66, Broklyn St, New York, USA
Turning big ideas into great services!

มาร์จิ้นคอลคืออะไร: 5 วิธีป้องกันและรับมือ เพื่อการเทรดที่ยั่งยืนใน Forex และ TFEX

Home / ห้องเรียนฟอเร็กซ์ / มาร...

meetcinco_com | 13 10 月

มาร์จิ้นคอลคืออะไร: 5 วิธีป้องกันและรับมือ เพื่อการเทรดที่ยั่งยืนใน Forex และ TFEX

1. มาร์จิ้นคอลคืออะไร: ทำความเข้าใจพื้นฐาน

ในโลกของการลงทุนและการเทรด โดยเฉพาะตลาดที่ใช้เลเวอเรจสูงอย่างฟอเร็กซ์และ TFEX คำว่า “มาร์จิ้นคอล” ถือเป็นหัวข้อที่นักลงทุนทุกคนควรรู้ให้ลึกซึ้ง เพราะมันเป็นสัญญาณเตือนที่อาจนำไปสู่ความสูญเสียครั้งใหญ่ได้ บทความนี้จะช่วยอธิบายรายละเอียดทุกด้านของมาร์จิ้นคอล เพื่อให้นักลงทุนชาวไทยสามารถจัดการความเสี่ยงได้อย่างชาญฉลาดและมีประสิทธิภาพ

ภาพประกอบนักลงทุนที่กำลังกังวลมองหน้าจอแจ้งเตือนมาร์จิ้นคอลและไอคอนโบรกเกอร์

1.1. คำจำกัดความของ Margin Call

มาร์จิ้นคอลคือการแจ้งเตือนที่โบรกเกอร์ส่งมาหานักลงทุน โดยบอกว่าทุนในบัญชีเทรดที่ใช้เป็นหลักประกันกำลังใกล้จะต่ำกว่าระดับที่กำหนด หรือที่เรียกว่าหลักประกันรักษาสภาพ

ในการเทรดแบบใช้หลักประกัน นักลงทุนต้องฝากเงินบางส่วนเพื่อเปิดตำแหน่งที่ใหญ่กว่าทุนจริง โบรกเกอร์จะตั้งเกณฑ์ขั้นต่ำสำหรับหลักประกันที่ต้องรักษาไว้ ถ้าทุนสุทธิในบัญชีลดลงจนถึงจุดวิกฤต โบรกเกอร์จะขอให้เติมเงินเพิ่ม เพื่อให้บัญชีกลับมาปลอดภัยอีกครั้ง

ภาพประกอบกราฟราคาหุ้นที่กำลังตกและทุนบัญชีที่ลดลงพร้อมนักลงทุนที่ดูเครียด

1.2. ทำไมถึงต้องมี Margin Call?

กลไกนี้เกิดขึ้นเพื่อปกป้องทั้งนักลงทุนและโบรกเกอร์จากความเสี่ยงที่อาจลุกลาม เมื่อใช้เลเวอเรจ นักลงทุนสามารถเปิดตำแหน่งที่มีมูลค่าสูงกว่าทุนจริงหลายเท่า ซึ่งเปิดโอกาสทำกำไรได้มาก แต่ก็เพิ่มความเสี่ยงตามไปด้วย

ถ้าตลาดเคลื่อนไหวตรงข้ามกับตำแหน่งที่เปิด และทุนในบัญชีหดตัวเร็ว มาร์จิ้นคอลจะเตือนให้นักลงทุนตระหนักว่าตำแหน่งกำลังเสี่ยง และต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อหยุดการขาดทุนที่อาจทำให้โบรกเกอร์ต้องรับผิดชอบ

ภาพประกอบนักลงทุนที่กำลังตัดสินใจฝากเงินหรือปิดตำแหน่งอย่างรวดเร็วเพื่อป้องกันสต็อปเอาท์

