66, Broklyn St, New York, USA
Turning big ideas into great services!

cfd ย่อมาจากอะไร? 10 สิ่งที่นักลงทุนไทยต้องรู้ก่อนเริ่มเทรดสัญญาซื้อขายส่วนต่าง

Home / เริ่มต้นเทรด / cfd...

meetcinco_com | 29 10 月

cfd ย่อมาจากอะไร? 10 สิ่งที่นักลงทุนไทยต้องรู้ก่อนเริ่มเทรดสัญญาซื้อขายส่วนต่าง

บทนำ: CFD ย่อมาจากอะไร? ทำความเข้าใจก่อนเริ่มเทรด

ในยุคที่การลงทุนเต็มไปด้วยความซับซ้อนและการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เครื่องมืออย่าง CFD หรือที่รู้จักกันในชื่อสัญญาซื้อขายส่วนต่าง กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่นักลงทุน ไม่ว่าจะจากข่าวสารหรือการสนทนาในวงการ คำถามที่หลายคนสงสัยคือ CFD คืออะไรกันแน่ และมันช่วยเปิดโอกาสทำกำไรในตลาดการเงินได้อย่างไร บทความนี้จะพาคุณเจาะลึกถึงแก่นของ CFD ตั้งแต่ความหมาย วิธีการทำงาน ข้อดี ข้อเสีย รวมถึงความเสี่ยงที่ต้องระวัง โดยเฉพาะสำหรับนักลงทุนในไทย เพื่อให้คุณพร้อมก้าวเข้าสู่การเทรด CFD ด้วยความมั่นใจและความรู้ที่แน่นแฟ้น

ภาพประกอบนักลงทุนมองกราฟการเงินหลายแบบพร้อมเน้น CFD

CFD คืออะไร? ความหมายและหลักการทำงานพื้นฐาน

การเข้าใจ CFD อย่างแท้จริงเป็นก้าวแรกที่สำคัญสำหรับผู้ที่อยากค้นหาโอกาสในตลาดการเงิน เราจะมาดูนิยามและกลไกหลักของสัญญาซื้อขายส่วนต่างกัน เพื่อให้คุณเห็นภาพรวมที่ชัดเจนและนำไปใช้ได้จริง

สัญญาซื้อขายส่วนต่าง (CFD) คืออะไร? นิยามฉบับเต็ม

CFD ย่อมาจาก Contract for Difference หรือสัญญาซื้อขายส่วนต่างในภาษาไทย เป็นเครื่องมือทางการเงินประเภทอนุพันธ์ที่ช่วยให้นักลงทุนเก็งกำไรจากความผันผวนของราคาสินทรัพย์ต่างๆ โดยไม่ต้องถือครองสินทรัพย์นั้นจริงๆ กล่าวง่ายๆ คือ คุณไม่ได้ซื้อหุ้น ทองคำ หรือน้ำมันแบบเป็นเจ้าของ แต่กำลังทำข้อตกลงกับโบรกเกอร์เพื่อแลกเปลี่ยนส่วนต่างราคาตั้งแต่เปิดสัญญาจนถึงปิดสัญญา

คุณสมบัติหลักของ CFD คือไม่ให้สิทธิ์ในการเป็นเจ้าของสินทรัพย์ เช่น ไม่มีสิทธิ์โหวตในหุ้นหรือถือทองคำจริง แต่เน้นทำกำไรหรือรับขาดทุนจากความเคลื่อนไหวของราคาเท่านั้น ซึ่งทำให้ CFD มีความยืดหยุ่นสูงและเข้าถึงตลาดได้กว้างกว่าการลงทุนแบบเก่าๆ

ภาพประกอบมือสองข้างทำสัญญาบนกราฟราคาผันผวนแทนส่วนต่างราคา

กลไกการทำงานของ CFD: ซื้อขายส่วนต่างราคา

CFD ทำงานบนหลักการซื้อขายส่วนต่างราคาที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง นักลงทุนเลือกเปิดสัญญาซื้อหรือ Long ถ้าคิดว่าราคาสินทรัพย์จะขึ้น หรือขายหรือ Short ถ้าคาดว่าราคาจะลง

