บทนำ: ทำไมต้องรู้วิธีคิดอัตราแลกเปลี่ยนเงิน?
ในยุคที่โลกเชื่อมโยงกันมากขึ้น การเดินทางท่องเที่ยว การสั่งซื้อสินค้าผ่านอินเทอร์เน็ต หรือแม้แต่การโอนเงินให้คนใกล้ชิดที่อยู่ต่างถิ่น ล้วนเป็นกิจกรรมที่คนไทยทำกันบ่อยๆ ในชีวิตประจำวัน การเข้าใจวิธีคำนวณอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินจึงกลายเป็นทักษะที่ช่วยให้คุณจัดการเงินได้ดีขึ้น ไม่ว่าจะกำลังเตรียมตัวไปพักผ่อนที่ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ หรือจุดหมายในยุโรป ช้อปปิ้งจากร้านค้าออนไลน์ต่างประเทศ หรือรับเงินจากญาติที่อยู่อีกฟากโลก การรู้วิธีคำนวณและปัจจัยที่ทำให้อัตราเปลี่ยนแปลง จะช่วยลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น และทำให้คุณได้ประโยชน์สูงสุดจากการแลกเงินทุกครั้ง บทความนี้จะพาคุณสำรวจทุกมุมมองของการคำนวณอัตราแลกเปลี่ยน ตั้งแต่หลักพื้นฐานไปจนถึงการนำไปใช้จริง พร้อมเคล็ดลับและเครื่องมือที่เหมาะสำหรับคนไทยโดยเฉพาะ

อัตราแลกเปลี่ยนเงินคืออะไร? พื้นฐานที่ควรรู้
ก่อนที่จะดำดิ่งสู่ขั้นตอนการคำนวณ ลองมาทำความรู้จักกับแนวคิดพื้นฐานของอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินกันก่อน เพื่อให้คุณเห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น

ความหมายของอัตราแลกเปลี่ยนเงิน
อัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงิน คือ มูลค่าของเงินหนึ่งสกุลเมื่อเทียบกับอีกสกุลหนึ่ง โดยตรงๆ แล้ว มันบอกว่าคุณต้องใช้เงินสกุลไหนจำนวนเท่าไร เพื่อแลกกับเงินอีกสกุลจำนวนหนึ่ง ตัวอย่างเช่น ถ้าอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 1 ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ 35 บาทไทย แสดงว่าคุณต้องจ่าย 35 บาทเพื่อแลกได้ 1 ดอลลาร์ หรือถ้าคุณมี 1 ดอลลาร์ ก็จะได้เงินบาท 35 บาทกลับมา
ประเภทของอัตราแลกเปลี่ยน: อัตราซื้อ-อัตราขาย (Bid-Ask Rate)
พอคุณไปแลกเงินที่ธนาคารหรือร้านแลกเปลี่ยน จะเจออัตราแลกเปลี่ยนสองแบบเสมอ คือ อัตราซื้อและอัตราขาย ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้คุณรู้จำนวนเงินจริงๆ ที่จะได้หรือต้องเสีย
- อัตราซื้อ: คือ อัตราที่ธนาคารหรือร้านแลกเงินใช้ซื้อสกุลเงินต่างประเทศจากคุณ หรือพูดอีกอย่างคือ อัตราที่คุณจะได้เงินบาทเมื่อเอาเงินต่างประเทศมาแลก เช่น ถ้าคุณมีเงินเยนญี่ปุ่นเหลือจากทริป อยากเปลี่ยนเป็นบาท ธนาคารจะใช้อัตราซี้นี้
