66, Broklyn St, New York, USA
Turning big ideas into great services!

Leverage Trading คืออะไร? คู่มือฉบับเต็มสำหรับนักลงทุนไทย พร้อมวิธีคำนวณและบริหารความเสี่ยง

Home / ห้องเรียนฟอเร็กซ์ / Lev...

meetcinco_com | 21 10 月

Leverage Trading คืออะไร? คู่มือฉบับเต็มสำหรับนักลงทุนไทย พร้อมวิธีคำนวณและบริหารความเสี่ยง

การเทรดแบบ Leverage คืออะไร? รู้จักพื้นฐานของเครื่องมือขยายโอกาสทางการเงิน

ในยุคการลงทุนและการซื้อขายที่ก้าวหน้าของวันนี้ การเทรดแบบ Leverage ได้กลายเป็นอุปกรณ์ที่ทรงพลัง ช่วยให้นักลงทุนควบคุมสถานะการซื้อขายที่มีมูลค่าสูงกว่าทุนจริงที่ตัวเองมี มันคือหลักการพื้นฐานที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังการเทรดแบบนี้ ซึ่งได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในตลาดการเงินทั่วโลก โดยเฉพาะนักลงทุนชาวไทยที่กำลังมองหาโอกาสในการเพิ่มผลกำไรจากการลงทุน

ภาพประกอบการใช้กล้องขยายขยายเงินทุนน้อยให้กลายเป็นสถานะการเทรดขนาดใหญ่ในตลาดการเงิน

นิยามและแนวคิดหลักของการเทรดแบบ Leverage

Leverage หมายถึงการนำทุนที่ยืมมาจากโบรกเกอร์หรือสถาบันการเงินมาใช้ เพื่อขยายขนาดของสถานะการซื้อขายในตลาดการเงินหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นตลาดอัตราแลกเปลี่ยน สินค้าโภคภัณฑ์ หรือดัชนีต่างๆ ด้วยการ Leverage นี้นักเทรดสามารถเปิดออเดอร์ที่ใหญ่โตได้โดยใช้ทุนเริ่มต้นเพียงเล็กน้อย สร้างโอกาสในการรับผลตอบแทนสูงในเวลาอันสั้น แต่แน่นอนว่ามันก็เพิ่มความเสี่ยงให้สูงขึ้นตามไปด้วย

ภาพประกอบนักเทรดที่ใช้เงินยืมจากโบรกเกอร์เพื่อเปิดสถานะขนาดใหญ่ในตลาดการเงินต่างๆ

การเทรดแบบ Leverage ทำงานอย่างไร? อธิบายกลไกมาร์จิ้นอย่างละเอียด

ส่วนสำคัญที่ทำให้การเทรดแบบ Leverage ดำเนินไปได้คือระบบมาร์จิ้น เมื่อคุณอยากใช้ Leverage โบรกเกอร์จะให้คุณฝากเงินบางส่วนเป็นหลักประกัน ซึ่งเรียกว่ามาร์จิ้นเริ่มต้น มันไม่ใช่ค่าธรรมเนียม แต่เป็นเงินที่ถูกแช่แข็งในบัญชีเพื่อรับมือกับความเสี่ยงที่อาจเกิด

สมมติว่าคุณอยากเทรดคู่เงิน EUR/USD มูลค่า 100,000 ดอลลาร์ และโบรกเกอร์ให้ Leverage 1:100 คุณก็ต้องฝากมาร์จิ้นแค่ 1 ใน 100 ของมูลค่าคือ 1,000 ดอลลาร์ (100,000 หาร 100) ส่วนที่เหลืออีก 99,000 ดอลลาร์จะถูกยืมจากโบรกเกอร์โดยอัตโนมัติ

