ปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงอย่างไร? (QE คืออะไร)
ในยุคที่เศรษฐกิจเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ปริมาณเงินที่ไหลเวียนในระบบมีอิทธิพลอย่างมากต่อการใช้ชีวิตประจำวันของเรา ไม่ว่าจะเป็นราคาสินค้าที่เราต้องจ่ายหรือโอกาสในการลงทุนที่เปิดกว้าง การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้มักถูกควบคุมโดยธนาคารกลางซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้กำหนดทิศทางนโยบายการเงินของประเทศ ในช่วงเวลาปกติ ธนาคารกลางมักพึ่งพาการปรับอัตราดอกเบี้ยเพื่อจัดการสภาพคล่อง แต่เมื่อวิกฤตเศรษฐกิจรุนแรงเกินกว่าที่เครื่องมือเหล่านี้จะรับมือได้ ก็ต้องหันมาใช้วิธีการพิเศษอย่างมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า QE บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจ QE อย่างถ่องแท้ ว่ามันคืออะไร ทำงานอย่างไร มีจุดมุ่งหมายอะไร และก่อให้เกิดผลดีผลเสียต่อเศรษฐกิจกับตลาดทุนอย่างไร โดยเฉพาะในบริบทของประเทศไทย

QE คืออะไร? ทำความเข้าใจมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ
มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ หรือ QE ถือเป็นรูปแบบหนึ่งของนโยบายการเงินที่ไม่ใช่แนวทางทั่วไป ซึ่งธนาคารกลางนำมาใช้เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในสถานการณ์ที่เครื่องมือดั้งเดิมอย่างการลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นไม่สามารถใช้งานได้อีก เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยถูกปรับลงจนใกล้ศูนย์ สถานการณ์แบบนี้เรียกว่า withดักสภาพคล่อง
本质แล้ว QE แตกต่างจากการปรับดอกเบี้ยปกติ เพราะธนาคารกลางจะเข้าไปซื้อสินทรัพย์จำนวนมากจากตลาดการเงินโดยตรง โดยเฉพาะพันธบัตรรัฐบาลและตราสารหนี้อื่นๆ การกระทำเช่นนี้เท่ากับการนำสภาพคล่องใหม่ๆ มาฉีดเข้าสู่ระบบ ทำให้ปริมาณเงินเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยระยะยาวถูกลดลง ธนาคารพาณิชย์จึงมีแนวโน้มปล่อยกู้มากขึ้น และโดยรวมแล้วช่วยกระตุ้นการลงทุนกับการบริโภคให้คึกคัก

กลไกการทำงานของ QE: ธนาคารกลางซื้ออะไรบ้าง และเหตุผลคืออะไร
การทำงานของ QE อาจดูซับซ้อน แต่ถ้าอธิบายทีละขั้นตอนก็จะเข้าใจได้ง่ายขึ้น ลองมาดูกัน
- การซื้อสินทรัพย์: ธนาคารกลางจะประกาศแผนการซื้อสินทรัพย์ขนาดใหญ่ โดยมุ่งเน้นที่พันธบัตรรัฐบาลซึ่งเป็นหนี้ที่รัฐบาลกู้จากตลาด บางครั้งก็รวมถึงตราสารหนี้จากภาคเอกชน เช่น หลักทรัพย์ที่ค้ำประกันด้วยจำนอง ในกรณีวิกฤตซับไพรม์ของสหรัฐฯ
