บทนำ: เมื่อโลกหยุดหมุนเพราะ “น้ำมัน”

น้ำมัน หรือที่หลายคนเรียกขานว่า “ทองคำสีดำ” คือพลังขับเคลื่อนสำคัญของระบบเศรษฐกิจโลกมานานกว่าครึ่งศตวรรษ ไม่ว่าจะเป็นการขนส่ง ภาคอุตสาหกรรม หรือแม้แต่การผลิตไฟฟ้า ล้วนต้องพึ่งพาทรัพยากรนี้อย่างหนัก แต่ภาพลักษณ์ของน้ำมันในฐานะพลังงานที่หาได้ง่ายและราคาถูก ได้หายไปในพริบตา เมื่อวิกฤตการณ์น้ำมันครั้งแล้วครั้งเล่าสะเทือนโลกอย่างรุนแรง ทำให้เราตระหนักว่า ระบบเศรษฐกิจทั้งระบบสามารถสั่นคลอนได้เพียงเพราะการหยุดชะงักของ “เส้นเลือดใหญ่” แห่งการขนส่งพลังงานนี้
ประวัติศาสตร์โลกได้จารึกช่วงเวลาที่ราคาน้ำมันพุ่งพรวด ปั๊มน้ำมันว่างเปล่า ผู้คนต่อคิวยาวเหยียดเพื่อเติมเชื้อเพลิง และเศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะชะงักงัน วิกฤตเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงเหตุการณ์ชั่วคราว แต่เป็นแรงกระเพื่อมที่ส่งผลต่อโครงสร้างทางเศรษฐกิจ การเมือง และวิถีชีวิตของมนุษย์ในระยะยาว บทความนี้จะพาคุณย้อนกลับไปดูต้นเหตุ ผลกระทบ และบทเรียนสำคัญจากวิกฤตการณ์น้ำมันในอดีต โดยเฉพาะเหตุการณ์ปี 1973 ที่เปลี่ยนโฉมโลกอย่างสิ้นเชิง รวมถึงการรับมือของประเทศไทยที่ต้องพึ่งพาน้ำมันนำเข้าอย่างหนัก
วิกฤตการณ์น้ำมัน (Oil Crisis) คืออะไร?
คำว่า “วิกฤตการณ์น้ำมัน” อาจถูกใช้ในบริบทที่หลากหลาย แต่ในเชิงโครงสร้าง มันไม่ใช่แค่ “ราคาน้ำมันแพงขึ้น” อย่างที่หลายคนเข้าใจ แต่คือสถานการณ์ที่อุปทานของน้ำมันดิบในตลาดโลกลดลงอย่างฉับพลันและรุนแรง จนไม่สามารถรองรับความต้องการที่คงที่หรือเพิ่มขึ้นได้ ส่งผลให้เกิดภาวะขาดแคลนอย่างกว้างขวางและฉุดรั้งเศรษฐกิจทั่วโลก
สาเหตุหลักมักเกิดจากความไม่สงบในภูมิภาคตะวันออกกลาง ซึ่งเป็นศูนย์กลางการผลิตน้ำมันของโลก ไม่ว่าจะเป็นสงคราม ความขัดแย้งทางการเมือง หรือการตัดสินใจร่วมกันของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันที่ใช้ “น้ำมัน” เป็นเครื่องมือต่อรองอำนาจ ต่างจากความผันผวนของราคาน้ำมันตามกลไกตลาดปกติ วิกฤตการณ์เหล่านี้เป็น “แรงกระแทก” (Shock) ที่มีลักษณะรุนแรง คาดไม่ถึง และส่งผลยาวนาน ทำให้ประเทศต่างๆ ต้องเร่งทบทวนกลยุทธ์ด้านพลังงานโดยเร่งด่วน
จุดเปลี่ยนโลก: วิกฤตการณ์น้ำมันครั้งประวัติศาสตร์ปี 1973

วิกฤตการณ์น้ำมันปี 1973 ถือเป็นเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์พลังงานโลกอย่างสิ้นเชิง เป็นครั้งแรกที่ประเทศผู้ผลิตน้ำมันสามารถใช้ทรัพยากรของตนเป็นอาวุธทางการเมืองได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้โลกตะวันตกตระหนักว่า ยุคแห่งพลังงานราคาถูกได้สิ้นสุดลงแล้ว
ชนวนเหตุจากสงครามยมคิปปูร์ (Yom Kippur War)
