ในโลกของการเงินและการลงทุน ชื่อของ “Federal Reserve” หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า “เฟด (Fed)” มักปรากฏขึ้นบ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุน ผู้ประกอบการ หรือแม้แต่ประชาชนทั่วไป การตัดสินใจจากธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาองค์กรนี้ ไม่ได้ส่งผลกระทบเฉพาะต่อเศรษฐกิจอเมริกาเท่านั้น แต่ยังแผ่ขยายไปยังทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยด้วย บทความนี้จะอธิบายอย่างละเอียดเกี่ยวกับความหมาย โครงสร้าง หน้าที่ และที่สำคัญคือผลกระทบจากการดำเนินนโยบายของเฟดต่อเศรษฐกิจและการลงทุนของคนไทย เพื่อช่วยให้คุณเข้าใจและนำไปปรับใช้ในการตัดสินใจทางการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Federal Reserve (Fed) คืออะไร? ภาพรวมและประวัติโดยย่อ
คำจำกัดความของธนาคารกลางสหรัฐฯ
ระบบ Federal Reserve หรือที่รู้จักกันในชื่อเฟด คือ ธนาคารกลางของสหรัฐอเมริกา ซึ่งรับผิดชอบการกำกับดูแลและควบคุมระบบการเงิน เพื่อรักษาความมั่นคงทางเศรษฐกิจ องค์กรนี้ถูกสร้างขึ้นให้เป็นหน่วยงานอิสระจากแรงกดดันทางการเมือง โดยมีจุดมุ่งหมายหลักคือการรักษาระดับราคาให้คงที่ (ควบคุมอัตราเงินเฟ้อ) และสนับสนุนการมีงานทำในระดับสูงสุด
ในฐานะธนาคารกลาง เฟดมีบทบาทสำคัญในการกำหนดแนวทางอัตราดอกเบี้ยและปริมาณเงินหมุนเวียนในระบบ ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ ระดับเงินเฟ้อ และตลาดการเงินทั่วโลก

ประวัติการก่อตั้งและวิวัฒนาการ
เฟดถูกก่อตั้งในปี พ.ศ. 2456 (ค.ศ. 1913) ผ่านการลงนามในกฎหมาย Federal Reserve Act โดยประธานาธิบดีวูดโรว์ วิลสัน เหตุผลหลักมาจากปัญหาภาวะตื่นตระหนกทางการเงินหลายครั้งที่เกิดขึ้นในศตวรรษที่ 19 และต้นศตวรรษที่ 20 ซึ่งชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นต้องมีสถาบันกลางมาช่วยเสริมสร้างความมั่นคงให้ระบบธนาคารและการเงิน
ช่วงเริ่มต้น เฟดมุ่งเน้นการเป็นผู้ให้กู้ยืมฉุกเฉินสำหรับธนาคารพาณิชย์และปรับปรุงความยืดหยุ่นของอุปทานเงิน ต่อมา บทบาทของเฟดได้ขยายตัว เพื่อรวมถึงการรักษาเสถียรภาพราคาและการจ้างงานสูงสุด ซึ่งกลายเป็นเป้าหมายหลักที่ยังคงใช้ในยุคปัจจุบัน

โครงสร้างและการบริหารงานของ Federal Reserve
โครงสร้างของ Federal Reserve นั้นซับซ้อนแต่มีประสิทธิภาพสูง โดยประกอบด้วยส่วนหลักสามส่วนที่ทำงานประสานกัน ได้แก่ คณะผู้ว่าการ ธนาคารกลางภูมิภาค และคณะกรรมการนโยบายการเงิน
คณะผู้ว่าการ (Board of Governors)
คณะผู้ว่าการคือหัวใจสำคัญของระบบ Federal Reserve ประกอบด้วยผู้ว่าการทั้งหมด 7 คน ซึ่งได้รับการแต่งตั้งโดยประธานาธิบดีสหรัฐฯ และต้องผ่านการรับรองจากวุฒิสภา วาระการดำรงตำแหน่งยาวนานถึง 14 ปี เพื่อลดอิทธิพลทางการเมือง ประธานเฟดและรองประธานก็มาจากกลุ่มนี้ โดยมีวาระ 4 ปี ปัจจุบันประธานเฟดคือ เจอโรม พาวเวลล์ (Jerome Powell)