ระหว่างเทรด จะมีมาร์จิ้นคงเหลือที่เป็นทุนส่วนที่ยังไม่ได้ใช้เป็นหลักประกัน และมาร์จิ้นที่ใช้ไปแล้วซึ่งถูกแช่แข็งสำหรับสถานะที่เปิดอยู่ การรู้จักทั้งสองส่วนนี้ช่วยให้คุณจัดการออเดอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ภาพประกอบบัญชีมาร์จิ้นที่แสดงมาร์จิ้นเริ่มต้น มาร์จิ้นคงเหลือ และมาร์จิ้นที่ใช้ไปกับโบรกเกอร์

ข้อดีและความเสี่ยงที่อาจเกิดจากการเทรดแบบ Leverage

การเทรดแบบ Leverage เหมือนดาบสองคมที่สามารถขยายผลตอบแทนให้ยิ่งใหญ่ แต่ก็อาจนำมาซึ่งความสูญเสียที่หนักหน่วงได้เช่นกัน

โอกาสในการขยายกำไร: จุดดึงดูดของการเทรดแบบ Leverage

ประโยชน์หลักคือความสามารถในการเพิ่มกำไรให้สูงขึ้น แม้ทุนจะจำกัด นักเทรดก็สามารถเข้าถึงตลาดขนาดใหญ่และรับผลตอบแทนที่เกินกว่าทุนดั้งเดิม นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มสภาพคล่องในตลาด ทำให้การเปิดและปิดสถานะทำได้สะดวกยิ่งขึ้น ส่งผลให้ราคาเคลื่อนไหวมีชีวิตชีวา

สำหรับนักลงทุนทุนน้อย Leverage เปิดประตูให้เข้าถึงสินทรัพย์ที่ปกติต้องใช้เงินมหาศาล ทำให้ทุกคนมีโอกาสเท่าเทียมในการทำกำไรจากความผันผวนของตลาด โดยเฉพาะในบริบทของนักลงทุนไทยที่กำลังมองหาวิธีเพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุน

อันตรายจากด้านมืด: เผยความเสี่ยงในการเทรดแบบ Leverage

แต่ความเสี่ยงนั้นรุนแรง หากตลาดเคลื่อนไหวตรงข้ามกับสถานะของคุณ ความสูญเสียก็จะถูกขยายตามอัตราส่วน Leverage ถ้าบัญชีไม่มีเงินพอรักษามาร์จิ้น โบรกเกอร์จะแจ้ง Margin Call เพื่อให้คุณเติมเงิน และถ้าเติมไม่ทัน สถานะอาจถูกปิดอัตโนมัติหรือ Stop Out ซึ่งหมายถึงสูญเสียทั้งหมดที่อาจเกิด

ความผันผวนของตลาดคือปัจจัยที่ต้องควบคุมและเข้าใจดี เพราะการเปลี่ยนแปลงราคาเล็กน้อยอาจกระทบยอดบัญชีอย่างหนักเมื่อใช้ Leverage สูง ดังนั้น การจัดการความเสี่ยงอย่างเข้มงวดจึงจำเป็นเพื่อปกป้องทุนของคุณ

สิ่งที่นักเทรดไทยต้องรู้: อัตราส่วน Leverage และการคำนวณในทางปฏิบัติ

สำหรับนักเทรดชาวไทย การเข้าใจอัตราส่วน Leverage และวิธีคำนวณที่ถูกต้องเป็นกุญแจสำคัญ เพื่อเลือกตั้ง Leverage ที่เหมาะสมและจัดการความเสี่ยงได้ดี

วิเคราะห์อัตราส่วน Leverage ทั่วไป: 1:100, 1:200, 1:500 หมายถึงอะไร?

อัตราส่วน Leverage บ่งบอกถึงจำนวนเท่าที่คุณควบคุมมูลค่าการซื้อขายได้เมื่อเทียบกับมาร์จิ้น:

  • Leverage 1:100 หมายถึงควบคุมมูลค่าการซื้อขายได้ 100 เท่าของมาร์จิ้นที่ฝาก
  • Leverage 1:200 หมายถึงควบคุมมูลค่าการซื้อขายได้ 200 เท่าของมาร์จิ้นที่ฝาก
  • Leverage 1:500 หมายถึงควบคุมมูลค่าการซื้อขายได้ 500 เท่าของมาร์จิ้นที่ฝาก