- อัตราขาย: คือ อัตราที่ธนาคารหรือร้านแลกเงินใช้ขายสกุลเงินต่างประเทศให้คุณ หรือคือจำนวนบาทที่คุณต้องจ่ายเพื่อแลกเงินต่างประเทศ เช่น ถ้ากำลังจะไปเที่ยวญี่ปุ่นและอยากเปลี่ยนบาทเป็นเยน ธนาคารจะใช้อัตราขาย
ปกติแล้ว อัตราซื้อจะต่ำกว่าอัตราขายเสมอ ส่วนต่างระหว่างสองตัวนี้เรียกว่าสเปรด ซึ่งเป็นส่วนที่ธนาคารหรือร้านแลกเงินใช้เป็นกำไร

วิธีคิดอัตราแลกเปลี่ยนเงิน: สูตรและตัวอย่างการคำนวณ
ทีนี้เรามาเรียนรู้ขั้นตอนการคำนวณอัตราแลกเปลี่ยนกันแบบละเอียด พร้อมตัวอย่างที่ใกล้เคียงกับสถานการณ์จริงที่คนไทยเจอบ่อยๆ เพื่อให้คุณนำไปใช้ได้ทันที
หลักการคำนวณพื้นฐาน (Direct vs. Indirect Quotation)
การคำนวณอัตราแลกเปลี่ยนมีหลักการหลักสองแบบ ขึ้นอยู่กับว่าสกุลเงินไหนเป็นฐานในการอ้างอิง
- การอ้างอิงโดยตรง: คือ การระบุว่าต้องใช้เงินท้องถิ่น เช่น บาท จำนวนเท่าไรเพื่อแลก 1 หน่วยของเงินต่างประเทศ เช่น 1 ดอลลาร์สหรัฐ = 35 บาทไทย ซึ่งหมายถึง 1 ดอลลาร์มีมูลค่าเท่ากับ 35 บาท วิธีนี้เข้าใจง่ายและเป็นที่นิยมในไทย
- การอ้างอิงโดยอ้อม: คือ การบอกว่า 1 หน่วยเงินท้องถิ่นมีมูลค่าเท่ากับกี่หน่วยของเงินต่างประเทศ เช่น 1 บาท = 0.0285 ดอลลาร์สหรัฐ
สำหรับบทความนี้ เราจะโฟกัสที่การคำนวณแบบอ้างอิงโดยตรง เพราะคนไทยคุ้นเคยกับรูปแบบนี้มากกว่า
สูตรการแปลงสกุลเงิน (Currency Conversion Formula)
สูตรพื้นฐานสำหรับการแปลงสกุลเงินนั้นไม่ซับซ้อน เพียงแค่ปรับตามทิศทางการแลกเปลี่ยน
1. เมื่อแปลงเงินบาทเป็นสกุลเงินต่างประเทศ (เช่น เตรียมเที่ยว):
จำนวนสกุลเงินต่างประเทศ = จำนวนเงินบาท / อัตราขาย
2. เมื่อแปลงสกุลเงินต่างประเทศเป็นเงินบาท (เช่น รับเงินจากต่างประเทศ):
จำนวนเงินบาท = จำนวนสกุลเงินต่างประเทศ × อัตราซื้อ
ตัวอย่าง:
สมมติอัตราแลกเปลี่ยนวันนี้ที่ธนาคารคือ:
* อัตราซื้อ (เยนเป็นบาท): 1 เยน = 0.2350 บาท
* อัตราขาย (บาทเป็นเยน): 1 เยน = 0.2400 บาท
- แปลงเยนเป็นบาท:
ถ้าคุณกลับจากญี่ปุ่นเหลือ 10,000 เยน อยากแลกเป็นบาท
เงินบาทที่ได้ = 10,000 × 0.2350 = 2,350 บาท - แปลงบาทเป็นเยน:
ถ้าคุณมี 20,000 บาท อยากแลกเป็นเยนสำหรับทริปญี่ปุ่น
เยนที่ได้ = 20,000 / 0.2400 = 83,333.33 เยน
ตัวอย่างการคำนวณในสถานการณ์จริงสำหรับคนไทย
- ท่องเที่ยวต่างประเทศ:
คุณจะไปเที่ยวเกาหลีใต้ อยากแลก 30,000 บาทเป็นวอนเกาหลี
สมมติอัตราขายคือ 1 วอน = 0.028 บาท (หรือ 1 บาท = 35.71 วอน)
วอนที่ได้ = 30,000 / 0.028 = 1,071,428.57 วอน
สรุป 30,000 บาทแลกได้ราว 1,071,428 วอน - ซื้อของออนไลน์:
คุณสั่งสินค้าจากเว็บต่างประเทศราคา 150 ดอลลาร์สหรัฐ
สมมติอัตราขายของบัตรเครดิตคือ 1 ดอลลาร์ = 36.20 บาท (รวมค่าธรรมเนียมแล้ว)
ค่าใช้จ่ายบาท = 150 × 36.20 = 5,430 บาท
สินค้า 150 ดอลลาร์เลยมีต้นทุนจริงประมาณ 5,430 บาท - รับ/ส่งเงินข้ามประเทศ:
แม่คุณที่อเมริกาส่งเงินมา 500 ดอลลาร์สหรัฐ
สมมติอัตราซื้อคือ 1 ดอลลาร์ = 35.50 บาท (หลังหักค่าธรรมเนียม)
เงินบาทที่ได้ = 500 × 35.50 = 17,750 บาท
คุณจะได้รับเงินราว 17,750 บาทจาก 500 ดอลลาร์
แหล่งข้อมูลอัตราแลกเปลี่ยนที่เชื่อถือได้และอัปเดต
การหาข้อมูลอัตราแลกเปลี่ยนที่ถูกต้องและสดใหม่เป็นกุญแจสำคัญในการตัดสินใจแลกเงินให้คุ้มค่า
ธนาคารแห่งประเทศไทย (BOT): แหล่งข้อมูลอ้างอิงหลัก
ธนาคารแห่งประเทศไทย ถือเป็นแหล่งข้อมูลหลักที่เชื่อถือได้ที่สุดในไทย โดย BOT ประกาศอัตราอ้างอิงสำหรับสกุลเงินสำคัญทุกวัน ซึ่งเป็นค่ากลางที่ใช้เป็นแนวทางสำหรับธุรกรรมต่างๆ แม้ธนาคารพาณิชย์จะมีอัตราที่ต่างกันบ้าง แต่ข้อมูลจาก BOT ช่วยให้คุณติดตามทิศทางโดยรวมได้ดี
เว็บไซต์และแอปพลิเคชันแปลงสกุลเงินยอดนิยม
ยุคนี้มีเครื่องมือออนไลน์และแอปมากมายที่ช่วยตรวจสอบและคำนวณอัตราแลกเปลี่ยนได้สะดวก เช่น
- Wise (เดิมชื่อ TransferWise): แพลตฟอร์มยอดฮิตสำหรับโอนเงินข้ามประเทศและแลกสกุลเงิน โดยใช้ค่ากลางตลาดที่ยุติธรรม แสดงค่าธรรมเนียมชัดเจน ช่วยให้คุณคำนวณต้นทุนจริงได้ง่าย
- Google Search: แค่พิมพ์ “อัตราแลกเปลี่ยน [สกุลเงิน]” หรือ “USD to THB” ก็เห็นอัตราปัจจุบันทันที
- XE.com: เว็บไซต์ดังที่ให้ข้อมูลเรียลไทม์ พร้อมเครื่องมือแปลงเงินใช้งานง่าย
อัตราแลกเปลี่ยนจากธนาคารพาณิชย์และร้านแลกเงิน
ธนาคารใหญ่ในไทยอย่างธนาคารกสิกรไทย ไทยพาณิชย์ กรุงเทพ หรือกรุงศรีอยุธยา มีบริการแลกเงินและอัปเดตอัตราบนเว็บหรือแอปของตัวเอง ซึ่งอาจต่างกันไปตามธนาคารและวัน ควรเช็คเปรียบเทียบก่อน ส่วนร้านแลกเงินเอกชนอย่าง SuperRich หรือ Vasu Exchange มักให้อัตราดีกว่าสำหรับสกุลหลัก แต่ต้องดูค่าธรรมเนียมและเงื่อนไขให้ดี
เปรียบเทียบวิธีคิดและเครื่องมือ: เลือกแบบไหนคุ้มค่าที่สุด?