ทุกอย่างเริ่มต้นขึ้นในเดือนตุลาคม ปี 1973 เมื่ออียิปต์และซีเรียเปิดฉากโจมตีอิสราเอลอย่างไม่ทันตั้งตัว ในวันยมคิปปูร์ ซึ่งเป็นวันศักดิ์สิทธิ์ของชาวยิว ความขัดแย้งครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อฟื้นฟูดินแดนที่สูญเสียไปในสงคราม 6 วันเมื่อปี 1967 แต่กลับกลายเป็นสนามรบตัวแทนของมหาอำนาจในยุคสงครามเย็น เมื่อสหรัฐฯ ตัดสินใจส่งอาวุธสนับสนุนอิสราเอลอย่างเต็มที่ ท่าทีดังกล่าวสร้างความไม่พอใจอย่างรุนแรงต่อกลุ่มประเทศอาหรับ ผู้ซึ่งเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ของโลก
การเอมบราร์โก (คว่ำบาตร) ของกลุ่มโอเปก (OPEC)
เพื่อตอบโต้การสนับสนุนอิสราเอลจากชาติตะวันตก โดยเฉพาะสหรัฐฯ และเนเธอร์แลนด์ กลุ่มประเทศอาหรับผู้ส่งออกน้ำมัน (OAPEC) ที่อยู่ภายใต้เครือข่าย OPEC ได้ประกาศใช้ “อาวุธน้ำมัน” เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ตามข้อมูลจากกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ในวันที่ 17 ตุลาคม 1973 กลุ่มโอเปกประกาศลดกำลังการผลิต 5% ต่อเดือน และสำคัญที่สุด คือการประกาศห้ามส่งออกน้ำมันไปยังประเทศที่สนับสนุนอิสราเอลโดยตรง
ผลลัพธ์คือการหายไปของน้ำมันจากตลาดโลกในปริมาณมาก ราคาน้ำมันดิบพุ่งจาก 3 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ขึ้นไปแตะระดับเกือบ 12 ดอลลาร์ภายในไม่กี่เดือน หรือเพิ่มขึ้นกว่า 4 เท่า ปั๊มน้ำมันในสหรัฐฯ ยุโรป และประเทศอุตสาหกรรมอื่นๆ ต้องปิดให้บริการหรือจำกัดการเติม เช่น ห้ามเติมวันคี่-วันคู่ หรือจำกัดจำนวนลิตรต่อคัน ภาพของรถยนต์เรียงคิวหลายกิโลเมตรกลายเป็นสัญลักษณ์ของวิกฤตครั้งนี้
วิกฤตการณ์น้ำมันครั้งสำคัญอื่นๆ ในประวัติศาสตร์
วิกฤตปี 1973 ไม่ใช่ครั้งสุดท้าย หลังจากนั้น โลกยังต้องเผชิญกับ “แรงกระแทก” ด้านน้ำมันอีกหลายครั้ง แต่ละครั้งล้วนมีบทเรียนที่แตกต่างกัน
ปีที่เกิดวิกฤต | ชื่อวิกฤตการณ์ | สาเหตุหลัก | ผลกระทบโดยย่อ |
---|---|---|---|
1979-1980 | วิกฤตการณ์น้ำมันครั้งที่สอง | การปฏิวัติอิหร่านและการล่มสลายของราชวงศ์ชาห์ ตามด้วยสงครามอิรัก-อิหร่าน ทำให้อุปทานน้ำมันจากทั้งสองประเทศหายไปจากตลาด | ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นกว่าสองเท่า เกิดภาวะตื่นตระหนกในตลาดโลก และซ้ำเติมภาวะเศรษฐกิจถดถอยในหลายประเทศ |
1990 | วิกฤตการณ์จากสงครามอ่าวเปอร์เซีย | อิรักบุกรุกคูเวต ส่งผลให้การผลิตน้ำมันจากทั้งสองประเทศหยุดชะงัก และเกิดความกังวลต่อความมั่นคงของแหล่งน้ำมันในตะวันออกกลาง | ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วในระยะสั้น แต่กลับสู่ภาวะปกติได้เร็วกว่าครั้งก่อนๆ เนื่องจากประเทศอื่น เช่น ซาอุดีอาระเบีย เพิ่มกำลังการผลิตชดเชย |
2008 | วิกฤตการณ์ราคาน้ำมัน | ความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากประเทศเศรษฐกิจใหม่ (โดยเฉพาะจีน) ประกอบกับการเก็งกำไรในตลาดซื้อขายล่วงหน้า | ราคาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่เกือบ 150 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ก่อนจะดิ่งลงอย่างรวดเร็วหลังเกิดวิกฤตการณ์การเงินโลก (Hamburger Crisis) |