หน้าที่ของคณะนี้รวมถึงการกำหนดนโยบายการเงินในภาพรวม การกำกับดูแลธนาคารพาณิชย์ และการดูแลธนาคารกลางภูมิภาคทั้ง 12 แห่ง
ธนาคารกลางภูมิภาค 12 แห่ง (Federal Reserve Banks)
ระบบเฟดแบ่งเขตการทำงานออกเป็น 12 พื้นที่ โดยแต่ละพื้นที่มีธนาคารกลางภูมิภาคของตัวเอง ธนาคารเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นตัวแทนของเฟดในท้องถิ่น ให้บริการธนาคารแก่ธนาคารพาณิชย์ รัฐบาลกลางในเขตนั้น และมีส่วนในการจัดการระบบชำระเงิน
นอกจากนี้ ธนาคารกลางภูมิภาคยังรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเศรษฐกิจในพื้นที่ ซึ่งเป็นแหล่งข้อมูลสำคัญสำหรับการกำหนดนโยบายระดับชาติ
คณะกรรมการนโยบายการเงิน (Federal Open Market Committee – FOMC)
FOMC คือหน่วยงานหลักที่กำหนดทิศทางนโยบายการเงินของสหรัฐฯ ประกอบด้วยสมาชิก 12 คน ได้แก่ ผู้ว่าการทั้ง 7 คน ประธานธนาคารกลางแห่งนิวยอร์ก และประธานธนาคารกลางภูมิภาคอีก 4 คนที่หมุนเวียนจาก 11 แห่งที่เหลือ
หน้าที่หลักของ FOMC คือการตัดสินใจเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Federal Funds Rate) และการดำเนินการในตลาดเปิด (Open Market Operations) ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการจัดการปริมาณเงินและเครดิต การประชุมของ FOMC จึงเป็นเหตุการณ์ที่ตลาดการเงินทั่วโลกให้ความสนใจอย่างมาก

หน้าที่หลักและเครื่องมือของ Fed ในการดำเนินนโยบายการเงิน
เฟดมีหน้าที่หลายอย่างที่สำคัญในการรักษาความมั่นคงและประสิทธิภาพของระบบเศรษฐกิจสหรัฐฯ ด้วยเป้าหมายที่ชัดเจนและเครื่องมือที่หลากหลายเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์เหล่านั้น
เป้าหมายหลักของ Fed
เฟดยึดมั่นใน “อาณัติคู่ (Dual Mandate)” ที่กำหนดโดยรัฐสภาสหรัฐฯ ซึ่งมีสองเป้าหมายหลักดังนี้:
- เสถียรภาพด้านราคา (Price Stability): การควบคุมอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับต่ำและคงที่ เพื่อให้ประชาชนและธุรกิจวางแผนการใช้จ่ายและลงทุนได้อย่างมั่นใจ โดยไม่ถูกกระทบจากค่าครองชีพที่สูงขึ้น
- การจ้างงานสูงสุด (Maximum Employment): การส่งเสริมการมีงานทำอย่างเต็มศักยภาพ โดยไม่ก่อให้เกิดแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่รุนแรง ซึ่งหมายถึงการรักษาอัตราการว่างงานให้ต่ำที่สุดที่เป็นไปได้ ขณะที่เศรษฐกิจเติบโตอย่างยั่งยืน
ยิ่งไปกว่านั้น เฟดยังรับผิดชอบในการรักษาความมั่นคงของระบบการเงินและกำกับดูแลธนาคารพาณิชย์ เพื่อป้องกันความเสี่ยงและวิกฤตทางการเงินที่อาจเกิดขึ้น
เครื่องมือสำคัญในการดำเนินนโยบาย
เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย เฟดนำเครื่องมือหลากหลายมาใช้ในการดำเนินนโยบายการเงิน:
- อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Federal Funds Rate): คืออัตราดอกเบี้ยเป้าหมายสำหรับการกู้ยืมเงินสำรองระหว่างธนาคารพาณิชย์ข้ามคืน การปรับอัตราทำให้ต้นทุนการกู้ยืมของธนาคารเปลี่ยนแปลง ซึ่งส่งผลต่ออัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝากสำหรับธุรกิจและประชาชน
- การดำเนินงานในตลาดเปิด (Open Market Operations): เป็นเครื่องมือที่ใช้บ่อยที่สุด โดยเฟดซื้อหรือขายพันธบัตรรัฐบาลในตลาด การซื้อจะเพิ่มสภาพคล่องและลดดอกเบี้ย ขณะที่การขายจะลดสภาพคล่องและเพิ่มดอกเบี้ย
- อัตราคิดลด (Discount Rate): คืออัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารกลางภูมิภาคเรียกเก็บจากธนาคารพาณิชย์ที่กู้เงินโดยตรงจากเฟด แม้จะไม่ค่อยใช้บ่อย แต่เป็นสัญญาณแสดงท่าทีของเฟด
- ข้อกำหนดเงินสำรอง (Reserve Requirements): คือสัดส่วนเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์ต้องเก็บไว้กับเฟด การเปลี่ยนแปลงนี้จะกระทบต่อจำนวนเงินที่ธนาคารสามารถปล่อยกู้ได้
- มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (Quantitative Easing – QE) และการขึ้นอัตราดอกเบี้ยเชิงปริมาณ (Quantitative Tightening – QT): ในยามวิกฤต เฟดอาจใช้ QE โดยซื้อสินทรัพย์จำนวนมากเพื่อลดดอกเบี้ยระยะยาวและเพิ่มสภาพคล่อง เมื่อเศรษฐกิจฟื้น เฟดอาจใช้ QT เพื่อลดขนาดงบดุลและดึงสภาพคล่องออก
ความเป็นอิสระของ Fed และความสัมพันธ์กับรัฐบาลสหรัฐฯ
ทำไม Fed ต้องเป็นอิสระ?
หลักการความเป็นอิสระของ Federal Reserve ถูกออกแบบมาเพื่อป้องกันการแทรกแซงจากแรงกดดันทางการเมือง หากนโยบายการเงินตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของนักการเมือง อาจนำไปสู่การตัดสินใจที่มุ่งผลระยะสั้น เช่น การกระตุ้นเศรษฐกิจก่อนเลือกตั้ง ซึ่งเสี่ยงต่อเงินเฟ้อสูงและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจในระยะยาว
ความเป็นอิสระนี้ช่วยให้เฟดตัดสินใจโดยอิงข้อมูลเศรษฐกิจและเป้าหมายระยะยาว เช่น เสถียรภาพราคาและการจ้างงานสูงสุด ซึ่งจำเป็นต่อความน่าเชื่อถือและประสิทธิผลของนโยบาย
กลไกการตรวจสอบและถ่วงดุล
ถึงแม้เฟดจะอิสระ แต่ก็ยังอยู่ภายใต้การตรวจสอบ คณะผู้ว่าการและประธานเฟดได้รับการแต่งตั้งโดยประธานาธิบดีและยืนยันโดยวุฒิสภา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการตรวจสอบ
เฟดต้องรายงานต่อรัฐสภาอย่างสม่ำเสมอเกี่ยวกับสถานการณ์เศรษฐกิจและนโยบายการเงิน ประธานเฟดต้องให้คำชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการหลายครั้งต่อปี เพื่ออธิบายการตัดสินใจและตอบคำถาม ความโปร่งใสนี้ช่วยให้ประชาชนและนักการเมืองตรวจสอบได้ โดยไม่กระทบต่อความอิสระในการตัดสินใจนโยบาย
ผลกระทบของการตัดสินใจ Fed ต่อเศรษฐกิจโลกและการลงทุนในไทย
การตัดสินใจของ Federal Reserve ไม่ได้จำกัดอยู่แค่สหรัฐฯ แต่แผ่กระจายไปยังเศรษฐกิจและการลงทุนทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศเปิดอย่างประเทศไทยที่ได้รับผลกระทบชัดเจน
Fed กระทบอะไรบ้างต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ และโลก?