การเลือกวิธีคำนวณและเครื่องมือที่เหมาะสม สามารถทำให้คุณประหยัดได้มากในระยะยาว
การคำนวณด้วยตนเอง vs. เครื่องมือออนไลน์
- คำนวณเอง: เหมาะถ้าคุณอยากเข้าใจหลักการลึกๆ หรือตรวจสอบข้อมูลจากแหล่งอื่น ข้อดีคือได้ความรู้ที่มาของตัวเลข แต่เสียเวลาบ้างและอาจพลาดถ้าไม่ระวัง
- เครื่องมือออนไลน์/แอป: รวดเร็ว สะดวก แม่นยำ สำหรับใช้ประจำวัน ข้อดีคือประหยัดเวลา ลดความผิดพลาด แต่คุณอาจไม่เห็นรายละเอียดที่มาของตัวเลขชัดเท่า ควรเลือกแหล่งที่น่าเชื่อถือ
ใช้ Excel คำนวณอัตราแลกเปลี่ยนอย่างมืออาชีพ
ถ้าคุณต้องติดตามอัตราแลกเปลี่ยนหลายตัว หรือทำบัญชีที่เกี่ยวข้องกับเงินต่างประเทศ Excel เป็นตัวช่วยที่ทรงพลัง คุณสามารถสร้างตารางคำนวณง่ายๆ ด้วยสูตรพื้นฐาน หรือใช้ฟังก์ชันขั้นสูงอย่าง GOOGLEFINANCE เพื่อดึงข้อมูลเรียลไทม์จาก Google Finance ถ้า Excel รองรับ
ตัวอย่างสูตรใน Excel:
- แปลง 100 ดอลลาร์เป็นบาท ถ้าอัตราขาย 1 ดอลลาร์ = 36.00 บาท:
เซลล์ A1: 100 (ดอลลาร์)
เซลล์ B1: 36.00 (อัตราขาย)
เซลล์ C1: =A1*B1 = 3,600 บาท - แปลง 5,000 บาทเป็นดอลลาร์ ถ้าอัตราขาย 36.00 บาท/ดอลลาร์:
เซลล์ A1: 5,000 (บาท)
เซลล์ B1: 36.00 (อัตราขาย)
เซลล์ C1: =A1/B1 ≈ 138.89 ดอลลาร์
การพิจารณาค่าธรรมเนียมและสเปรด (Spread) ในการแลกเงิน
หลายคนมองข้ามค่าธรรมเนียมและสเปรด ซึ่งเป็นตัวกำหนดเงินจริงที่คุณได้หรือจ่าย
- ค่าธรรมเนียม: อาจรวมค่าธรรมเนียมโอน ค่าบัตรเครดิตต่างประเทศ หรือคอมมิชชั่นแลกเงินสด ควรเช็คให้ชัดก่อนทำ
- สเปรด: ส่วนต่างระหว่างอัตราซื้อและขาย ยิ่งกว้างยิ่งเสียเปรียบ (ได้เงินน้อยลงหรือจ่ายมากขึ้น) บางบริการโฆษณาไม่มีค่าธรรมเนียมแต่รวมในสเปรดแทน
เคล็ดลับ:
- เปรียบเทียบอัตราฯ: ใช้เว็บเปรียบเทียบหรือเช็คหลายธนาคาร/ร้าน
- รวมค่าธรรมเนียมทั้งหมด: ดูไม่ใช่แค่อัตรา แต่รวมทุกอย่าง
- เลือกบริการโปร่งใส: อย่าง Wise ที่แสดงทุกอย่างชัดเจน
ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่ออัตราแลกเปลี่ยนเงิน
อัตราแลกเปลี่ยนไม่ได้นิ่งอยู่กับที่ แต่เปลี่ยนแปลงตามปัจจัยหลากหลายที่ส่งผลต่อมูลค่าเงิน
เศรษฐกิจและนโยบายการเงิน
สภาพเศรษฐกิจและนโยบายของธนาคารกลางมีอิทธิพลโดยตรงต่อค่าเงิน
- นโยบายดอกเบี้ย: ถ้าธนาคารแห่งประเทศไทยขึ้นดอกเบี้ย จะดึงดูดเงินทุนต่างชาติ ทำให้เงินบาทแข็งค่า
- เงินเฟ้อ: ประเทศที่มีเงินเฟ้อสูง มักเห็นค่าเงินอ่อนลง
- การเติบโต GDP: เศรษฐกิจแข็งแกร่งช่วยให้เงินแข็งค่า
- ดุลการค้า: ถ้าส่งออกมากกว่านำเข้า ความต้องการเงินบาทจะเพิ่ม ค่าเงินก็แข็ง