พอเปิดสัญญา ราคาปัจจุบันจะถูกบันทึกไว้ แล้วพอปิดสัญญา ส่วนต่างระหว่างราคาเปิดและปิดจะกลายเป็นกำไรหรือขาดทุน เช่น ถ้าคุณซื้อ CFD ทองคำที่ 2,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แล้วราคาขึ้นไป 2,020 ดอลลาร์ตอนปิด คุณกำไร 20 ดอลลาร์ แต่ถ้าลงเหลือ 1,980 ดอลลาร์ ก็ขาดทุน 20 ดอลลาร์

จุดเด่นของกลไกนี้คือ CFD ช่วยให้ทำกำไรได้ทั้งตลาดขึ้นและลง ซึ่งดึงดูดนักลงทุนที่ต้องการความคล่องตัวในการเทรด โดยเฉพาะในตลาดที่ผันผวน

สำคัญ! แยกให้ออก: CFD การเงิน VS Computational Fluid Dynamics (CFD วิศวกรรม)

ถ้าคุณค้นหาคำว่า CFD บนอินเทอร์เน็ต อาจเจอข้อมูลที่ไม่เกี่ยวข้องกันโดยสิ้นเชิง เพราะ CFD ไม่ได้หมายถึงแค่สัญญาซื้อขายส่วนต่างในวงการการเงินเท่านั้น แต่ยังเป็นตัวย่อในสาขาอื่นด้วย

ในโลกการเงิน ถ้าคุณเจอ CFD ที่หมายถึง Computational Fluid Dynamics อาจสับสนได้ง่าย สาขานี้เป็นส่วนหนึ่งของวิศวกรรมและฟิสิกส์ที่ใช้คอมพิวเตอร์จำลองการไหลของของไหลทั้งของเหลวและก๊าซ รวมถึงการถ่ายเทความร้อนและปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้อง มักนำไปใช้ในอุตสาหกรรมอย่างการออกแบบเครื่องบิน รถยนต์ พยากรณ์อากาศ หรือแม้แต่เครื่องมือแพทย์

แต่บทความนี้โฟกัสที่ CFD การเงินหรือ Contract for Difference ที่เราพูดถึง การแยกแยะระหว่างสองอย่างนี้จึงจำเป็น เพื่อให้คุณได้ข้อมูลที่ตรงจุดและเหมาะกับการลงทุน

ภาพประกอบแนวคิดสองอย่างที่แตกต่าง หนึ่งคือกราฟการเงิน อีกหนึ่งคือการไหลของของไหล

ฟีเจอร์หลักของการเทรด CFD ที่ต้องรู้

การเทรด CFD มีจุดเด่นหลายอย่างที่ทำให้มันน่าดึงดูด แต่ก็ต้องเข้าใจความเสี่ยงให้ลึกซึ้งด้วย เพื่อให้การตัดสินใจของคุณสมดุล

เลเวอเรจ (Leverage) และมาร์จิ้น (Margin): ดาบสองคมที่ควรรู้

คุณสมบัติที่ทำให้ CFD โดดเด่นคือเลเวอเรจหรืออัตราทด ซึ่งช่วยให้นักลงทุนควบคุมตำแหน่งเทรดที่มีมูลค่าสูงกว่าทุนจริงหลายเท่า เช่น ด้วยเลเวอเรจ 1:100 คุณใช้เงิน 1,000 บาท ควบคุมสินทรัพย์ 100,000 บาทได้

เลเวอเรจนี้ขยายกำไรได้มหาศาลถ้าทายถูก แต่ถ้าผิดพลาด ก็ขยายขาดทุนเช่นกัน สำหรับมาร์จิ้นหรือเงินประกัน คือทุนที่ต้องวางกับโบรกเกอร์เพื่อเปิดและรักษาตำแหน่ง ถ้าตลาดสวนทางจนทุนเหลือต่ำกว่ามาร์จิ้นที่กำหนด อาจโดนเรียกเพิ่มหรือ Margin Call ถ้าไม่เติม ระบบอาจปิดตำแหน่งอัตโนมัติเพื่อจำกัดความเสียหาย