1.3. Margin Call ไม่ใช่ภาพยนตร์: ความแตกต่างที่สำคัญ

หลายคนอาจคุ้นเคยกับชื่อนี้จากภาพยนตร์ดังปี 2011 ที่พูดถึงวิกฤตการเงิน แต่ที่นี่เราจะโฟกัสที่ความหมายในแง่การเทรดหลักทรัพย์และอนุพันธ์ ซึ่งเป็นการแจ้งเตือนเรื่องหลักประกันในบัญชีส่วนตัวของคุณ ไม่ใช่เหตุการณ์ใหญ่ระดับเศรษฐกิจอย่างในหนัง

2. กลไกการเกิดและสาเหตุของ Margin Call

เพื่อป้องกันปัญหานี้ให้ได้ผล นักลงทุนควรรู้ว่ามันเกิดจากอะไร โดยเริ่มจากหลักประกันประเภทต่างๆ และปัจจัยที่ทำให้ทุนบัญชีลดลงอย่างรวดเร็ว

2.1. ทำความเข้าใจมาร์จิ้น: หลักประกันเริ่มต้นและหลักประกันรักษาสภาพ

ในการเทรดที่ต้องใช้หลักประกัน มีสองประเภทหลักที่ควรรู้จักดี:

  • หลักประกันเริ่มต้น: เงินขั้นต่ำที่ต้องฝากเพื่อเปิดตำแหน่งใหม่ ซึ่งขึ้นอยู่กับสินทรัพย์ ขนาดสัญญา และนโยบายโบรกเกอร์
  • หลักประกันรักษาสภาพ: ระดับขั้นต่ำที่ต้องรักษาไว้ตลอดหลังเปิดตำแหน่ง ถ้าลดลงต่ำกว่านี้ โบรกเกอร์จะเรียกมาร์จิ้นคอล

โบรกเกอร์จะคำนวณอัตราส่วนหลักประกัน ซึ่งเปรียบเทียบทุนสุทธิกับหลักประกันที่ใช้ ถ้าอัตราส่วนต่ำกว่าเกณฑ์ ก็จะเกิดการแจ้งเตือน

2.2. สาเหตุหลักที่ทำให้เกิด Margin Call

โดยทั่วไป มาร์จิ้นคอลเกิดเมื่อทุนสุทธิในบัญชีต่ำกว่าหลักประกันรักษาสภาพ สาเหตุที่ทำให้ทุนลดลง ได้แก่:

  • ราคาเคลื่อนไหวตรงข้าม: สาเหตุหลักที่พบบ่อย เมื่อราคาสินทรัพย์ที่ถือไปทางตรงข้าม สะสมขาดทุน
  • ขาดทุนสะสม: ขาดทุนเล็กๆ หลายครั้งหรือครั้งใหญ่ครั้งเดียว สามารถลดทุนได้เร็ว
  • เลเวอเรจสูงเกิน: เลเวอเรจมากทำให้ตำแหน่ง敏感ต่อราคาเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย
  • ค่าธรรมเนียมเทรด: คอมมิชชั่น สเปรด หรือสวอปในฟอเร็กซ์ สามารถกัดกินทุนได้

2.3. ตัวอย่างการเกิด Margin Call ในสถานการณ์จริง

มาดูตัวอย่างในตลาด TFEX กับสัญญาฟิวเจอร์ส SET50 Index กัน สมมติว่านักลงทุน A เปิด Long 1 สัญญา โดยมีรายละเอียด:

  • ราคาเปิด: 950 จุด
  • ขนาดสัญญา: 200 บาท/จุด
  • มูลค่าสถานะ: 950 x 200 = 190,000 บาท
  • หลักประกันเริ่มต้น: 10,000 บาท
  • หลักประกันรักษาสภาพ: 7,000 บาท (สมมติ)
  • ทุนเริ่มต้น: 20,000 บาท

มีทุนสำรอง 10,000 บาท ถ้าราคาตกจาก 950 เป็น 920 จุด (ตก 30 จุด) ขาดทุน 30 x 200 = 6,000 บาท ทุนใหม่ 20,000 – 6,000 = 14,000 บาท ยังสูงกว่า 7,000 บาท ไม่เกิดมาร์จิ้นคอล