การเมืองและความมั่นคง
สถานการณ์การเมืองและความมั่นคงส่งผลต่อความเชื่อมั่นนักลงทุน ถ้ามีความไม่แน่นอน นักลงทุนอาจถอนทุน ทำให้เงินอ่อนค่า
อุปสงค์และอุปทานในตลาด (Supply and Demand)
ตามหลักเศรษฐศาสตร์ ถ้าความต้องการสกุลเงินสูงกว่าปริมาณที่มี มูลค่าก็จะขึ้น ในทางตรงข้าม ถ้าปริมาณล้นเกินความต้องการ ค่าเงินก็จะลดลง
สรุป: คำนวณอัตราแลกเปลี่ยนอย่างชาญฉลาดเพื่อประโยชน์สูงสุด
การเข้าใจวิธีคิดอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงิน ไม่ใช่แค่เรื่องตัวเลข แต่ช่วยยกระดับการจัดการเงินส่วนตัวและธุรกิจในโลกที่เชื่อมโยงกัน ด้วยความรู้เรื่องความหมาย ประเภทอัตรา สูตรคำนวณ แหล่งข้อมูลน่าเชื่อถือ รวมถึงปัจจัยที่影响ค่าเงินและค่าธรรมเนียม คุณจะตัดสินใจแลกเงินได้อย่างฉลาดและคุ้มค่า นำความรู้เหล่านี้ไปใช้ ไม่ว่าจะเที่ยว ช้อป หรือโอนเงินข้ามพรมแดน และอย่าลืมเช็คอัตราแลกเปลี่ยนล่าสุดเสมอ เพื่อไม่พลาดโอกาสดีๆ
วิธีคิดอัตราแลกเปลี่ยนเงินเยน (JPY) เป็นเงินบาทไทย (THB) ทำอย่างไร?
ถ้าต้องการแปลงเงินเยนเป็นบาท ใช้สูตร: เงินบาทที่ได้ = จำนวนเยน × อัตราซื้อ (เยนเป็นบาท) ตัวอย่าง ถ้าอัตราซื้อ 1 เยน = 0.2350 บาท และมี 10,000 เยน จะได้ 10,000 × 0.2350 = 2,350 บาท
ถ้าจะแลกเงินดอลลาร์สหรัฐ (USD) 1,000 บาทไทย จะได้ประมาณเท่าไหร่?
สำหรับแลกบาทเป็นดอลลาร์ ใช้สูตร: ดอลลาร์ที่ได้ = เงินบาท ÷ อัตราขาย (บาทเป็นดอลลาร์) ตัวอย่าง ถ้าอัตราขาย 1 ดอลลาร์ = 36.20 บาท และมี 1,000 บาท จะได้ 1,000 ÷ 36.20 ≈ 27.62 ดอลลาร์
มีสูตรคำนวณอัตราแลกเปลี่ยนเงินใน Excel สำหรับการทำบัญชีหรือไม่?
มีแน่นอน คุณใช้สูตรพื้นฐานใน Excel ได้ เช่น ถ้าเซลล์ A1 เป็นเงินบาท และ B1 เป็นอัตราขาย (บาทเป็นต่างประเทศ) ใช้ =A1/B1 เพื่อหาจำนวนต่างประเทศ หรือ =A1*B1 ถ้า B1 เป็นอัตราซื้อ (ต่างประเทศเป็นบาท) บางเวอร์ชันของ Excel ยังใช้ GOOGLEFINANCE ดึงข้อมูลเรียลไทม์ได้ด้วย
อัตราแลกเปลี่ยนเงินวันนี้ ดูได้จากที่ไหนที่เชื่อถือได้และอัปเดตที่สุดในประเทศไทย?
ดูได้จากแหล่งเชื่อถือได้หลายแห่ง:
- ธนาคารแห่งประเทศไทย (BOT): อัตราอ้างอิงอย่างเป็นทางการ เช็คที่เว็บ BOT
- เว็บธนาคารพาณิชย์: เช่น KBank, SCB, BBL สำหรับอัตราซื้อ-ขายแต่ละแห่ง
- ร้านแลกเงิน: เช่น SuperRich หรือ Vasu Exchange ที่มักให้อัตราดีกว่าสำหรับเงินสด
- แอป/เว็บแปลงเงิน: เช่น Wise หรือ XE.com สำหรับอัตรากลางและรวมค่าธรรมเนียม
เรทแลกเงินที่ธนาคารกับร้านแลกเงินต่างกันอย่างไร และควรเลือกใช้บริการแบบไหนดี?