การจัดการเลเวอเรจและมาร์จิ้นจึงเป็นกุญแจสำคัญ โดยเฉพาะสำหรับมือใหม่ที่อาจมองข้ามผลกระทบ

สินค้าอ้างอิง (Underlying Assets) ที่สามารถเทรด CFD ได้

CFDs โดดเด่นด้วยความหลากหลายของสินทรัพย์ที่เทรดได้ ทำให้คุณมีตัวเลือกมากในการเก็งกำไร สินทรัพย์หลักๆ ได้แก่

  • หุ้น (Stocks): เทรดหุ้นบริษัทใหญ่ทั่วโลกโดยไม่ต้องถือหุ้นจริง เปิดโอกาสเข้าถึงตลาดต่างประเทศง่ายดาย
  • ดัชนี (Indices): เช่น S&P 500, Dow Jones, FTSE 100, DAX 30 ที่รวมหุ้นหลายตัว ช่วยเก็งกำไรภาพรวมเศรษฐกิจหรืออุตสาหกรรม
  • สินค้าโภคภัณฑ์ (Commodities): อย่างทองคำ, น้ำมันดิบ, เงิน, ก๊าซธรรมชาติ
  • สกุลเงิน (Forex): คู่เงินหลักเช่น EUR/USD, GBP/JPY, USD/THB สำหรับเก็งกำไรอัตราแลกเปลี่ยน
  • คริปโตเคอร์เรนซี (Cryptocurrencies): บางโบรกเกอร์มี CFD สำหรับ Bitcoin, Ethereum โดยไม่ต้องมีกระเป๋าเงินดิจิทัล

ความหลากหลายนี้ไม่เพียงช่วยกระจายความเสี่ยง แต่ยังเปิดโอกาสใหม่ๆ ในตลาดที่แตกต่าง

การซื้อขายได้ทั้งขาขึ้นและขาลง (Long & Short Positions)

อีกจุดเด่นคือ CFD ช่วยทำกำไรได้ทั้งตลาดขึ้นและลง เพิ่มความยืดหยุ่นให้กลยุทธ์การเทรด

  • สถานะซื้อ (Long Position): ถ้าคิดว่าราคาจะขึ้น เปิด Buy หรือ Long แล้วกำไรจากส่วนต่างถ้าราคาขึ้นจริง
  • สถานะขาย (Short Position): ถ้าคิดว่าราคาจะลง เปิด Sell หรือ Short แล้วกำไรจากส่วนต่างถ้าราคาลง

ต่างจากการลงทุนหุ้นแบบเดิมที่กำไรหลักจากราคาขึ้นหรือปันผล CFD นี้เหมาะกับตลาดที่ผันผวนสูง โดยเฉพาะนักเทรดที่ชอบปรับตัวตามสถานการณ์

ข้อดีและข้อเสียของการเทรด CFD

เหมือนเครื่องมือลงทุนอื่นๆ CFD มีทั้งด้านบวกที่ดึงดูดและด้านลบที่ต้องชั่งน้ำหนักให้ดี

ข้อดี: โอกาสและทางเลือกที่หลากหลาย

  • ความยืดหยุ่นในการเทรด (Long & Short): กำไรได้ทั้งตลาดขึ้นลง เปิดโอกาสในทุกสภาวะ
  • การใช้เลเวอเรจ (Leverage): ควบคุมตำแหน่งใหญ่ด้วยทุนน้อย เพิ่มศักยภาพกำไร (แต่ต้องระวังความเสี่ยง)
  • เข้าถึงตลาดที่หลากหลาย: เทรดหุ้น ดัชนี สินค้าโภคภัณฑ์ สกุลเงิน ทั่วโลก โดยไม่ต้องมีหลายบัญชี
  • สภาพคล่องสูง: เข้าออกตำแหน่งได้เร็วเพราะตลาดเคลื่อนไหวดี
  • ต้นทุนการซื้อขายต่ำ: หลายโบรกเกอร์มีสเปรดแข่งขันและอาจไม่มีค่าคอมมิชชั่น

ข้อดีเหล่านี้ทำให้ CFD เป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับนักลงทุนที่ต้องการความรวดเร็วและหลากหลาย