เหตุการณ์ปี 2008 ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญ เพราะแสดงให้เห็นว่า ความผันผวนของราคาน้ำมันไม่ได้เกิดจากอุปทานเท่านั้น แต่ยังถูกขับเคลื่อนโดยปัจจัยทางเศรษฐกิจโลก การเติบโตของประเทศเกิดใหม่ และการเก็งกำไรในตลาดการเงิน ซึ่งทำให้ราคาพลังงานกลายเป็นสินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูง เช่นเดียวกับสินทรัพย์อื่นๆ ที่นักลงทุนติดตามอย่างใกล้ชิด เช่น ที่ Moneta Markets ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มการลงทุนที่ให้บริการวิเคราะห์และซื้อขายพลังงานดิบ เช่น น้ำมันดิบ WTI และเบรนท์ นักลงทุนสามารถใช้เครื่องมือต่างๆ เพื่อจัดการความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาน้ำมันในระยะสั้นและยาว
ผลกระทบของวิกฤตการณ์น้ำมันที่เปลี่ยนแปลงโลก
วิกฤตการณ์น้ำมันไม่ได้กระทบแค่ปั๊มน้ำมัน แต่ส่งคลื่นลูกใหญ่ที่กระทบทุกภาคส่วนของสังคม
ผลกระทบด้านเศรษฐกิจโลก
ผลกระทบที่ชัดเจนที่สุดคือ “สแต็กเฟลชัน” (Stagflation) หรือภาวะเศรษฐกิจถดถอยพร้อมเงินเฟ้อสูง ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่ทำให้ผู้กำหนดนโยบายปวดหัวอย่างหนัก เพราะมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอาจยิ่งทำให้เงินเฟ้อร้อนแรงขึ้น ในขณะที่การขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ ก็อาจทำให้เศรษฐกิจยิ่งย่ำแย่ ต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้นส่งผลต่อทุกห่วงโซ่อุปทาน ตั้งแต่การขนส่งไปจนถึงการผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค ทำให้บริษัทต่างๆ ต้องปิดตัวลง และตลาดหุ้นทั่วโลกดิ่งลงอย่างรุนแรง
ผลกระทบด้านสังคมและการเมือง
ในมิติสังคม วิกฤตทำให้พฤติกรรมการใช้พลังงานของประชาชนเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง หลายประเทศประกาศภาวะฉุกเฉินด้านพลังงาน เช่น การลดความเร็วบนทางหลวงเหลือ 55 ไมล์ต่อชั่วโมงในสหรัฐฯ การรณรงค์ปิดไฟเมื่อไม่ใช้งาน และการส่งเสริมการใช้ระบบขนส่งสาธารณะ
ในแง่การเมือง วิกฤตปี 1973 ทำให้ดุลอำนาจโลกเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน OPEC กลายเป็นผู้เล่นสำคัญที่สามารถกำหนดทิศทางของเศรษฐกิจโลกได้ ขณะเดียวกัน ชาติตะวันตกก็ต้องทบทวนนโยบายต่างประเทศต่อตะวันออกกลางใหม่ทั้งหมด เพื่อรักษาความมั่นคงด้านพลังงาน นอกจากนี้ วิกฤตดังกล่าวเป็นแรงผลักดันให้ก่อตั้ง องค์การพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) ในปี 1974 เพื่อให้ประเทศผู้นำเข้าน้ำมันสามารถร่วมมือกันจัดการกับภาวะวิกฤตในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ประเทศไทยกับวิกฤตการณ์น้ำมัน: เราเรียนรู้อะไร?