- การเพิ่มปริมาณเงิน: เพื่อดำเนินการซื้อ ธนาคารกลางจะสร้างเงินใหม่ในรูปแบบดิจิทัล ไม่ใช่การพิมพ์ธนบัตรจริงๆ สิ่งนี้ทำให้งบดุลของธนาคารกลางขยายตัว และนำสภาพคล่องมาสู่ระบบการเงินโดยตรง
- ผลต่ออัตราดอกเบี้ย: เมื่อซื้อพันธบัตรรัฐบาลจำนวนมาก ความต้องการในตลาดก็เพิ่ม ส่งผลให้ราคาพันธบัตรสูงขึ้น และอัตราผลตอบแทนซึ่งสะท้อนดอกเบี้ยระยะยาวก็ลดลง การลดลงนี้ช่วยให้ต้นทุนการกู้ยืมถูกลงสำหรับธุรกิจและครัวเรือน
- ผลต่อธนาคารพาณิชย์: ธนาคารที่ขายสินทรัพย์ให้ธนาคารกลางจะได้เงินสดกลับมา ทำให้มีเงินสำรองเหลือเฟือ สิ่งนี้กระตุ้นให้พวกเขาปล่อยกู้ในอัตราดอกเบี้ยต่ำ เพื่อให้เงินไหลเวียนในเศรษฐกิจ
- ผลต่อตลาดและเศรษฐกิจโดยรวม: ด้วยสภาพคล่องที่ล้นหลามและดอกเบี้ยต่ำ การลงทุนและบริโภคจะถูกกระตุ้น ราคาหุ้นและสินทรัพย์อื่นๆ อาจพุ่งขึ้น สร้างผลกระทบทางความมั่งคั่งที่ทำให้ผู้คนรู้สึกมั่งคั่งและใช้จ่ายมากขึ้น เป้าหมายหลักคือป้องกันเงินฝืดและช่วยเศรษฐกิจที่กำลังซบเซา

จากกลไกเหล่านี้ QE ช่วยให้ระบบเศรษฐกิจมีพลังขับเคลื่อนใหม่ โดยเฉพาะในช่วงที่ต้องการการสนับสนุนเร่งด่วน
ทำไมต้องใช้ QE? วัตถุประสงค์หลักในการกระตุ้นเศรษฐกิจ
ธนาคารกลางหลายแห่งหันมาใช้ QE เมื่อเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอยรุนแรงหรือวิกฤตการเงินที่เครื่องมือปกติไม่เพียงพอ โดยมีเหตุผลหลักหลายประการ
- ต่อสู้เงินฝืด: เงินฝืดคือการที่ราคาสินค้าลดลงต่อเนื่อง ซึ่งทำให้ผู้คนเลื่อนการใช้จ่ายและลงทุน QE เพิ่มปริมาณเงินเพื่อกระตุ้นการหมุนเวียนและป้องกันปัญหานี้
- ลดดอกเบี้ยระยะยาว: แม้ดอกเบี้ยระยะสั้นจะต่ำสุดแล้ว QE ยังช่วยกดดอกเบี้ยระยะยาวให้ถูกลง สิ่งนี้ลดภาระหนี้และกระตุ้นการลงทุนในอสังหาฯ กับธุรกิจ
- กระตุ้นลงทุนและบริโภค: สภาพคล่องที่เพิ่มขึ้นและต้นทุนกู้ต่ำช่วยให้ธุรกิจขยายตัว สร้างงาน และประชาชนซื้อของใหญ่ๆ ซึ่งเพิ่มอุปสงค์โดยรวม
- ฟื้นฟูความเชื่อมั่น: ในวิกฤต ตลาดมักหยุดนิ่งเพราะความกังวล QE แสดงให้เห็นว่าธนาคารกลางพร้อมสนับสนุน ช่วยให้ตลาดกลับสู่ปกติ
ตัวอย่างชัดเจนคือวิกฤตการเงิน 2008 และโควิด-19 ที่ธนาคารกลางทั่วโลกใช้ QE เพื่อประคองเศรษฐกิจและหลีกเลี่ยงถดถอยรุนแรงยิ่งขึ้น การนำมาใช้ในเวลาที่เหมาะสมช่วยให้หลายประเทศฟื้นตัวได้เร็ว
ผลกระทบของ QE: ด้านดีและด้านร้ายต่อเศรษฐกิจและตลาดทุน
QE เหมือนดาบสองคม มีประโยชน์ในยามวิกฤตแต่ก็อาจก่อปัญหาในระยะยาว การพิจารณาทั้งสองด้านช่วยให้เห็นภาพรวมที่ชัดเจน
ผลกระทบด้านดี
- ลดต้นทุนกู้ยืม: ดอกเบี้ยระยะยาวต่ำลง ช่วยลดภาระให้รัฐ ธุรกิจ และครัวเรือน ส่งเสริมการกู้เพื่อลงทุนและใช้จ่าย