แต่ถ้าตกต่อเป็น 890 จุด (ตก 60 จุด) ขาดทุน 60 x 200 = 12,000 บาท ทุนใหม่ 20,000 – 12,000 = 8,000 บาท ใกล้ระดับ 7,000 บาท ถ้าตกอีกจนต่ำกว่า โบรกเกอร์จะเรียกเติมเงินทันที

3. ผลกระทบและความเสี่ยงเมื่อเกิด Margin Call

พอได้รับแจ้งเตือนนี้ สถานการณ์จะตึงเครียดมาก ต้องจัดการด่วน มิเช่นนั้นอาจนำไปสู่ผลเสียรุนแรง

3.1. การเติมเงินหรือการเพิ่มหลักประกัน

วิธีตรงที่สุดคือเติมเงินเข้า บัญชีเพื่อให้หลักประกันกลับมาสูงกว่าเกณฑ์ โดยปกติมีเวลา 24-48 ชั่วโมง ถ้าเติมทัน ตำแหน่งยังอยู่ และรอตลาดฟื้นได้

การทำแบบนี้ช่วยให้ทุนพอรองรับขาดทุนเพิ่มเติมชั่วคราว และหลีกเลี่ยงการถูกปิดตำแหน่ง

3.2. การถูกบังคับปิดสถานะ (Forced Liquidation/Stop Out)

ผลร้ายแรงสุดคือถ้าไม่เติมเงินทันหรือราคาตกเร็ว จนทุนต่ำกว่าระดับสต็อปเอาท์ (ต่ำกว่า maintenance margin เล็กน้อย) โบรกเกอร์จะปิดตำแหน่งขาดทุนอัตโนมัติ

การปิดแบบนี้คือโบรกเกอร์ปิดเพื่อจำกัดความเสี่ยงของตัวเอง และป้องกันบัญชีติดลบเกินทุนที่มี คุณจะขาดทุนจริง และอาจเสียทุนทั้งหมด

จำไว้ว่า มาร์จิ้นคอลเป็นแค่เตือน แต่สต็อปเอาท์คือการลงมือจริงถ้าไม่ทำอะไร

3.3. ผลกระทบทางจิตวิทยาและอารมณ์

นอกจากเสียเงิน การได้รับแจ้งเตือนนี้ยังกระทบจิตใจหนัก ความเครียด วิตก และกลัวจากทุนหดตัว อาจทำให้ตัดสินใจผิด เช่น เทรดแก้แค้นหรือเสี่ยงมากขึ้นเพื่อกู้คืน

การจัดการอารมณ์สำคัญสำหรับการเทรดยั่งยืน ต้องควบคุมตัวเอง ตัดสินใจด้วยเหตุผล และยึดวินัยแม้ขาดทุน

4. วิธีป้องกันและจัดการความเสี่ยงจาก Margin Call

ป้องกันดีกว่าหรรโทษเสมอ โดยเฉพาะเรื่องนี้ นักลงทุนที่รู้และมีวินัยจัดการความเสี่ยง จะหลีกเลี่ยงปัญหาได้

4.1. การบริหารเงินทุนและขนาดการเทรด

แกนหลักคือบริหารทุนให้ดีและกำหนดขนาดตำแหน่งเหมาะสม

  • ใช้เลเวอเรจอย่างระวัง: มันเพิ่มกำไรแต่ก็เสี่ยงทวีคูณ อย่าใช้สูงสุดถ้ายังไม่ชำนาญ
  • มีทุนสำรองพอ: ทุนในบัญชีควรเกินหลักประกันเริ่มต้น เพื่อรับมือราคาแกว่ง
  • กำหนดขนาดตามความเสี่ยง: อย่าเปิดใหญ่เกิน ควบคุมความเสี่ยงต่อเทรดที่ 1-2% ของทุนทั้งหมด

การบริหารแบบนี้ช่วยรับมือขาดทุนเล็กๆ โดยไม่กระทบใหญ่ และป้องกันมาร์จิ้นคอล

4.2. การตั้งจุดตัดขาดทุน (Stop Loss) อย่างมีวินัย

สต็อปลอสส์เป็นเครื่องมือสำคัญที่สุดในการป้องกัน เมื่อเปิดตำแหน่ง ควรวางสต็อปทันทีเพื่อจำกัดขาดทุนสูงสุด