ในฐานะประเทศที่ต้องนำเข้าน้ำมันกว่า 80% ของปริมาณการใช้ ไทยจึงได้รับผลกระทบจากวิกฤตการณ์น้ำมันอย่างรุนแรง โดยเฉพาะในปี 1973 และ 1979 ที่ราคาน้ำมันโลกพุ่งทะยาน
ในช่วงเวลานั้น รัฐบาลไทยภายใต้การนำของศาสตราจารย์ สัญญา ธรรมศักดิ์ ต้องประกาศมาตรการฉุกเฉิน เช่น การจำกัดเวลาเปิดปิดสถานีบริการน้ำมัน การห้ามใช้ไฟนีออนในป้ายโฆษณา และการปรับขึ้นราคาน้ำมันในประเทศอย่างต่อเนื่อง ผลกระทบที่ตามมาคือต้นทุนการผลิตสินค้าและค่าขนส่งพุ่งสูง ทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อรุนแรง ค่าครองชีพพุ่งสูง สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนทั่วไป
อย่างไรก็ตาม วิกฤตการณ์ดังกล่าวเปิดโอกาสให้ไทยเร่งพัฒนาแหล่งพลังงานภายในประเทศ การสำรวจและผลิตก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยเริ่มขึ้นในช่วงนี้ และในเวลาต่อมา ได้กลายเป็นพลังงานหลักที่ช่วยลดการพึ่งพาน้ำมันนำเข้า นอกจากนี้ ยังเป็นจุดเริ่มต้นของนโยบายการอนุรักษ์พลังงานและการส่งเสริมพลังงานทดแทน ซึ่งปัจจุบันเป็นส่วนสำคัญของ แผนพลังงานชาติ ที่มุ่งสร้างความมั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว
แนวทางการรับมือและอนาคตของพลังงานหลังวิกฤต

บทเรียนจากอดีตชี้ชัดว่า การพึ่งพาน้ำมันเพียงอย่างเดียวคือความเสี่ยงที่ไม่อาจยอมรับได้ โลกจึงเร่งดำเนินการในหลายด้านเพื่อสร้างระบบพลังงานที่ยืดหยุ่นและมั่นคงมากขึ้น
- การพัฒนาพลังงานทดแทน: วิกฤตเป็นตัวเร่งสำคัญให้ประเทศต่างๆ ลงทุนวิจัยและพัฒนาพลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม พลังงานชีวมวล และพลังงานน้ำ เพื่อลดการพึ่งพาน้ำมันและสร้างความหลากหลายของแหล่งพลังงาน
- การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน: เทคโนโลยีที่ช่วยประหยัดพลังงานกลายเป็นหัวใจสำคัญ ตั้งแต่รถยนต์ประหยัดน้ำมัน ไปจนถึงเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 หรือ 1 ซึ่งช่วยลดต้นทุนและลดการปล่อยคาร์บอน
- การสร้างความมั่นคงทางพลังงาน: หลายประเทศจัดตั้งคลังสำรองน้ำมันทางยุทธศาสตร์ (Strategic Petroleum Reserves) เพื่อใช้ในยามฉุกเฉิน เช่น สหรัฐฯ และญี่ปุ่น ขณะเดียวกันก็พยายามกระจายแหล่งนำเข้าเพื่อลดความเสี่ยงจากการพึ่งพากลุ่มประเทศใดกลุ่มประเทศหนึ่ง