ยิ่งอัตราส่วนสูง มาร์จิ้นที่ต้องใช้ก็ยิ่งน้อย แต่ความเสี่ยงก็เพิ่มขึ้นตาม ทำให้ต้องวางแผนอย่างรอบคอบ โดยเฉพาะสำหรับนักลงทุนไทยที่อาจเผชิญกับความผันผวนจากตลาดโลก

คู่มือปฏิบัติ: วิธีคำนวณขนาด Lot และมาร์จิ้น (ตัวอย่างด้วย Leverage 1:200)

คำถามที่นักเทรดไทยถามบ่อยคือ Leverage 1:200 สามารถเปิด Lot ได้กี่ Lot และต้องใช้มาร์จิ้นเท่าไร ลองมาดูตัวอย่างการคำนวณจริงกัน

ตัวอย่างที่ 1: เทรด Forex (EUR/USD)

  • สมมติทุนในบัญชี 1,000 USD
  • ใช้ Leverage 1:200
  • ราคาปัจจุบัน EUR/USD อยู่ที่ 1.1000
  • ขนาดสัญญา มาตรฐาน 1 Lot ใน Forex คือ 100,000 หน่วยของสกุลเงินหลัก

คำนวณมาร์จิ้นสำหรับ 1 Lot:
มาร์จิ้น = (ขนาดสัญญา x ราคาปัจจุบัน) / Leverage
มาร์จิ้น = (100,000 EUR x 1.1000 USD) / 200
มาร์จิ้น = 110,000 USD / 200 = 550 USD

ด้วยทุน 1,000 USD และ Leverage 1:200 คุณเปิด 1 Lot EUR/USD ได้ โดยใช้มาร์จิ้น 550 USD และเหลือมาร์จิ้นคงเหลือ 450 USD ซึ่งช่วยให้มีช่องว่างรับมือความผันผวน

ตัวอย่างที่ 2: เทรดทองคำ (XAU/USD)

  • สมมติทุนในบัญชี 1,000 USD
  • ใช้ Leverage 1:200
  • ราคาปัจจุบันทองคำอยู่ที่ 2,000 USD ต่อออนซ์
  • ขนาดสัญญา มาตรฐาน 1 Lot สำหรับทองคำคือ 100 ออนซ์

คำนวณมาร์จิ้นสำหรับ 1 Lot:
มาร์จิ้น = (ขนาดสัญญา x ราคาปัจจุบัน) / Leverage
มาร์จิ้น = (100 ออนซ์ x 2,000 USD/ออนซ์) / 200
มาร์จิ้น = 200,000 USD / 200 = 1,000 USD

จากตัวอย่างนี้ ทุน 1,000 USD กับ Leverage 1:200 เปิด 1 Lot ทองคำได้พอดี แต่จะไม่มีมาร์จิ้นคงเหลือ ซึ่งเสี่ยงมากเพราะไม่มีกันชนสำหรับการขาดทุนชั่วคราว

เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน ลองดูตารางสรุป:

สินทรัพย์ ขนาดสัญญา 1 Lot ราคาปัจจุบัน Leverage มาร์จิ้นที่ต้องการสำหรับ 1 Lot
EUR/USD 100,000 หน่วย 1.1000 1:200 550 USD
ทองคำ (XAU/USD) 100 ออนซ์ 2,000 USD/ออนซ์ 1:200 1,000 USD

ลักษณะ Leverage ของแพลตฟอร์มไทยยอดนิยม (FBS, Exness) และวิธีตั้งค่า

นักเทรดไทยที่ชื่นชอบแพลตฟอร์มระหว่างประเทศอย่าง FBS และ Exness ควรศึกษานโยบาย Leverage ของแต่ละโบรกเกอร์ให้ดี