เคล็ดลับ:

  • วางตามวิเคราะห์: ใช้เทคนิคอลหรือพื้นฐาน ไม่ใช่อารมณ์
  • อย่าขยับหนี: ยึดจุดที่วางไว้ การขยับเพิ่มเสี่ยง
  • คำนึงถึงความผันผวน: วางห่างพอไม่ให้โดนง่ายจากแกว่งสั้น แต่ไม่ห่างเกินจนขาดทุนมาก

4.3. การตรวจสอบบัญชีและอัตราส่วนหลักประกันอย่างสม่ำเสมอ

ควรเช็คบัญชีและอัตราส่วนหลักประกันบ่อยๆ โบรกเกอร์มีแพลตฟอร์มแสดงเรียลไทม์

การเช็คช่วยเห็นสัญญาณล่วงหน้า ถ้าทุนใกล้ระดับต่ำ จะมีเวลาตัดสินใจแก้ไขก่อนแจ้งเตือนจริงหรือสต็อปเอาท์

4.4. กลยุทธ์การลดความเสี่ยงขั้นสูง

นอกจากพื้นฐาน ยังมีวิธีขั้นสูงช่วยลดเสี่ยง:

  • กระจายความเสี่ยง: อย่าทุ่มสินทรัพย์เดียว กระจายไปหลายอย่างที่สัมพันธ์ต่ำ ลดเสี่ยงรวม
  • เฮดจิ้ง: เปิดตำแหน่งตรงข้ามเพื่อป้องกัน เช่น ถ้า Long หุ้น A ซื้อ Put Option เพื่อกันราคาตก
  • ลดขนาดเมื่อขาดทุน: ถ้าตำแหน่งขาดทุนใกล้มาร์จิ้นคอล ปิดบางส่วนเพื่อลดหลักประกันใช้และเพิ่มทุนเหลือ

5. Margin Call ในตลาด Forex และ TFEX: ความเหมือนและความต่าง

แม้หลักการเดียวกันในตลาดใช้หลักประกัน แต่รายละเอียด กฎ และปฏิบัติต่างกันบ้าง

5.1. Margin Call ในตลาด Forex

ตลาดฟอเร็กซ์คือการแลกเปลี่ยนสกุลเงินทั่วโลก สภาพคล่องสูง เลเวอเรจบ่อยถึง 1:500 หรือ 1:1000

ลักษณะเฉพาะ:

  • เลเวอเรจสูง: ราคาเปลี่ยนเล็กน้อยก็เรียกมาร์จิ้นคอลเร็ว
  • คำนวณเรียลไทม์: 24 ชม. 5 วันต่อสัปดาห์
  • สต็อปเอาท์ต่างกัน: แต่ละโบรกเกอร์ตั้งต่าง เช่น 20-50% ของ margin level ต้องเช็คกับโบรกเกอร์
  • ผันผวนสูง: โดยเฉพาะข่าวใหญ่ เพิ่มเสี่ยง

5.2. Margin Call ในตลาด TFEX: ข้อควรทราบสำหรับนักลงทุนไทย

TFEX คือตลาดฟิวเจอร์สไทย ภายใต้ SET และ ก.ล.ต. มีกฎชัดเจน ต่างจากฟอเร็กซ์ที่บางแห่งไม่กำกับในไทย

ลักษณะเฉพาะ:

  • กฎเข้มงวด: มาตรฐานเพื่อความปลอดภัย
  • คำนวณหลักประกัน: กำหนดโดย TFEX ปรับปรุงบ่อย เช็คเว็บ TFEX หรือโบรกเกอร์
  • เรียกเพิ่ม: ถ้าต่ำกว่า maintenance margin ต้องเติม มิเช่นนั้น force sell/buy
  • กำกับดูแล: ASCO ดูแลโบรกเกอร์สมาชิก

ตัวอย่างคำนวณใน TFEX (จากตัวอย่างก่อน)