- การเปลี่ยนผ่านสู่ยานยนต์ไฟฟ้า (EV): ในยุคปัจจุบัน การส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์หลักในการลดการใช้น้ำมันในภาคขนส่ง ซึ่งเป็นผู้ใช้น้ำมันรายใหญ่ที่สุด ทั้งยังช่วยลดมลพิษและต่อสู้กับภาวะโลกร้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
บทสรุป: บทเรียนจากวิกฤตสู่ความมั่นคงทางพลังงาน
วิกฤตการณ์น้ำมันในอดีต ไม่ว่าจะเป็นปี 1973, 1979 หรือ 2008 ล้วนเป็นเครื่องเตือนใจที่สำคัญ ว่าอารยธรรมสมัยใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วย “ทองคำสีดำ” มีความเปราะบางมากเพียงใด ความมั่นคงทางเศรษฐกิจของโลกขึ้นอยู่กับเสถียรภาพของห่วงโซ่อุปทานพลังงาน ซึ่งอาจถูกทำลายได้จากความขัดแย้ง ภัยธรรมชาติ หรือการตัดสินใจของกลุ่มประเทศผู้ผลิต
แม้ปัจจุบันน้ำมันยังคงเป็นพลังงานหลัก แต่บทเรียนราคาแพงจากอดีตได้ผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ สู่ระบบพลังงานที่ยั่งยืน หลากหลาย และมีประสิทธิภาพมากขึ้น การพัฒนาพลังงานหมุนเวียน การส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และการลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า คือหนทางที่จะช่วยให้มนุษยชาติรับมือกับความท้าทายในอนาคตได้ วิกฤตการณ์น้ำมันจึงไม่ใช่แค่หน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์ แต่เป็นแรงผลักดันที่ผลักดันโลกให้ก้าวไปสู่อนาคตที่มั่นคงกว่าเดิม
วิกฤตการณ์น้ำมันคืออะไร และเกิดขึ้นได้อย่างไร?
วิกฤตการณ์น้ำมันคือภาวะที่อุปทาน (Supply) ของน้ำมันดิบในตลาดโลกลดลงอย่างรวดเร็วและรุนแรง จนไม่เพียงพอต่อความต้องการ (Demand) ทำให้ราคาพุ่งสูงขึ้นอย่างฉับพลัน มักเกิดขึ้นจากปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์ เช่น สงคราม, การปฏิวัติ, หรือการคว่ำบาตรของกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมัน (OPEC) ที่ใช้เป็นเครื่องมือต่อรองทางการเมือง
วิกฤตการณ์น้ำมันปี 1973 มีสาเหตุสำคัญมาจากอะไร?
สาเหตุหลักมาจากสงครามยมคิปปูร์ (Yom Kippur War) ที่กลุ่มประเทศอาหรับทำสงครามกับอิสราเอล เพื่อตอบโต้ที่สหรัฐอเมริกาและชาติตะวันตกให้การสนับสนุนอิสราเอล กลุ่มประเทศอาหรับใน OPEC จึงประกาศห้ามส่งออกน้ำมัน (Embargo) ไปยังประเทศเหล่านั้น ทำให้ราคาน้ำมันทั่วโลกพุ่งสูงขึ้นกว่า 4 เท่า
หลังจากเกิดวิกฤตการณ์พลังงานจะเกิดเหตุการณ์ใดตามมาในลำดับแรก ซึ่งส่งผลกระทบกับประชาชนส่วนใหญ่?