- กระตุ้นตลาดสินทรัพย์: เงินไหลเข้าทำให้ราคาหุ้น อสังหาฯ และอื่นๆ สูงขึ้น สร้างความมั่งคั่งและเพิ่มความเชื่อมั่น
- ป้องกันเงินฝืด: เพิ่มเงินในระบบ กระตุ้นใช้จ่าย และช่วยให้ราคาขึ้นตามเป้าหมาย
- รักษาสภาพคล่อง: ธนาคารมีเงินสำรองพอปล่อยกู้ ระบบไม่สะดุดในวิกฤต
- ส่งเสริมส่งออก: ถ้า QE ทำให้ค่าเงินอ่อน สินค้าส่งออกจะแข่งขันได้ดีขึ้นในตลาดโลก
ประโยชน์เหล่านี้ช่วยให้เศรษฐกิจมีเสถียรภาพมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงฟื้นตัว
ผลกระทบด้านร้ายและความเสี่ยง
- เงินเฟ้อและฟองสบู่: เงินจำนวนมากอาจทำให้เงินเฟ้อพุ่ง และราคาสินทรัพย์สูงเกินจริงจนแตก
- ความเหลื่อมล้ำ: ผู้ถือสินทรัพย์ได้ประโยชน์ แต่คนรายได้น้อยเจอค่าครองชีพสูงขึ้น
- ค่าเงินอ่อน: เพิ่มปริมาณเงินอาจทำให้ค่าเงินอ่อน ส่งออกดีแต่การนำเข้าทำให้ประชาชนซื้อของแพง
- เสี่ยงต่อความน่าเชื่อถือ: ถ้า QE ไม่เวิร์คหรือมีผลข้างเคียงรุนแรง ความเชื่อมั่นในธนาคารกลางอาจลด
- บริษัทซอมบี้: ดอกเบี้ยต่ำนานทำให้บริษัทไม่มีประสิทธิภาพรอดชีวิต ซึ่งขัดขวางการจัดสรรทรัพยากร
แม้จะมีข้อเสีย แต่ธนาคารกลางมักชั่งน้ำหนักให้เหมาะสมเพื่อลดความเสี่ยง
กรณีศึกษา QE ทั่วโลก: บทเรียนจากสหรัฐฯ ญี่ปุ่น และยุโรป
QE ถูกนำมาใช้ในหลายประเทศ โดยแต่ละแห่งมีบริบทและผลลัพธ์ต่างกัน ซึ่งให้บทเรียนมีค่า
- สหรัฐอเมริกา (Fed): Fed เริ่ม QE ครั้งใหญ่หลังวิกฤต 2008 ด้วย QE1, QE2, QE3 และอีกในโควิด เพื่อรักษาตลาดและฟื้นเศรษฐกิจ ผลคือเศรษฐกิจดีขึ้น หุ้นพุ่ง แต่กังวลเงินเฟ้อกับฟองสบู่
- ญี่ปุ่น (BoJ): BoJ ใช้ QE ตั้งแต่ต้นปี 2000 เพื่อสู้เงินฝืดและเศรษฐกิจซบเซา ซื้อหุ้น ETF โดยตรง แต่ยังท้าทายในการทำให้เงินเฟ้อถึง 2% อย่างยั่งยืน
- ยุโรป (ECB): ECB ใช้ QE หลังวิกฤตหนี้และเศรษฐกิจชะงัก เพื่อลดต้นทุนกู้และกระตุ้นยูโรโซน แม้แต่ละประเทศต่างกัน แต่โดยรวมช่วยพยุงภูมิภาค
กรณีเหล่านี้ยืนยันว่า QE มีประสิทธิภาพในวิกฤต แต่ต้องปรับให้เข้ากับสภาพแต่ละประเทศ เพื่อให้ได้ผลดีที่สุด
จาก QE สู่ QT: เมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัว ธนาคารกลางจะทำอย่างไร
เมื่อเศรษฐกิจเริ่มฟื้นและกลับสู่ปกติ ธนาคารกลางจะค่อยๆ ถอนมาตรการกระตุ้น รวมถึงหยุด QE และอาจหันไปใช้วิธีตรงข้ามอย่างมาตรการเข้มงวดเชิงปริมาณ หรือ QT
QT คืออะไร
QT คือการที่ธนาคารกลางลดขนาดงบดุล โดยหยุดซื้อสินทรัพย์ใหม่ ปล่อยให้พันธบัตรครบกำหนดโดยไม่รีโอลโรว์ หรือขายบางส่วน สิ่งนี้ลดปริมาณเงินและดึงสภาพคล่องออกจากตลาด
กลไกการทำงานของ QT
- หยุดซื้อ: ประกาศหยุดโครงการ ทำให้เงินไหลเข้าลดลง
- ปล่อยครบกำหนด: เมื่อพันธบัตรหมดอายุ ไม่ซื้อใหม่ ดึงสภาพคล่องออก