ข้อเสีย: ความเสี่ยงสูงและข้อควรระวัง

  • ความเสี่ยงจากเลเวอเรจ: ขยายขาดทุนได้เร็ว ถ้าตลาดสวนทาง อาจเสียทุนทั้งหมดหรือติดลบเกินทุนเดิม
  • ความผันผวนของตลาด: โดยเฉพาะจากข่าวเศรษฐกิจหรือเหตุการณ์ไม่คาดคิด ราคาอาจพุ่งหรือร่วงแรง
  • ความซับซ้อน: กลไก CFD การจัดการมาร์จิ้นและเลเวอเรจ อาจยากสำหรับมือใหม่
  • ค่าธรรมเนียมข้ามคืน (Overnight Fees/Swap): ถ้าถือตำแหน่งข้ามคืน อาจเสียค่าถือหรือได้เครดิตเล็กน้อย ขึ้นกับดอกเบี้ยสกุลเงิน
  • ขาดทุนได้เกินเงินลงทุน: ในกรณีตลาดผันผวนรุนแรงหรือมีช่องว่างราคา อาจเสียเกินทุนที่ฝาก

แม้จะมีข้อเสีย แต่ถ้าจัดการดี CFD ก็ยังเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์

CFD กับการลงทุนรูปแบบอื่น: แตกต่างกันอย่างไร?

เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจว่า CFD เหมาะกับตัวเองไหม เรามาเปรียบเทียบกับรูปแบบลงทุนอื่นๆ กัน จะได้เห็นภาพชัดขึ้น

CFD เทียบกับ หุ้น (Stocks)

การลงทุนหุ้นแบบดั้งเดิมคือซื้อหุ้นบริษัทจริง ทำให้คุณเป็นเจ้าของส่วนหนึ่ง มีสิทธิ์โหวตและรับปันผล

  • การเป็นเจ้าของ: CFD ไม่ให้สิทธิ์เป็นเจ้าของ แต่หุ้นให้
  • เลเวอเรจ: CFD มีเลเวอเรจช่วยเทรดทุนน้อย หุ้นส่วนใหญ่ไม่มี (เว้น Margin Loan ที่เสี่ยงสูง)
  • การทำกำไร: CFD กำไรทั้งขึ้นลง หุ้นหลักจากราคาขึ้นและปันผล
  • ภาษี: หุ้นไทยมีกฎชัด เช่น ยกเว้นภาษีกำไรส่วนต่างใน SET สำหรับบุคคลธรรมดา และภาษีปันผล 10% CFD ซับซ้อนกว่า (ดูหัวข้อถัดๆ ไป)
  • ความยืดหยุ่น: CFD เข้าถึงตลาดต่างประเทศและสินค้าหลากหลายง่ายกว่า

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับตลาดหุ้นไทย ลองดูที่เว็บไซต์ของ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)

CFD เทียบกับ Forex (สกุลเงิน)

การเทรด Forex คือซื้อขายคู่สกุลเงินเพื่อเก็งกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน

  • ลักษณะ: Forex สมัยนี้ส่วนใหญ่เทรดผ่าน CFD หมายความว่าคุณเทรดสัญญาส่วนต่างของคู่เงิน ไม่ใช่แลกเงินจริง
  • เลเวอเรจ: ทั้งคู่ใช้เลเวอเรจสูง ช่วยเทรดทุนน้อย
  • ตลาด: Forex มีสภาพคล่องสูงสุด เปิด 24 ชั่วโมง 5 วัน เหมือน CFD ในคู่เงิน
  • ความเสี่ยง: เสี่ยงสูงทั้งคู่จากเลเวอเรจและผันผวน

สรุปคือ ถ้าเทรด Forex กับโบรกเกอร์ CFD คุณกำลังเทรด CFD อยู่แล้ว

CFD เทียบกับ Futures (สัญญาซื้อขายล่วงหน้า)