เหตุการณ์แรกที่ส่งผลกระทบโดยตรงกับประชาชนส่วนใหญ่คือ ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่สถานีบริการน้ำมัน (ปั๊มน้ำมัน) ปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรง ตามมาด้วยภาวะขาดแคลนน้ำมัน ทำให้ต้องมีการปันส่วนหรือจำกัดการเติมน้ำมัน ซึ่งส่งผลกระทบต่อค่าครองชีพและการเดินทางในชีวิตประจำวันทันที
ผลกระทบหลักของวิกฤตการณ์น้ำมันต่อเศรษฐกิจคืออะไร?
ผลกระทบหลักคือการเกิดภาวะ “Stagflation” ซึ่งเป็นภาวะที่เศรษฐกิจถดถอย (อัตราการเติบโตต่ำ, การว่างงานสูง) เกิดขึ้นพร้อมกับภาวะเงินเฟ้อรุนแรง (ราคาสินค้าและบริการแพงขึ้น) เนื่องจากน้ำมันเป็นต้นทุนพื้นฐานของทุกสิ่ง ตั้งแต่การผลิตไปจนถึงการขนส่ง
ประเทศไทยเคยได้รับผลกระทบจากวิกฤตการณ์น้ำมันในอดีตอย่างไรบ้าง?
ประเทศไทยได้รับผลกระทบอย่างหนักเนื่องจากต้องนำเข้าน้ำมันเป็นหลัก โดยรัฐบาลต้องออกมาตรการฉุกเฉิน เช่น จำกัดเวลาเปิด-ปิดปั๊มน้ำมัน และปรับขึ้นราคาขายปลีก ซึ่งส่งผลให้ต้นทุนการผลิตและค่าขนส่งสูงขึ้น นำไปสู่ภาวะเงินเฟ้อและค่าครองชีพที่สูงขึ้นอย่างมาก วิกฤตการณ์นี้ยังเป็นจุดเริ่มต้นให้ไทยหันมาสำรวจแหล่งพลังงานในประเทศอย่างจริงจัง
กลุ่มโอเปก (OPEC) มีบทบาทสำคัญอย่างไรในวิกฤตการณ์น้ำมัน?
OPEC (Organization of the Petroleum Exporting Countries) คือกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ของโลก มีบทบาทสำคัญในการกำหนดปริมาณการผลิตน้ำมัน ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อราคาน้ำมันในตลาดโลก ในวิกฤตการณ์ปี 1973 กลุ่ม OPEC ได้ใช้ “อาวุธน้ำมัน” โดยการลดกำลังการผลิตและคว่ำบาตรการส่งออก เพื่อเป็นเครื่องมือต่อรองทางการเมือง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงอิทธิพลอย่างมหาศาลของกลุ่มที่มีต่อเศรษฐกิจโลก
เราจะมีแนวทางแก้ไขหรือรับมือกับวิกฤตการณ์น้ำมันในอนาคตได้อย่างไร?
- การกระจายแหล่งพลังงาน โดยการพัฒนาและส่งเสริมพลังงานทดแทน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม
- การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในทุกภาคส่วน
- การส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) เพื่อลดการพึ่งพาน้ำมันในภาคขนส่ง
- การสร้างคลังสำรองน้ำมันทางยุทธศาสตร์เพื่อความมั่นคงในยามฉุกเฉิน
ข้อใดถือเป็นวิกฤตการณ์พลังงานที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์?
วิกฤตการณ์น้ำมันปี 1973 ถือเป็นวิกฤตการณ์พลังงานที่สำคัญที่สุดและเป็นจุดเปลี่ยนของประวัติศาสตร์โลก เนื่องจากเป็นครั้งแรกที่กลุ่มประเทศผู้ผลิตสามารถใช้น้ำมันเป็นเครื่องมือทางการเมืองได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้โลกตะวันตกตระหนักถึงการสิ้นสุดของยุคน้ำมันราคาถูก และเป็นตัวเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนโยบายพลังงาน การพัฒนาเทคโนโลยีประหยัดพลังงาน และการแสวงหาพลังงานทดแทนอย่างจริงจังทั่วโลก