สมมติ maintenance margin 70% ของ initial

Initial 10,000 บาท Maintenance 7,000 บาท

สถานการณ์ Equity ในบัญชี หลักประกันที่ใช้ หลักประกันรักษาสภาพ ผลลัพธ์ การดำเนินการ
เริ่มต้น 20,000 บาท 10,000 บาท 7,000 บาท ปกติ ไม่มี
ขาดทุนเล็กน้อย 14,000 บาท 10,000 บาท 7,000 บาท ปกติ ไม่มี
ใกล้ Margin Call 8,000 บาท 10,000 บาท 7,000 บาท ใกล้ Margin Call พึงระวัง
เกิด Margin Call 6,500 บาท 10,000 บาท 7,000 บาท ต่ำกว่า Maintenance Margin โบรกเกอร์เรียกเติมเงิน
ไม่เติมเงิน/ต่ำกว่า Stop Out 4,000 บาท 10,000 บาท 7,000 บาท ต่ำกว่า Stop Out (สมมติ 5,000 บาท) ถูกบังคับปิดสถานะ

ข้อมูลเพิ่มเติมเช็คจาก เว็บ TFEX

สรุป: การทำความเข้าใจ Margin Call เพื่อการเทรดอย่างยั่งยืน

มาร์จิ้นคอลไม่น่ากลัวถ้าเข้าใจดีและมีวินัยจัดการเสี่ยง มันคือเครื่องเตือนให้ประเมินการลงทุนใหม่และแก้ไขก่อนสาย

การเทรดยั่งยืนในฟอเร็กซ์และ TFEX ต้องมีทั้งความรู้ กลไกตลาด และวินัยบริหารทุน วางสต็อป ใช้เลเวอเรจระวัง เช็คบัญชีบ่อย จะช่วยหลีกเลี่ยงและประสบความสำเร็จระยะยาว

เรียนรู้จากบทเรียน วางแผนดี และยึดวินัย เพื่อก้าวเดินลงทุนมั่นคงปลอดภัย

คำถามที่พบบ่อย (FAQs)

1. มาร์จิ้นคอล (Margin Call) ในภาษาไทยแปลว่าอะไร และมีความหมายในบริบทการเงินอย่างไร?

ในภาษาไทย มาร์จิ้นคอลหมายถึง “การเรียกหลักประกันเพิ่ม” หรือ “การเรียกเงินประกันเพิ่ม” ในบริบทการเงิน หมายถึงการแจ้งเตือนจากโบรกเกอร์ให้นักลงทุนเติมเงินหลักประกันในบัญชีซื้อขาย เพื่อให้เงินทุนคงเหลือ (Equity) กลับมาสูงกว่าระดับหลักประกันรักษาสภาพ (Maintenance Margin) ที่โบรกเกอร์กำหนดไว้ เพื่อป้องกันการขาดทุนที่อาจบานปลายและการถูกบังคับปิดสถานะ

2. สาเหตุหลักที่ทำให้บัญชีซื้อขายหลักทรัพย์หรือสัญญา TFEX ของฉันถูก Margin Call คืออะไร?

สาเหตุหลักคือ มูลค่าบัญชีซื้อขาย (Equity) ของคุณลดลงจนต่ำกว่าระดับหลักประกันรักษาสภาพ ซึ่งมักเกิดจากการที่ราคาของสินทรัพย์ที่คุณถืออยู่เคลื่อนไหวไปในทิศทางที่ไม่เป็นใจ ทำให้เกิดขาดทุนสะสม นอกจากนี้ การใช้เลเวอเรจที่สูงเกินไปโดยไม่มีเงินทุนสำรองที่เพียงพอ ก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดมาร์จิ้นคอลได้ง่ายขึ้น

3. หากฉันได้รับ Margin Call ฉันควรทำอย่างไรเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกบังคับปิดสถานะ (Stop Out)?