- ขายสินทรัพย์: บางครั้งขายตรงเพื่อลดงบดุลเร็วขึ้น
ผลกระทบจากการเปลี่ยนจาก QE สู่ QT
การเปลี่ยนนี้เป็นจุดสำคัญที่อาจสร้างความท้าทาย โดยนำไปสู่
- ดอกเบี้ยระยะยาวสูงขึ้น: หยุดซื้อหรือขายทำให้ราคาพันธบัตรลง ผลตอบแทนขึ้น
- สภาพคล่องลด: ต้นทุนกู้ของธนาคารและธุรกิจสูงขึ้น
- ความผันผวนในตลาด: หุ้นและอสังหาฯ อาจปรับลงจากสภาพคล่องน้อยและดอกเบี้ยสูง
- ค่าเงินแข็ง: ดึงเงินออกอาจทำให้สกุลเงินแข็งค่า
ธนาคารกลางต้องตัดสินใจอย่างระมัดระวัง เพื่อไม่ให้กระทบการฟื้นตัวมากเกินไป
QE กับประเทศไทย: สถานการณ์และผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย
ถึงแม้ QE จะเป็นที่นิยมในธนาคารกลางใหญ่ แต่ในไทยยังไม่เคยนำมาใช้แบบเต็มรูปแบบ ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. เน้นเครื่องมือดั้งเดิมมากกว่า
เหตุผลที่ไทยไม่ใช้ QE
ธปท. มักปรับดอกเบี้ยนโยบายหรือใช้นโยบายตลาดเปิดเพื่อจัดการสภาพคล่องและอัตราแลกเปลี่ยน ไทยยังไม่เคยเจอภาวะดอกเบี้ยติดศูนย์จนต้องใช้ QE
ผลกระทบทางอ้อมจาก QE โลกต่อไทย
แม้ไทยไม่ทำ QE แต่มาตรการจากธนาคารกลางใหญ่ยังกระทบไทยผ่านทางต่างๆ
- ต่อค่าเงินบาท: QE จาก Fed ทำให้ดอลลาร์อ่อน เงินทุนไหลเข้าประเทศเกิดใหม่อย่างไทย ส่งผลให้บาทแข็งค่า ซึ่งกระทบส่งออกและท่องเที่ยว
- ต่อตลาดหุ้นและลงทุน: เงินทุนต่างชาติเข้าตลาดหุ้นและตราสารหนี้ไทย ดัชนีหุ้นขึ้น ผลตอบแทนพันธบัตรลง ดีต่อระดมทุนแต่เสี่ยงผันผวนเมื่อเงินไหลออก
- ต่อส่งออกและท่องเที่ยว: บาทแข็งทำให้สินค้าส่งออกแพงและท่องเที่ยวแพงสำหรับต่างชาติ กระทบภาคหลักของไทย
- ความท้าทายของ ธปท.: เงินทุนไหลเข้า-ออกจาก QE/QT ทำให้ ธปท. ต้องจัดการเสถียรภาพมหภาคและอัตราแลกเปลี่ยน
กลยุทธ์สำหรับนักลงทุนไทย
นักลงทุนควรติดตามนโยบายธนาคารกลางโลกใกล้ชิด เพราะการเปลี่ยนจาก QE สู่ QT กระทบค่าเงิน ตลาดหุ้น และดอกเบี้ยในไทย แนะนำกระจายความเสี่ยงไปยังสินทรัพย์และตลาดหลากหลาย เพื่อรับมือผันผวน สามารถศึกษาจากรายงานของ ธปท. เช่น บทความ “QE และ QT นโยบายการเงินที่กำลังจะมา”
บทสรุป: QE เป็นยาขมหรือยาวิเศษ? และอนาคตของนโยบายการเงิน
QE เป็นเครื่องมือทรงพลังที่จำเป็นในวิกฤตรุนแรง เมื่อเครื่องมือปกติไม่พอ มันช่วยป้องกันถดถอย ต่อสู้เงินฝืด และฟื้นความเชื่อมั่น แต่ก็มีความเสี่ยงอย่างเงินเฟ้อ ฟองสบู่ และความเหลื่อมล้ำ
การใช้ QE ต้องรอบคอบและเหมาะกับสถานการณ์แต่ละประเทศ บทเรียนจากทั่วโลกชี้ว่าเป็นยาวิเศษในยามคับขัน แต่กลายเป็นยาขมถ้าใช้มากหรือนานเกิน