เมื่อเฟดปรับนโยบายการเงิน เช่น ขึ้นหรือลดอัตราดอกเบี้ย จะส่งผลต่อหลายด้าน:
- เงินเฟ้อ (Inflation): การขึ้นดอกเบี้ยช่วยชะลอเศรษฐกิจและควบคุมเงินเฟ้อ ขณะที่การลดดอกเบี้ยกระตุ้นเศรษฐกิจแต่เพิ่มความเสี่ยงเงินเฟ้อ
- ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ (ดอลลาร์สหรัฐ): การขึ้นดอกเบี้ยมักทำให้ดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเพราะนักลงทุนแสวงหาผลตอบแทนสูงกว่า การลดดอกเบี้ยทำให้ดอลลาร์อ่อนค่า
- ตลาดทุนทั่วโลก: การปรับดอกเบี้ยของเฟดกระทบการไหลเวียนเงินทุนระหว่างประเทศ เมื่อดอกเบี้ยสหรัฐฯ สูง เงินทุนมักไหลออกจากตลาดเกิดใหม่ไปสหรัฐฯ
- ราคาสินค้าโภคภัณฑ์: ค่าเงินดอลลาร์ที่เปลี่ยนแปลงส่งผลต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ค้าขายด้วยดอลลาร์ เช่น น้ำมันและทองคำ
ผลกระทบเฉพาะต่อเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศไทย
ในกรณีของประเทศไทย ผลกระทบจากเฟดปรากฏชัดผ่านหลายช่องทาง:
- อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาท-ดอลลาร์ (THB-USD):
- Fed ขึ้นดอกเบี้ย: นักลงทุนย้ายเงินไปสกุลดอลลาร์เพื่อผลตอบแทนสูง ทำให้ดอลลาร์แข็งและเงินบาทอ่อนค่า ซึ่งช่วยผู้ส่งออกไทยแต่กระทบผู้นำเข้าและผู้มีหนี้ดอลลาร์
- Fed ลดดอกเบี้ย: ดอลลาร์อ่อนลงและเงินบาทแข็งขึ้น ช่วยผู้นำเข้าและผู้เดินทางต่างประเทศ แต่ลดความสามารถแข่งขันของผู้ส่งออก
- ตลาดหุ้นไทย (SET Index):
- เงินทุนไหลเข้า/ออก: การขึ้นดอกเบี้ยเฟดดึงเงินทุนออกจากตลาดเกิดใหม่รวมถึงหุ้นไทย ทำให้ดัชนี SET ลดลงเพราะนักลงทุนต่างชาติขายหุ้น การลดดอกเบี้ยอาจดึงเงินทุนกลับ
- ความผันผวน: ตลาดหุ้นไทยมักผันผวนเมื่อมีข่าวหรือประกาศนโยบายเฟด นักลงทุนไทยจึงควรติดตามใกล้ชิด
- ราคาทองคำในไทย:
- FED ลดดอกเบี้ยมีผลกับทองยังไง: เมื่อเฟดลดดอกเบี้ย ผลตอบแทนจากดอลลาร์และสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องลดลง ทำให้ทองคำซึ่งไม่ให้ดอกเบี้ยดูน่าสนใจกว่า ส่งผลให้ราคาทองคำโลกและไทยปรับขึ้น นอกจากนี้ ดอลลาร์อ่อนยังลดราคาทองสำหรับสกุลเงินอื่น กระตุ้นความต้องการ
- Fed ขึ้นดอกเบี้ย: ทำให้ทองคำน่าสนใจน้อยลง ราคาจึงมักลดลง
- ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมส่งออกของไทย:
- ค่าเงินบาทแข็ง/อ่อน: เงินบาทอ่อนจากนโยบายเฟดช่วยผู้ส่งออกเพราะได้เงินบาทมากขึ้นจากรายได้ดอลลาร์ แต่เงินบาทแข็งกระทบความสามารถแข่งขัน
- ผู้ประกอบการและผู้บริโภคชาวไทย:
- ต้นทุนการกู้ยืม: แม้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กำหนดดอกเบี้ยไทย แต่การขึ้นดอกเบี้ยเฟดกดดันให้ ธปท. อาจปรับขึ้นตามเพื่อรักษาค่าเงินบาทและป้องกันเงินทุนไหลออก ทำให้ต้นทุนกู้ยืมในประเทศสูงขึ้นทั้งธุรกิจและบุคคล
- กำลังซื้อ: เงินบาทอ่อนทำให้สินค้านำเข้าติดราคา ส่งผลต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค
เพื่อรับมือ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จึงต้องจับตาการเคลื่อนไหวของเฟดอย่างใกล้ชิด และปรับนโยบายการเงินให้สอดคล้อง เพื่อรักษาสมดุลเศรษฐกิจ
ติดตามการประชุม Fed: สิ่งที่นักลงทุนไทยควรรู้
นักลงทุนไทยควรให้ความสำคัญกับการติดตามข่าวสารและการตัดสินใจของ Federal Reserve เพื่อปรับกลยุทธ์การลงทุนให้ทันสถานการณ์
ปฏิทินการประชุม FOMC และการประกาศสำคัญ
คณะกรรมการ FOMC จัดประชุมตามกำหนด 8 ครั้งต่อปี หรือทุก 6-8 สัปดาห์ เพื่อประเมินเศรษฐกิจและตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ยและมาตรการอื่นๆ
นักลงทุนสามารถดู ปฏิทินการประชุม FOMC จากเว็บไซต์เฟด ซึ่งระบุวันที่ประชุมและประกาศผล “Fed ประกาศ ดอกเบี้ย ล่าสุด” มักเกิดในช่วงบ่ายวันพุธเวลาสหรัฐฯ หรือเช้าวันพฤหัสบดีในไทย
นอกจากประกาศดอกเบี้ย แถลงการณ์หลังประชุม (FOMC Statement) และบันทึกการประชุม (FOMC Minutes) ที่เผยแพร่ทีหลัง ก็เป็นข้อมูลสำคัญที่ช่วยเข้าใจมุมมองเฟดต่อเศรษฐกิจและแนวโน้มอนาคต
วิธีตีความแถลงการณ์และทิศทางนโยบาย
การตีความแถลงการณ์เฟดต้องอาศัยความเข้าใจภาษาและบริบทเศรษฐกิจ:
- การเปลี่ยนแปลงคำพูด: การปรับคำเล็กน้อยในแถลงการณ์อาจบ่งชี้การเปลี่ยนทิศทาง เช่น คำว่า “อดทน (patient)” หรือ “พิจารณา (consider)” อาจหมายถึงการชะลอขึ้นดอกเบี้ย
- “Hawkish” vs. “Dovish”:
- Hawkish (เหยี่ยว): ท่าทีเน้นควบคุมเงินเฟ้อ อาจขึ้นดอกเบี้ยหรือใช้นโยบายเข้มงวดเพื่อชะลอเศรษฐกิจ
- Dovish (พิราบ): ท่าทีเน้นกระตุ้นเศรษฐกิจและจ้างงาน อาจลดดอกเบี้ยหรือใช้นโยบายผ่อนคลาย
- Dot Plot: ในบางประชุม เฟดเผย “Dot Plot” แสดงคาดการณ์ดอกเบี้ยอนาคตจากกรรมการแต่ละคน ช่วยให้นักลงทุนเห็นแนวโน้มโดยรวม
- การแถลงข่าวของประธานเฟด: แถลงข่าวหลังประชุมของประธานเฟดเป็นโอกาสสำคัญในการรับทราบรายละเอียด นักลงทุนควรสังเกตน้ำเสียงและคำตอบต่อคำถาม
การวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านี้อย่างละเอียดจะช่วยนักลงทุนไทยคาดการณ์ทิศทางเฟดและวางแผนลงทุนในหุ้นไทย ทองคำ ค่าเงิน และสินทรัพย์อื่นๆ ได้ดีขึ้น
สรุป: ทำไม Fed ถึงสำคัญต่อทุกคน
Federal Reserve หรือธนาคารกลางสหรัฐฯ ไม่ใช่แค่องค์กรห่างไกล แต่เป็นผู้กำหนดทิศทางเศรษฐกิจโลก การตัดสินใจเรื่องดอกเบี้ยหรือนโยบายการเงินมีผลกระทบทั้งโดยตรงและทางอ้อมต่อตลาดหุ้น วงจรธุรกิจ ค่าเงิน และราคาสินค้าประจำวันของคนไทย
ไม่ว่าคุณเป็นนักลงทุนที่คิดซื้อขายหุ้น ทองคำ หรือสกุลเงิน ผู้ประกอบการที่จัดการต้นทุนนำเข้า-ส่งออก หรือประชาชนที่กังวลดอกเบี้ยกู้และกำลังซื้อ การเข้าใจเฟด วิธีการทำงาน และผลต่อเศรษฐกิจไทยจึงจำเป็นสำหรับการตัดสินใจทางการเงินที่ชาญฉลาดในโลกที่เชื่อมโยงกัน การติดตามข่าวเฟดอย่างต่อเนื่องจะช่วยเตรียมพร้อมรับมือการเปลี่ยนแปลงและคว้าโอกาสในตลาด
คำถามที่พบบ่อย (FAQs) เกี่ยวกับ Federal Reserve
Q1: Federal Reserve (Fed) คือใคร และมีบทบาทอย่างไรในฐานะธนาคารกลางสหรัฐฯ?