คุณมี 2 ทางเลือกหลัก:

  • เติมเงินหลักประกันเพิ่ม: เติมเงินสดเข้าไปในบัญชีซื้อขายให้เพียงพอตามที่โบรกเกอร์เรียก เพื่อให้ Equity กลับมาสูงกว่า Maintenance Margin
  • ปิดสถานะบางส่วนหรือทั้งหมด: ลดขนาดสถานะการซื้อขายที่ขาดทุนลง เพื่อลดปริมาณหลักประกันที่ใช้ และเพิ่ม Equity ที่เหลืออยู่ในบัญชี การทำเช่นนี้จะช่วยลดความเสี่ยงจากการถูก Stop Out และลดความต้องการในการเติมเงิน

การดำเนินการต้องทำภายในระยะเวลาที่โบรกเกอร์กำหนด

4. Margin Call ในตลาด Forex กับตลาด TFEX มีความแตกต่างกันอย่างไรในแง่ของกฎระเบียบและการคำนวณ?

โดยหลักการแล้วคล้ายกัน แต่มีความแตกต่างในรายละเอียด:

  • กฎระเบียบ: TFEX มีกฎระเบียบที่เข้มงวดและเป็นมาตรฐานภายใต้การกำกับดูแลของ ก.ล.ต. และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ส่วน Forex มีโบรกเกอร์จำนวนมากที่อาจไม่ได้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของไทย ทำให้กฎเกณฑ์อาจแตกต่างกันไปในแต่ละโบรกเกอร์
  • เลเวอเรจ: ตลาด Forex มักเสนอเลเวอเรจที่สูงกว่า TFEX มาก
  • การคำนวณ: แม้จะใช้หลักการเดียวกัน แต่ตัวเลขหลักประกันเริ่มต้นและหลักประกันรักษาสภาพใน TFEX จะถูกกำหนดโดยตลาดและประกาศเป็นทางการ ซึ่งอาจแตกต่างจากการคำนวณของโบรกเกอร์ Forex ที่มักจะมีความยืดหยุ่นกว่า

5. ฉันจะคำนวณ Margin Call ได้อย่างไร และมีตัวอย่างการคำนวณที่เข้าใจง่ายสำหรับนักลงทุนไทยหรือไม่?

การคำนวณ Margin Call โดยพื้นฐานคือการเปรียบเทียบ Equity (เงินทุนคงเหลือรวมกำไร/ขาดทุนที่ยังไม่ปิดสถานะ) กับ Maintenance Margin

ตัวอย่าง: หากคุณมีเงินในบัญชีเริ่มต้น 20,000 บาท และเปิดสถานะที่ใช้ Initial Margin 10,000 บาท และ Maintenance Margin คือ 7,000 บาท

  • หากสถานะขาดทุนไป 13,000 บาท Equity ของคุณจะเหลือ 20,000 – 13,000 = 7,000 บาท ซึ่งเท่ากับ Maintenance Margin
  • หากขาดทุนไป 13,010 บาท Equity จะเหลือ 6,990 บาท ซึ่งต่ำกว่า Maintenance Margin (7,000 บาท) โบรกเกอร์ก็จะออก Margin Call

คุณสามารถดูตัวอย่างการคำนวณโดยละเอียดสำหรับ TFEX ได้ในหัวข้อ 5.2 ของบทความนี้

6. การตั้งจุดตัดขาดทุน (Stop Loss) มีความสำคัญอย่างไรในการป้องกัน Margin Call และมีเทคนิคการตั้งค่าอย่างไร?

การตั้ง Stop Loss มีความสำคัญอย่างยิ่งในการป้องกัน Margin Call เพราะมันช่วย จำกัดการขาดทุนสูงสุดที่คุณยอมรับได้ หากราคาเคลื่อนไหวสวนทางกับที่คุณคาดการณ์ไว้ ทำให้ Equity ของคุณไม่ลดลงจนถึงระดับที่โบรกเกอร์ต้องเรียกหลักประกันเพิ่ม

เทคนิคการตั้งค่า:

  • ตั้งตามการวิเคราะห์: วาง Stop Loss ที่ระดับแนวรับ/แนวต้านสำคัญ หรือต่ำกว่าจุดสูงสุด/สูงกว่าจุดต่ำสุดล่าสุด
  • พิจารณาความผันผวน: ตั้งให้ห่างพอสมควรจากราคาปัจจุบัน เพื่อไม่ให้ถูก Stop Out ง่ายเกินไปจากการแกว่งตัวระยะสั้น
  • จำกัดความเสี่ยง: คำนวณขนาดสถานะให้เหมาะสม เพื่อให้การขาดทุน ณ จุด Stop Loss ไม่เกินเปอร์เซ็นต์ที่คุณยอมรับได้ของเงินทุนทั้งหมด (เช่น ไม่เกิน 1-2%)

7. นอกจากเติมเงินแล้ว มีกลยุทธ์อื่นใดบ้างที่ช่วยจัดการความเสี่ยงและหลีกเลี่ยง Margin Call ได้?

มีหลายกลยุทธ์ ได้แก่:

  • บริหารเงินทุนและขนาดการเทรดอย่างเคร่งครัด: ใช้เลเวอเรจอย่างระมัดระวัง และไม่เปิดสถานะใหญ่เกินตัว
  • ตั้ง Stop Loss อย่างมีวินัย: จำกัดการขาดทุนสูงสุดในแต่ละสถานะ
  • ตรวจสอบบัญชีและ Margin Ratio สม่ำเสมอ: รับรู้สถานะของตนเองอยู่เสมอ
  • กระจายความเสี่ยง (Diversification): ไม่ทุ่มเงินทั้งหมดในสินทรัพย์เดียว
  • ปิดสถานะที่ขาดทุนบางส่วน: เพื่อลด Margin ที่ใช้และเพิ่ม Equity

8. หากฉันไม่มีเงินเติมหลักประกันเมื่อถูก Margin Call ผลกระทบที่เลวร้ายที่สุดคืออะไร?

ผลกระทบที่เลวร้ายที่สุดคือ การถูกบังคับปิดสถานะ (Forced Liquidation หรือ Stop Out) โดยโบรกเกอร์จะปิดสถานะการซื้อขายที่ขาดทุนของคุณโดยอัตโนมัติ เพื่อป้องกันไม่ให้บัญชีของคุณติดลบ ซึ่งจะทำให้คุณขาดทุนจริงตามสถานะที่ถูกปิด และอาจสูญเสียเงินลงทุนส่วนใหญ่หรือทั้งหมดในบัญชีนั้นไป

9. มีเครื่องมือหรือฟังก์ชันใดบ้างที่โบรกเกอร์ไทยมักมีให้เพื่อช่วยตรวจสอบสถานะหลักประกันของฉัน?

โบรกเกอร์ไทยส่วนใหญ่จะมีแพลตฟอร์มการซื้อขาย (ทั้งบนคอมพิวเตอร์และมือถือ) ที่แสดงข้อมูลสถานะบัญชีแบบเรียลไทม์ ซึ่งรวมถึง Equity, Margin ที่ใช้ไป, Margin ที่เหลืออยู่ (Free Margin), และ Margin Level (อัตราส่วนหลักประกัน) คุณสามารถเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้ได้ตลอดเวลาเพื่อตรวจสอบสุขภาพของบัญชีคุณ

10. Margin Call ที่เกี่ยวข้องกับภาพยนตร์ชื่อดัง กับ Margin Call ในวงการการเงิน เป็นเรื่องเดียวกันหรือไม่?

ไม่เป็นเรื่องเดียวกัน แม้จะใช้ชื่อเดียวกัน แต่ในวงการการเงิน “Margin Call” หมายถึง การแจ้งเตือนจากโบรกเกอร์ให้เติมเงินหลักประกัน ในบัญชีซื้อขายของคุณ ซึ่งเป็นกลไกการบริหารความเสี่ยงส่วนบุคคล ในขณะที่ภาพยนตร์ “Margin Call” เป็นภาพยนตร์ที่อ้างอิงถึงเหตุการณ์วิกฤตการณ์ทางการเงินในวงกว้าง ซึ่งเป็นคนละบริบทกันอย่างสิ้นเชิง

發佈留言