ในอนาคต นโยบายการเงินจะเจอความท้าทายใหม่ๆ การเข้าใจ QE และ QT จึงสำคัญสำหรับทุกคนที่สนใจเศรษฐกิจมหภาค เพื่อเตรียมรับมือตลาดโลก สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม ลองดูที่ เว็บไซต์กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และ ธนาคารโลก (World Bank) ซึ่งเป็นแหล่งข้อมูลเชื่อถือได้
1. QE คืออะไรในภาษาที่เข้าใจง่ายที่สุด?
QE หรือ Quantitative Easing คือมาตรการที่ธนาคารกลาง “สร้างเงินใหม่” ขึ้นมาเพื่อใช้ซื้อพันธบัตรรัฐบัตรและสินทรัพย์อื่นๆ จากตลาดการเงินจำนวนมหาศาล โดยมีเป้าหมายเพื่ออัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบ ลดอัตราดอกเบี้ยระยะยาว และกระตุ้นเศรษฐกิจในยามที่เครื่องมือปกติ เช่น การลดดอกเบี้ยนโยบาย ไม่สามารถทำได้อีกแล้วครับ
2. QE ส่งผลกระทบต่อค่าเงินบาทและเศรษฐกิจไทยอย่างไรบ้าง?
เมื่อธนาคารกลางต่างประเทศทำ QE มักจะทำให้เงินทุนไหลเข้าสู่ประเทศไทยมากขึ้น เพื่อหาสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า ส่งผลให้:
- ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น: ทำให้สินค้าส่งออกของไทยแพงขึ้น และการท่องเที่ยวนำรายได้เข้าประเทศได้น้อยลง
- ตลาดหุ้นและตราสารหนี้ไทยคึกคัก: ราคาหุ้นและพันธบัตรอาจปรับตัวสูงขึ้น
- ความท้าทายสำหรับ ธปท.: ธนาคารแห่งประเทศไทยต้องบริหารจัดการผลกระทบจากเงินทุนไหลเข้า-ออก เพื่อรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจ
3. ประเทศไทยเคยใช้มาตรการ QE เหมือนกับสหรัฐฯ หรือญี่ปุ่นไหม?
ไม่เคยครับ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ไม่เคยประกาศใช้มาตรการ QE ในลักษณะเดียวกับการเข้าซื้อสินทรัพย์ทางการเงินในตลาดเป็นจำนวนมหาศาลเพื่ออัดฉีดสภาพคล่องโดยตรงเหมือนกับที่ธนาคารกลางขนาดใหญ่ทำ โดยส่วนใหญ่ ธปท. มักจะใช้เครื่องมือทางการเงินแบบดั้งเดิม เช่น การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อบริหารจัดการเศรษฐกิจ
4. หากธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ทำ QE นักลงทุนไทยควรเตรียมตัวอย่างไร?
หาก Fed ทำ QE นักลงทุนไทยควรเตรียมตัวดังนี้ครับ:
- จับตาค่าเงินบาท: มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น ซึ่งอาจส่งผลต่อการลงทุนที่เน้นการส่งออก
- พิจารณาการลงทุนในตลาดหุ้น: สภาพคล่องที่เพิ่มขึ้นอาจดันราคาหุ้นในตลาดเกิดใหม่ รวมถึงไทย
- กระจายความเสี่ยง: ไม่ควรกระจุกตัวในสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่ง ควรพิจารณาลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภทและภูมิภาค
- ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม: ติดตามข่าวสารจากธนาคารแห่งประเทศไทยและสถาบันการเงินที่น่าเชื่อถือ