Futures คือสัญญาซื้อหรือขายสินทรัพย์ในราคาและวันกำหนดล่วงหน้า

  • วันหมดอายุ: Futures มีวันหมดอายุต้องปิดหรือ Roll Over CFD ส่วนใหญ่ไม่มี ทำให้ถือยาวได้ยืดหยุ่น
  • การส่งมอบ: Futures บางตัวส่งมอบจริง แต่ CFD ชำระเงินสดเสมอ
  • ขนาดสัญญา: Futures ขนาดใหญ่มาตรฐาน CFD ขนาดยืดหยุ่นกว่า
  • การกำกับดูแล: Futures เข้มงวดจากหน่วยงานตลาด CFD ขึ้นกับโบรกเกอร์และประเทศ

การเปรียบเทียบนี้ช่วยให้เห็นว่า CFD เหมาะกับเทรดเดอร์ที่ต้องการความคล่องตัวมากกว่า

สิ่งที่นักเทรดไทยต้องรู้: ภาษีและการเลือกโบรกเกอร์ CFD

สำหรับนักลงทุนไทย การรู้เรื่องภาษีและการเลือกโบรกเกอร์ CFD ที่เชื่อถือได้คือสิ่งที่ขาดไม่ได้ เพื่อความปลอดภัยและถูกต้อง

CFD เสียภาษีไหมในประเทศไทย?

ภาษีจาก CFD ในไทยยังเป็นประเด็นที่หลายคนงง เพราะซับซ้อนกว่าหุ้นไทย

ตามกฎหมายไทย กำไรจากการลงทุนคือเงินได้พึงประเมินต้องเสียภาษี โดยกำไร CFD จัดเป็นเงินได้อื่นๆ มาตรา 40(4)(ช) นำรวมคำนวณภาษีบุคคลธรรมดาอัตราก้าวหน้า

  • กำไรจากการซื้อขาย (Capital Gains): นำรวมคำนวณภาษี ไม่ยกเว้นเหมือนหุ้น SET สำหรับบุคคลธรรมดา
  • การหักภาษี ณ ที่จ่าย: โบรกเกอร์ต่างประเทศมักไม่หัก นักลงทุนต้องยื่นเอง
  • การคำนวณและการยื่นภาษี: บันทึกการเทรด คำนวณกำไรสุทธิ แล้วยื่นกับ กรมสรรพากร ประจำปี

ข้อควรระวัง: ถ้าไม่ยื่นถูกต้อง อาจโดนลงโทษ ถ้าไม่แน่ใจ ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญภาษีดีกว่า

วิธีเลือกโบรกเกอร์ CFD ที่น่าเชื่อถือและเหมาะสมสำหรับนักเทรดไทย

การเลือกโบรกเกอร์ดีๆ คือพื้นฐานของความสำเร็จในการเทรด นักเทรดไทยควรดูปัจจัยเหล่านี้

  • การกำกับดูแล (Regulation): เลือกที่ได้รับอนุมัติจากหน่วยงานดังอย่าง FCA (UK), ASIC (ออสเตรเลีย), CySEC (ไซปรัส) ในไทย กลต. ยังไม่กำกับ CFD โดยตรง เลยต้องพึ่งโบรกเกอร์ต่างประเทศที่น่าเชื่อถือ
  • แพลตฟอร์มการซื้อขาย: ใช้งานง่าย เสถียร มีเครื่องมือวิเคราะห์ครบ เช่น MT4, MT5 หรือแพลตฟอร์มเฉพาะ
  • สเปรดและค่าธรรมเนียม: เปรียบเทียบให้โปร่งใสและราคาดี
  • สินทรัพย์ที่เทรดได้: เช็คว่ามีหุ้น ดัชนี ทองคำ น้ำมัน คู่เงินที่คุณสนใจไหม
  • บริการลูกค้า: ติดต่อง่าย รวดเร็ว ถ้ามีภาษาไทยยิ่งดี
  • ช่องทางการฝาก-ถอนเงิน: สะดวกสำหรับคนไทย เช่น โอนธนาคารหรือ E-wallet ยอดนิยม

การเลือกดีๆ จะช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มประสบการณ์การเทรด