  • FBS: โบรกเกอร์ยอดฮิตในไทย มักให้ Leverage สูงสุดถึง 1:3000 สำหรับบางบัญชีและสินทรัพย์ แต่ Leverage สูงสุดอาจปรับตามประเภทสินค้าหรือขนาด Equity ในบัญชี เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่มากเกินไป
  • Exness: อีกโบรกเกอร์ที่ได้รับความนิยม โดดเด่นด้วย Leverage ไม่จำกัดสำหรับบัญชีที่เข้าเกณฑ์ เช่น Equity ต่ำกว่า 1,000 USD และมีประวัติเทรดหลายครั้ง แต่มีเงื่อนไขที่ต้องตรวจสอบให้ละเอียด

สำคัญมากที่ต้องเช็คนโยบาย Leverage ล่าสุดจากโบรกเกอร์ เพราะอาจเปลี่ยนแปลงได้ และเลือกอัตราที่เหมาะกับกลยุทธ์และทุนของคุณ ไม่ใช่รีบเลือกสูงสุดเสมอไป เพื่อให้การเทรดยั่งยืน

การจัดการความเสี่ยงใน Leverage: ปกป้องทุนการเทรดของคุณ

การจัดการความเสี่ยงคือหัวใจของการเทรด Leverage ที่ประสบความสำเร็จ การใช้เครื่องมือที่ถูกต้องจะช่วยรักษาทุนของคุณให้ปลอดภัย

การตั้ง Stop Loss และ Take Profit

เครื่องมือสำคัญสองอย่างในการควบคุมความเสี่ยงคือ Stop Loss และ Take Profit

  • Stop Loss: คำสั่งที่จำกัดความสูญเสีย เมื่อราคาเคลื่อนตรงข้ามกับสถานะถึงจุดที่ตั้งไว้ จะปิดอัตโนมัติ ป้องกันไม่ให้ขาดทุนเกินที่ยอมรับได้
  • Take Profit: คำสั่งที่ล็อกกำไร เมื่อราคาไปตามที่คาดและถึงระดับกำไรที่กำหนด จะปิดอัตโนมัติ ช่วยรักษาผลตอบแทนที่ได้มา

การตั้งทั้งสองอย่างให้เหมาะสมเป็นสิ่งที่นักเทรดทุกคนต้องทำในทุกออเดอร์ ไม่ว่าจะใช้ Leverage ระดับไหน เพื่อลดผลกระทบจากความผันผวนที่ไม่คาดคิด

การจัดการสถานะและการแบ่งทุนอย่างสมเหตุสมผล

การจัดการเงินทุนคือเสาหลักอีกอันหนึ่งสำหรับการเทรดที่ยั่งยืน อย่าทุ่มทุนทั้งหมดในออเดอร์เดียว และอย่าเปิดสถานะใหญ่เกินกว่าที่บัญชีรับไหว

ผู้เชี่ยวชาญมักแนะนำให้จำกัดความเสี่ยงต่อออเดอร์ไม่เกิน 1-2% ของทุนทั้งหมด การแบ่งสัดส่วนลงทุนที่เหมาะสมช่วยให้คุณอยู่รอดในตลาดได้นาน แม้เจอช่วงผันผวนหนัก โดยเฉพาะในตลาดที่เชื่อมโยงกับเศรษฐกิจไทย

คุณสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการจัดการความเสี่ยงได้ที่ การบริหารความเสี่ยงในการเทรด

นักเทรดไทยควรตั้ง Leverage เท่าไหร่ให้เหมาะสม?

คำถามเรื่องตั้ง Leverage เท่าไหร่ดีไม่มีสูตรตายตัว มันขึ้นกับปัจจัยหลายอย่าง:

  • ประสบการณ์: มือใหม่ควรเริ่มต่ำ เช่น 1:50 หรือ 1:100 เพื่อเรียนรู้กลไกและความเสี่ยงส่วนตัวก่อน
  • ระดับความเสี่ยงที่ยอมรับ: ถ้าคุณไม่ชอบความตื่นเต้นสูง เลือก Leverage ต่ำ
  • กลยุทธ์การเทรด: บางกลยุทธ์เหมาะกับ Leverage สูง บางอย่างต้องการต่ำเพื่อความมั่นคง
  • ประเภทสินทรัพย์: สินค้าผันผวนสูงอย่างทองคำหรือคริปโตควรใช้ Leverage ต่ำกว่าสินค้าที่เสถียรกว่า