โดยปกติ ร้านแลกเงินเอกชนอย่าง SuperRich ให้อัตราดีกว่าธนาคาร โดยเฉพาะเงินสดสกุลหลัก ส่วนธนาคารสะดวกสำหรับโอนเงินหรือใช้บัตรต่างประเทศ
คำแนะนำ:
- แลกเงินสดจำนวนมาก: เปรียบเทียบร้านหลายแห่ง
- โอนเงินต่างประเทศ: ลองธนาคารหรือ Wise ที่โปร่งใสเรื่องค่าธรรมเนียมและอัตรา
- ใช้จ่ายทั่วไปต่างประเทศ: บัตรเครดิต/เดบิตบางตัวที่เรทดี ค่าธรรมเนียมต่ำ
การโอนเงินไปต่างประเทศผ่าน Wise (TransferWise) คิดอัตราแลกเปลี่ยนแบบไหน และมีค่าธรรมเนียมเท่าไหร่?
Wise ใช้อัตรากลางตลาดที่ยุติธรรมที่สุดที่ธนาคารใช้กันเอง และแยกค่าธรรมเนียมโอนซึ่งต่ำและชัดเจนตั้งแต่แรก คุณเช็คอัตราและค่าทั้งหมดได้ที่ เว็บหรือแอป Wise ก่อนโอน เพื่อรู้แน่ๆ ว่าผู้รับได้เงินเท่าไร
ปัจจัยอะไรบ้างที่ทำให้อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทแข็งค่าหรืออ่อนค่าลง?
ปัจจัยหลักมีดังนี้:
- นโยบายการเงิน BOT: เช่น ปรับดอกเบี้ยขึ้นหรือลง
- เศรษฐกิจไทย: GDP เติบโต เงินเฟ้อ ดุลการค้า ดุลบัญชีเดินสะพัด
- การลงทุนต่างชาติ: ลงทุนเข้าไทยมาก เงินบาทแข็ง
- การเมืองและความมั่นคง: ไม่แน่นอนทำให้เงินอ่อน
- เศรษฐกิจโลก: นโยบายธนาคารกลางใหญ่ๆ อย่างสหรัฐฯ หรือยุโรป
วิธีหลีกเลี่ยงค่าธรรมเนียมแฝงในการแลกเปลี่ยนเงินต่างประเทศทำอย่างไร?
หลีกเลี่ยงได้ด้วยวิธี:
- เปรียบเทียบอัตราและค่าทั้งหมด: รวมค่าธรรมเนียมทำธุรกรรมด้วย
- ใช้บริการโปร่งใส: เลือกที่แสดงชัดเจนอย่าง Wise
- ระวังเรท 0% คอม: อาจรวมในอัตราแลกเปลี่ยนแทน
- ใช้บัตรเดินทาง: บัตร Travel Card มักเรทดี ค่าธรรมเนียมต่ำกว่าบัตรปกติ
ถ้าจะซื้อของออนไลน์จากต่างประเทศ ควรคำนวณค่าเงินอย่างไรให้ได้ราคาดีที่สุด?
เพื่อราคาดีที่สุด:
- เช็คอัตราบัตรเครดิต/เดบิต: ธนาคารมักมีอัตราตัวเองและ FX Fee 2-2.5%
- ชำระสกุลท้องถิ่นร้านค้า: เลือกชำระ USD แทน THB เพราะอัตราบัตรดีกว่า DCC ของร้าน
- ใช้บัตร Travel Card: เรทดีกว่า ค่าธรรมเนียมต่ำ
- เปรียบเทียบโอนเงิน: ถ้าสินค้าชิ้นใหญ่ ลอง Wise
อัตราอ้างอิงของธนาคารแห่งประเทศไทย (BOT) คืออะไร และแตกต่างจากอัตราตลาดทั่วไปอย่างไร?
อัตราอ้างอิง BOT คือค่ากลางที่ BOT ประกาศทุกวัน เพื่ออ้างอิงธุรกรรมและติดตามตลาดเงิน
ต่างจากอัตราตลาดทั่วไปอย่างไร:
- ค่ากลาง: ไม่ใช่อัตราจริงที่แลกได้ แต่เป็นฐานอ้างอิง
- ไม่รวมค่าธรรมเนียม/สเปรด: อัตราธนาคาร/ร้านมีสเปรดและค่าที่ผู้ให้บริการกำหนดเพื่อกำไร
- ติดตามแนวโน้ม: ใช้ดูทิศทางค่าเงิน แต่แลกจริงดูอัตราซื้อ-ขายแต่ละแห่ง