สรุป: CFD เหมาะกับใคร และข้อคิดก่อนเริ่มเทรด

CFDs หรือสัญญาซื้อขายส่วนต่าง เป็นเครื่องมือทางการเงินที่ทรงพลังสำหรับเก็งกำไรจากราคาในตลาดหลากหลาย ไม่ว่าจะหุ้น ดัชนี สินค้าโภคภัณฑ์ หรือสกุลเงิน ด้วยเลเวอเรจและการทำกำไรทั้งขึ้นลง ทำให้มันเหมาะกับนักลงทุนที่ชอบความยืดหยุ่นและความเร็ว

แต่ CFD เสี่ยงสูงมาก โดยเฉพาะเลเวอเรจที่ขยายขาดทุนได้รวดเร็ว อาจเสียทุนหมดหรือติดลบเกินเดิม

CFDs เหมาะสำหรับ:

  • นักลงทุนที่รู้จักตลาดและกลไก CFD ดี
  • คนที่รับความเสี่ยงสูงและเข้าใจเลเวอเรจ
  • ผู้มีวินัยจัดการความเสี่ยงและทุน
  • เทรดเดอร์ที่อยากเข้าถึงตลาดหลากหลายและกลยุทธ์ซับซ้อน

ข้อคิดก่อนเริ่มเทรด CFD:

  1. ศึกษาลึกซึ้ง: เข้าใจ CFD ให้ชัด ฝึกในบัญชีทดลองก่อนใช้เงินจริง
  2. เริ่มด้วยทุนที่ยอมเสียได้: ลงทุนเฉพาะเงินที่พร้อมสูญเสีย
  3. บริหารความเสี่ยงเข้มงวด: ตั้ง Stop Loss ชัดเจน อย่าใช้เลเวอเรจเกินตัว
  4. เลือกโบรกเกอร์น่าเชื่อถือ: ตรวจ regulation ประวัติ บริการ
  5. เข้าใจภาษี: รู้ภาระภาษีในไทย เตรียมยื่นให้ถูก

การเทรด CFD ท้าทายแต่ถ้าพร้อมและรู้จริง มันอาจช่วยให้บรรลุเป้าหมายการเงินได้

CFD ย่อมาจากอะไร และมีความหมายแตกต่างจาก CFD ในด้านวิศวกรรมอย่างไร?

CFDs ย่อมาจาก Contract for Difference หรือสัญญาซื้อขายส่วนต่างในแวดวงการเงิน ใช้เก็งกำไรจากความเปลี่ยนแปลงราคาสินทรัพย์โดยไม่ต้องถือครองจริง

แต่ในวิศวกรรม CFD คือ Computational Fluid Dynamics การจำลองการไหลของของไหลด้วยคอมพิวเตอร์ ในสาขาฟิสิกส์และวิศวกรรม

การเทรด CFD (สัญญาซื้อขายส่วนต่าง) ถูกกฎหมายและมีหน่วยงานกำกับดูแลในประเทศไทยหรือไม่?

ในไทย กลต. ยังไม่มีกฎเฉพาะสำหรับ CFD โดยตรง นักลงทุนไทยจึงเทรดผ่านโบรกเกอร์ต่างประเทศที่กำกับโดยหน่วยงานอย่าง FCA, ASIC, CySEC ซึ่งต้องเลือกอย่างรอบคอบเพื่อความปลอดภัย

นักเทรด CFD ในประเทศไทยต้องเสียภาษีกำไรอย่างไร และมีวิธีการคำนวณภาษีอย่างไร?

กำไร CFD จัดเป็นเงินได้อื่นๆ มาตรา 40(4)(ช) ต้องนำรวมภาษีบุคคลธรรมดาอัตราก้าวหน้า

นักลงทุนบันทึกกำไรขาดทุน ยื่นเองกับกรมสรรพากร ไม่ยกเว้นเหมือนหุ้น SET คำนวณจากกำไรสุทธิรวมเงินได้ทั้งหมด

CFD แตกต่างจากการลงทุนในหุ้น, Forex และ Futures อย่างไรบ้าง และแบบไหนเหมาะกับนักลงทุนไทยมากกว่า?