5. QE กับ QT แตกต่างกันอย่างไร และอันไหนน่ากังวลกว่ากันสำหรับตลาดทุนไทย?
QE (Quantitative Easing) คือการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่วน QT (Quantitative Tightening) คือการดึงเงินออกจากระบบเพื่อลดสภาพคล่องและควบคุมเงินเฟ้อ
สำหรับตลาดทุนไทย:
- QE: มักนำเงินทุนจากต่างชาติเข้ามา ทำให้ตลาดหุ้นคึกคัก ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น แต่ก็มีความเสี่ยงเรื่องฟองสบู่
- QT: มักทำให้เงินทุนไหลออกจากประเทศ ค่าเงินบาทอ่อนค่าลง ตลาดหุ้นอาจซบเซา และอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น ซึ่งอาจสร้างความกังวลมากกว่าในแง่ของความผันผวนและการชะลอตัวของเศรษฐกิจ
6. QE ทำให้เกิดเงินเฟ้อจริงหรือไม่? แล้วจะกระทบค่าครองชีพในไทยอย่างไร?
QE มีศักยภาพที่จะทำให้เกิดเงินเฟ้อได้จริงครับ เพราะเป็นการเพิ่มปริมาณเงินในระบบอย่างมหาศาล หากการผลิตสินค้าและบริการไม่สามารถตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นได้ ราคาก็จะสูงขึ้น
หากเกิดเงินเฟ้อรุนแรงขึ้นทั่วโลกจาก QE ที่ผ่านมา จะกระทบค่าครองชีพในไทยดังนี้:
- ราคาสินค้านำเข้าแพงขึ้น: โดยเฉพาะสินค้าที่ไทยต้องนำเข้า เช่น น้ำมัน วัตถุดิบต่างๆ
- ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น: ส่งผลให้ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคในประเทศปรับตัวสูงขึ้นตาม
- ลดอำนาจซื้อ: ทำให้เงินเดือนหรือรายได้เท่าเดิมแต่ซื้อของได้น้อยลง
7. นอกจาก QE แล้ว ธนาคารกลางยังมีเครื่องมืออะไรอีกบ้างในการกระตุ้นเศรษฐกิจ?
นอกจาก QE แล้ว ธนาคารกลางยังมีเครื่องมือสำคัญอื่นๆ ในการกระตุ้นหรือดูแลเศรษฐกิจ ได้แก่:
- การปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย: เป็นเครื่องมือหลักในการส่งสัญญาณและมีอิทธิพลต่อต้นทุนการกู้ยืมในระบบ
- การดำเนินนโยบายตลาดเปิด (Open Market Operations): การซื้อหรือขายพันธบัตรระยะสั้นเพื่อควบคุมปริมาณเงินสำรองของธนาคารพาณิชย์
- การกำหนดอัตราเงินสำรองที่ธนาคารพาณิชย์ต้องดำรงไว้: มีผลต่อสภาพคล่องที่ธนาคารพาณิชย์สามารถนำไปปล่อยกู้ได้
- มาตรการส่งเสริมสินเชื่อเฉพาะกิจ: เช่น การปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำให้กับภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบ
8. เราจะติดตามข่าวสารและผลกระทบของ QE ได้จากแหล่งใดที่น่าเชื่อถือ?
คุณสามารถติดตามข่าวสารและผลกระทบของ QE ได้จากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือดังนี้ครับ:
- ธนาคารกลางต่างๆ: เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย (BOT), Federal Reserve (Fed), European Central Bank (ECB), Bank of Japan (BoJ) ซึ่งมักมีรายงานและแถลงการณ์นโยบาย
- องค์กรระหว่างประเทศ: เช่น กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และธนาคารโลก (World Bank)
- สำนักข่าวเศรษฐกิจและการเงินชั้นนำ: เช่น Bloomberg, Reuters, The Financial Times รวมถึงสำนักข่าวไทย เช่น กรุงเทพธุรกิจ, ประชาชาติธุรกิจ, Krungthai COMPASS, SCB EIC
- นักวิเคราะห์และสถาบันการเงิน: รายงานการวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์และธนาคารพาณิชย์