การพิจารณาและเลือก Leverage ที่ใช่สำหรับตัวเองคือสิ่งสำคัญที่สุด ไม่มีตัวเลขที่ดีที่สุด แต่มีตัวเลขที่เหมาะกับคุณที่สุด

เคล็ดลับปฏิบัติและข้อควรพิจารณาในการเทรดแบบ Leverage

นอกจากพื้นฐานและการจัดการความเสี่ยง ยังมีเคล็ดลับอื่นๆ ที่นักเทรดควรรู้ เพื่อให้การใช้ Leverage มีประสิทธิภาพและปลอดภัยมากขึ้น

เลือกโบรกเกอร์ที่ถูกกฎหมายและได้รับการกำกับดูแล

การเลือกผู้ให้บริการหรือโบรกเกอร์ที่น่าเชื่อถือและมีใบอนุญาตจากหน่วยงานกำกับที่เข้มงวดคือสิ่งสำคัญอันดับหนึ่ง เพื่อความปลอดภัยของทุน ตรวจสอบประวัติให้ดี และยืนยันว่ามีการแยกบัญชีลูกค้าจากทุนบริษัท

โบรกเกอร์ที่อยู่ภายใต้การกำกับจากหน่วยงานชั้นนำอย่าง FCA (สหราชอาณาจักร), ASIC (ออสเตรเลีย), CySEC (ไซปรัส) มักน่าเชื่อถือสูง การเลือกดีตั้งแต่แรกคือการปกป้องทุน วิธีเลือกโบรกเกอร์ที่น่าเชื่อถือ

ความเหมือนและต่างระหว่างการเทรดแบบ Leverage กับหุ้นไทย

นักลงทุนไทยหลายคนสงสัยว่าการเทรดหุ้นไทยสามารถใช้ Leverage ได้เหมือน Forex หรือไม่ ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) มีเครื่องมือคล้ายกันอย่างการซื้อขายด้วยบัญชีมาร์จิ้น ซึ่งคือการยืมเงินจากโบรกเกอร์เพื่อซื้อหุ้น แต่กลไกและอัตราส่วน Leverage จะต่างจาก Forex หรือ CFD อย่างชัดเจน

การเทรดหุ้นด้วยมาร์จิ้นในไทยมีกฎเข้มงวดกว่า และอัตราส่วนมาร์จิ้นแตกต่างตามหุ้นแต่ละตัว นอกจากนี้ยังมี short selling คือการยืมหุ้นมาขายก่อนแล้วซื้อคืนเมื่อราคาตก ซึ่งเป็นรูปแบบ Leverage อีกแบบ แต่มีข้อจำกัดเฉพาะที่ต้องศึกษาให้ละเอียด โดยเฉพาะสำหรับนักลงทุนที่คุ้นเคยกับตลาดหุ้นไทย

ความสำคัญของการเรียนรู้ต่อเนื่องและเทรดจำลอง

ตลาดการเงินเปลี่ยนแปลงไม่หยุดนิ่ง การเรียนรู้อย่างสม่ำเสมอคือกุญแจสู่ความสำเร็จ ใช้บัญชีเดโมที่โบรกเกอร์ส่วนใหญ่ให้ เพื่อฝึกกลยุทธ์และทำความคุ้นเคยกับแพลตฟอร์มโดยไม่เสี่ยงเงินจริง

การสะสมประสบการณ์จากการฝึกจะช่วยพัฒนาทักษะและสร้างความมั่นใจ ก่อนนำทุนจริงลงสนาม โดยเฉพาะสำหรับมือใหม่ในตลาด Leverage ที่ซับซ้อน

