นทุนผลัก (Cost-Push Inflation): เกิดจากต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น เช่น ราคาน้ำมัน ค่าแรง
  • เงินเฟ้อจากอุปสงค์ดึง (Demand-Pull Inflation): เกิดจากความต้องการซื้อสินค้าและบริการที่สูงกว่ากำลังการผลิต
  • เงินเฟ้อจากความคาดหวัง (Expectation-driven Inflation): เกิดจากความคาดหวังว่าราคาจะสูงขึ้นในอนาคต ทำให้ผู้คนเรียกร้องค่าจ้างและผู้ประกอบการขึ้นราคา

ในประเทศไทย เงินเฟ้ออาจเป็นผลมาจากปัจจัยหลายอย่างร่วมกัน

การเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าเกษตรหลักของไทย (เช่น ข้าว ยางพารา) เกี่ยวข้องกับทฤษฎีปริมาณเงินอย่างไร?

การเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าเกษตรหลักของไทย เช่น ข้าวและยางพารา มักได้รับอิทธิพลจากปัจจัยด้านอุปทาน (เช่น สภาพอากาศ ผลผลิต) และอุปสงค์เฉพาะ (เช่น ความต้องการในตลาดโลก) เป็นหลัก อย่างไรก็ตาม หากการเพิ่มขึ้นของปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจโดยรวมทำให้ระดับราคาโดยทั่วไปสูงขึ้น ราคาสินค้าเกษตรเหล่านี้ก็อาจได้รับผลกระทบจากแรงกดดันด้านเงินเฟ้อโดยรวมด้วย แต่ความสัมพันธ์โดยตรงระหว่างปริมาณเงินกับราคาสินค้าเกษตรรายชนิดอาจไม่ได้ชัดเจนเท่ากับระดับราคาสินค้าโดยรวม

發佈留言