  • หุ้น: CFD ไม่ให้เป็นเจ้าของ มีเลเวอเรจ กำไรทั้งขึ้นลง หุ้นให้สิทธิ์ปันผลและเป็นเจ้าของ
  • Forex: Forex มักเป็น CFD ของคู่เงิน เลเวอเรจสูง ผันผวนคล้ายกัน
  • Futures: Futures มีวันหมดอายุและส่งมอบบางตัว CFD ไม่มี ชำระเงินสด

ขึ้นกับความรู้และความเสี่ยงที่รับได้ ถ้าชอบถือยาวรับปันผล หุ้นดีกว่า ถ้าเก็งกำไรสั้นเสี่ยงสูง CFD หรือ Forex อาจเหมาะ

มีโบรกเกอร์ CFD เจ้าไหนบ้างที่น่าเชื่อถือและได้รับความนิยมในหมู่นักเทรดชาวไทย?

โบรกเกอร์ยอดนิยมสำหรับคนไทยคือต่างประเทศที่กำกับโดย FCA, ASIC, CySEC พิจารณาจาก regulation แพลตฟอร์มเสถียร สเปรดดี บริการลูกค้าดี รองรับภาษาไทย และฝากถอนสะดวก

  • ตัวอย่าง: XM, Exness, FBS, IC Markets

ควรศึกษารีวิวละเอียดก่อนเลือก

นักเทรดมือใหม่ควรเริ่มต้นเทรด CFD ด้วยเงินลงทุนเท่าไหร่ และมีกลยุทธ์ลดความเสี่ยงอะไรบ้าง?

มือใหม่เริ่มด้วยทุนน้อย เช่น 100-500 USD (ราว 3,000-15,000 บาท) และฝึกใน Demo Account ก่อนจนชำนาญ

กลยุทธ์ลดเสี่ยง:

  • ตั้ง Stop Loss ทุกเทรด
  • ใช้เลเวอเรจต่ำ
  • ลงทุนไม่เกินที่ยอมเสีย
  • กระจายสินทรัพย์
  • วางแผนเทรดดีๆ

การใช้เลเวอเรจในการเทรด CFD มีข้อดีและข้อเสียอย่างไร และควรใช้อย่างไรให้เหมาะสม?

ข้อดี: ควบคุมตำแหน่งใหญ่ด้วยทุนน้อย เพิ่มโอกาสกำไรสูง

ข้อเสีย: ขยายขาดทุนเร็ว อาจเสียหมดหรือติดลบเกินทุน

ใช้เหมาะสม: เลือกระดับต่ำตามทุน ผันผวนสินค้า และความเสี่ยงที่รับได้

สามารถเทรด CFD สินค้าโภคภัณฑ์อย่างทองคำหรือน้ำมันผ่านโบรกเกอร์ในไทยได้หรือไม่?

โบรกเกอร์ไทยที่กลต. กำกับมักไม่มี CFD โดยตรง ถ้าอยากเทรดทองคำหรือน้ำมัน ต้องใช้โบรกเกอร์ต่างประเทศที่ให้บริการเอเชีย ซึ่งมีสินค้าโภคภัณฑ์หลากหลาย

หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการเทรด CFD ในประเทศไทย ควรปรึกษาใครหรือหน่วยงานใด?

ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญการเงินที่มีใบอนุญาตหรือที่ปรึกษาภาษีสำหรับคำแนะนำเฉพาะบุคคล

ข้อมูลทั่วไปติดต่อ กลต. แต่กลต. ไม่กำกับโบรกเกอร์ CFD ต่างประเทศโดยตรง

การเทรด CFD มีข้อควรระวังหรือสิ่งที่นักลงทุนไทยมักเข้าใจผิดบ่อยๆ คืออะไรบ้าง?

ความเข้าใจผิดที่พบบ่อยในไทย:

  • คิดว่าเป็นเจ้าของสินทรัพย์: จริงๆ คือเก็งกำไรส่วนต่างราคา
  • มองข้ามเสี่ยงเลเวอเรจ: คิดว่าดีอย่างเดียว แต่ขยายขาดทุนได้
  • ไม่รู้ภาษี: คิดว่าไม่เสียเหมือนหุ้นไทย
  • เลือกโบรกเกอร์ไม่เช็ค regulation: เสี่ยงโดนโกง
  • ไม่จัดการเสี่ยง: ไม่ตั้ง Stop Loss หรือลงทุนเกินตัว

發佈留言