สรุป: ใช้ Leverage อย่างชาญฉลาด เทรดด้วยความระมัดระวัง

การเทรดแบบ Leverage คือเครื่องมือที่ทรงพลัง สามารถขยายโอกาสทำกำไรได้มหาศาล แต่ก็มาพร้อมความเสี่ยงที่สูงไม่แพ้กัน การตัดสินใจใช้ควรมาจากความเข้าใจลึกซึ้งในหลักการ ข้อดีข้อเสีย และโดยเฉพาะการจัดการความเสี่ยงอย่างรับผิดชอบ

สำหรับนักเทรดไทย การเลือก Leverage ที่เหมาะ การคำนวณมาร์จิ้นและ Lot ถูกต้อง การตั้ง Stop Loss กับ Take Profit และการเลือกโบรกเกอร์ที่น่าเชื่อถือ ล้วนเป็นองค์ประกอบสำคัญที่จะช่วยให้คุณใช้ Leverage ได้อย่างฉลาดและเทรดอย่างรอบคอบ ขอให้ทุกคนประสบความสำเร็จในการเทรด

1. Leverage 1:200 ออกได้กี่ Lot ในการเทรด Forex และมีวิธีคำนวณอย่างไร?

จำนวน Lot ที่เปิดได้ขึ้นกับมูลค่าสัญญา (Contract Size) ของสินค้านั้นและทุนของคุณ ตัวอย่างเช่น ถ้าทุน 1,000 USD เทรด EUR/USD (1 Lot = 100,000 หน่วย) ที่ราคา 1.1000:

  • มาร์จิ้นสำหรับ 1 Lot = (100,000 EUR x 1.1000 USD) / 200 = 550 USD

ดังนั้น ด้วยทุน 1,000 USD คุณเปิดได้ราว 1 Lot โดยใช้มาร์จิ้น 550 USD เหลือมาร์จิ้นคงเหลือ 450 USD

2. Leverage 1:100 คืออะไร และมือใหม่ควรเริ่มต้นที่ Leverage เท่าไหร่ดี?

Leverage 1:100 หมายถึงควบคุมมูลค่าการซื้อขายได้ 100 เท่าของมาร์จิ้น เช่น ซื้อขาย 10,000 USD ต้องฝากมาร์จิ้นแค่ 100 USD

มือใหม่ควรเริ่มที่ Leverage ต่ำ เช่น 1:50 หรือ 1:100 เพื่อเข้าใจกลไกและความเสี่ยง ก่อนเพิ่มระดับเมื่อมีประสบการณ์

3. ตั้ง Leverage เท่าไหร่ดี เพื่อให้เหมาะสมกับสไตล์การเทรดและลดความเสี่ยง?

ไม่มี Leverage ที่ดีที่สุด แต่มีที่เหมาะที่สุด ซึ่งขึ้นกับ:

  • ประสบการณ์: มือใหม่ใช้ต่ำ ผู้เก่งใช้สูง
  • ความเสี่ยงที่รับได้: ถ้ารับน้อย ใช้ต่ำ
  • กลยุทธ์การเทรด: แต่ละกลยุทธ์ต้องการต่างกัน
  • สินทรัพย์ที่เทรด: สินค้าผันผวนสูงใช้ต่ำกว่า

เริ่มต่ำแล้วค่อยปรับเมื่อมั่นใจในทักษะจัดการความเสี่ยง

4. Leverage Risk คืออะไร และมีสัญญาณเตือนอะไรบ้างที่ต้องระวัง?

Leverage Risk คือความเสี่ยงที่ขาดทุนขยายใหญ่ตามอัตราส่วน Leverage เมื่อตลาดตรงข้ามกับสถานะ สัญญาณเตือนที่ต้องจับตา:

  • มาร์จิ้นคงเหลือลดเร็ว: บ่งชี้ว่ากำลังขาดทุนและใกล้ Margin Call
  • ได้รับ Margin Call: โบรกเกอร์เตือนให้เติมทุน
  • ใกล้ Stop Out: ถ้ามาร์จิ้นไม่พอ สถานะจะปิดอัตโนมัติ

ตั้ง Stop Loss และจัดการขนาดสถานะเข้มงวดเพื่อลดความเสี่ยง

5. การเทรดหุ้นไทย สามารถใช้ Leverage ได้เหมือนการเทรด Forex หรือไม่?