Federal Reserve หรือ เฟด คือธนาคารกลางของสหรัฐอเมริกา มีบทบาทหลักในการดำเนินนโยบายการเงินเพื่อรักษาเสถียรภาพราคา (ควบคุมเงินเฟ้อ) และส่งเสริมการจ้างงานสูงสุด นอกจากนี้ยังกำกับดูแลธนาคารพาณิชย์และรักษาระบบการเงินให้มั่นคง หน้าที่ของผู้ว่าการ Fed คือการร่วมกำหนดนโยบายและกำกับดูแลการทำงานของระบบเฟด
Q2: การประชุม Fed (FOMC Meeting) คืออะไร และมีการประกาศผลการตัดสินใจเมื่อใด?
การประชุม Fed หรือ FOMC Meeting คือการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (Federal Open Market Committee) ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักของเฟดที่ตัดสินใจเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยนโยบายและมาตรการทางการเงินอื่นๆ มีการประชุมตามกำหนดการปีละ 8 ครั้ง สามารถตรวจสอบวันประชุมได้จากเว็บไซต์ทางการของ Federal Reserve ผลการตัดสินใจมักประกาศหลังการประชุมสิ้นสุดลง โดยปกติจะเป็นช่วงดึกของวันพุธตามเวลาสหรัฐฯ หรือเช้าตรู่ของวันพฤหัสบดีตามเวลาประเทศไทย
Q3: หาก Fed ประกาศลดดอกเบี้ย จะส่งผลกระทบต่อราคาทองคำในตลาดไทยอย่างไร?
โดยทั่วไปแล้ว หาก Fed ลดดอกเบี้ย จะส่งผลให้:
- ผลตอบแทนจากการถือสินทรัพย์สกุลเงินดอลลาร์ลดลง ทำให้ทองคำซึ่งไม่ให้ผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ย กลายเป็นสินทรัพย์ที่น่าสนใจมากขึ้น
- ค่าเงินดอลลาร์มีแนวโน้มอ่อนค่าลง ทำให้ราคาทองคำที่ซื้อขายด้วยดอลลาร์มีราคาถูกลงสำหรับผู้ถือสกุลเงินอื่น ซึ่งช่วยกระตุ้นอุปสงค์
ดังนั้น การลดดอกเบี้ยของ Fed มักมีผลทำให้ราคาทองคำในตลาดโลกและในไทยมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น
Q4: Federal Reserve เป็นหน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐฯ หรือเป็นของเอกชน?
Federal Reserve เป็นหน่วยงานที่มีลักษณะผสมผสานระหว่างภาครัฐและเอกชน ไม่ใช่หน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐฯ โดยสมบูรณ์ และก็ไม่ใช่ธนาคารส่วนตัว ระบบเฟดถูกออกแบบมาให้เป็นอิสระจากอิทธิพลทางการเมือง แต่ยังคงมีความรับผิดชอบต่อรัฐสภาสหรัฐฯ ธนาคารกลางภูมิภาค 12 แห่งมีโครงสร้างความเป็นเจ้าของแบบกึ่งเอกชน แต่การตัดสินใจนโยบายหลักๆ อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของคณะผู้ว่าการซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐ
Q5: การขึ้นหรือลดดอกเบี้ยของ Fed มีผลต่อค่าเงินบาทและอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในประเทศไทยหรือไม่?
มีผลกระทบอย่างแน่นอน เมื่อ Fed ขึ้นดอกเบี้ย เงินดอลลาร์สหรัฐฯ มักจะแข็งค่าขึ้น ส่งผลให้เงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าลง และอาจสร้างแรงกดดันให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (BOT) ต้องพิจารณาปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายตาม เพื่อป้องกันเงินทุนไหลออกและรักษาเสถียรภาพค่าเงิน ซึ่งจะทำให้ต้นทุนการกู้ยืมเงินในประเทศไทย ทั้งสินเชื่อบ้าน สินเชื่อรถยนต์ และสินเชื่อธุรกิจสูงขึ้นตามไปด้วย