ในตลาดหุ้นไทยมีบัญชีมาร์จิ้นที่คล้าย Leverage คือยืมเงินจากโบรกเกอร์ซื้อหุ้น แต่กลไก กฎ และอัตราส่วนต่างจาก Forex หรือ CFD มาก โดยมีข้อกำหนดเข้มงวดและอัตราส่วนต่ำกว่า

6. แพลตฟอร์ม FBS และ Exness มี Leverage สูงสุดเท่าไหร่ และมีข้อจำกัดอะไรบ้าง?

  • FBS: ให้ Leverage สูงสุดถึง 1:3000 สำหรับบางบัญชีและสินทรัพย์ แต่ปรับตาม Equity ในบัญชี
  • Exness: มี Unlimited Leverage สำหรับบัญชีที่เข้าเกณฑ์ เช่น Equity ต่ำกว่า 1,000 USD และมีเทรดก่อนหน้า

เช็คนโยบายล่าสุดจากเว็บโบรกเกอร์ เพราะอาจเปลี่ยน

7. การคำนวณ Margin (มาร์จิ้น) ในการเทรด Leverage ทำอย่างไร?

ใช้สูตรคำนวณมาร์จิ้นที่ต้องการ:

  • มาร์จิ้น = (ขนาดสัญญา x ราคาปัจจุบัน) / Leverage

ตัวอย่าง: 1 Lot EUR/USD (100,000 หน่วย) ราคา 1.1000 Leverage 1:200
มาร์จิ้น = (100,000 x 1.1000) / 200 = 550 USD

8. เทรดทองคำด้วย Leverage มีข้อควรระวังพิเศษอะไรบ้างสำหรับนักลงทุนไทย?

ทองคำผันผวนสูง การใช้ Leverage จึงเสี่ยงมาก ข้อควรระวัง:

  • ผันผวนสูง: ราคาเปลี่ยนเร็วและรุนแรง อาจขาดทุนไว
  • ขนาด Lot: 1 Lot มัก 100 ออนซ์ ทำให้มาร์จิ้นสูง
  • ข่าวเศรษฐกิจ: ราคาได้รับผลจากข่าวโลกอย่างรวดเร็ว

ใช้ Leverage ต่ำและตั้ง Stop Loss เข้มงวด โดยเฉพาะนักลงทุนไทยที่อาจได้รับผลจากค่าเงินบาท

9. ถ้าโดน Margin Call แล้วต้องทำอย่างไร เพื่อหลีกเลี่ยงการ Stop Out?

เมื่อได้ Margin Call มีทางเลือกหลักสองทางเพื่อหลีกเลี่ยง Stop Out:

  • เติมทุนเพิ่ม: เพื่อเพิ่ม Equity และมาร์จิ้นคงเหลือ
  • ปิดสถานะบางส่วนหรือทั้งหมด: ลดมาร์จิ้นที่ใช้และเพิ่มมาร์จิ้นคงเหลือ

ต้องทำเร็ว เพราะถ้ามาร์จิ้นต่ำเกิน โบรกเกอร์จะ Stop Out เพื่อป้องกันยอดติดลบ

10. มีกฎหมายหรือข้อบังคับเกี่ยวกับการใช้ Leverage ในการเทรดสำหรับนักลงทุนไทยหรือไม่?

ในไทย การเทรด Forex หรือ CFD กับโบรกเกอร์ต่างประเทศยังไม่มีกฎหมายเฉพาะจาก ก.ล.ต. แต่โบรกเกอร์ยอดนิยมมักอยู่ภายใต้การกำกับจากหน่วยงานต่างชาติอย่าง FCA, ASIC, CySEC ซึ่งนักลงทุนควรเลือกเพื่อความปลอดภัย การลงทุนเหล่านี้จึงขึ้นกับความรับผิดชอบของตัวนักลงทุนในการศึกษาข้อมูล

發佈留言