บทนำ: ทำความเข้าใจ Bullish คืออะไรในโลกการลงทุน
โลกแห่งการลงทุนเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนและโอกาสมากมาย คำว่า “Bullish” ถือเป็นศัพท์พื้นฐานที่นักลงทุนทุกประเภทควรรู้จักให้ลึกซึ้ง ไม่ว่าคุณจะเพิ่งเริ่มต้นหรือมีประสบการณ์มานานแล้ว การเข้าใจแนวโน้มขาขึ้นอย่าง Bullish ก็เป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยให้คุณตัดสินใจลงทุนได้อย่างมีเหตุผล คำนี้โดยหลักแล้วหมายถึงสถานการณ์ที่ตลาดหรือสินทรัพย์ใด ๆ แสดงแนวโน้มราคาสูงขึ้นอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งสะท้อนถึงความมั่นใจของนักลงทุนและภาพรวมเศรษฐกิจ ในบทความนี้ เราจะสำรวจความหมายของ Bullish อย่างละเอียด รวมถึงลักษณะเด่น วิธีสังเกตในตลาดการเงินหลากหลาย เช่น หุ้นและคริปโตเคอร์เรนซี พร้อมเคล็ดลับกลยุทธ์และเครื่องมือที่เหมาะสำหรับนักลงทุนชาวไทย เพื่อช่วยให้คุณจับจังหวะตลาดขาขึ้นได้อย่างชาญฉลาด

Bullish คืออะไร? นิยามและที่มา
ความหมายของ Bullish
คำว่า Bullish ในวงการตลาดการเงิน ใช้บรรยายถึงภาวะที่ราคาสินทรัพย์ ดัชนีตลาด หรือแม้แต่เศรษฐกิจทั้งระบบมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง นักลงทุนที่มองในแง่ Bullish มักเชื่อว่าราคาจะเพิ่มขึ้นและตลาดโดยรวมแข็งแกร่ง ที่มาของคำนี้มาจากภาพของกระทิง ซึ่งเมื่อโจมตีจะใช้เขาแทงชูขึ้นด้านบน คล้ายกับการผลักดันราคาให้พุ่งสูง เหตุผลนี้ทำให้กระทิงกลายเป็นสัญลักษณ์ของแนวโน้มบวกในตลาด

Bullish กับ Bearish แตกต่างกันอย่างไร
ตรงข้ามกับ Bullish คือ Bearish ซึ่งหมายถึงภาวะที่ราคาสินทรัพย์มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยใช้หมีเป็นสัญลักษณ์ เพราะหมีเมื่อโจมตีจะตวัดกรงเล็บลงด้านล่าง คล้ายการกดราคาให้ต่ำลง ความแตกต่างหลักระหว่างสองภาวะนี้สามารถสรุปได้จากตารางด้านล่าง ซึ่งช่วยให้นักลงทุนปรับกลยุทธ์ให้เหมาะกับสถานการณ์ตลาดได้ดีขึ้น
ลักษณะ | Bullish (กระทิง) | Bearish (หมี) |
---|---|---|
อารมณ์ตลาด | มองโลกในแง่ดี มีความเชื่อมั่น | มองโลกในแง่ร้าย มีความกังวล |
ราคา | แนวโน้มขึ้น ทำจุดสูงสุดใหม่ | แนวโน้มลง ทำจุดต่ำสุดใหม่ |
ปริมาณการซื้อขาย | สูงเมื่อราคาขึ้น ต่ำเมื่อราคาลง | สูงเมื่อราคาลง ต่ำเมื่อราคาขึ้น |
พฤติกรรมนักลงทุน | ซื้อเพื่อทำกำไรจากการขึ้น | ขายเพื่อจำกัดความเสียหาย |
เศรษฐกิจ | มีแนวโน้มเติบโต แข็งแกร่ง | มีแนวโน้มชะลอตัว อ่อนแอ |
การรู้จักแยกแยะระหว่าง Bullish และ Bearish ช่วยให้นักลงทุนเตรียมตัวรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดไทยเผชิญกับปัจจัยภายนอกที่ผันผวน
สัญญาณและลักษณะของตลาด Bullish (ตลาดกระทิง)
การจับสัญญาณของตลาด Bullish หรือที่เรียกอีกชื่อว่าตลาดกระทิง เป็นทักษะที่นักลงทุนควรฝึกฝน เพื่อวางแผนการลงทุนให้ตรงจุด ตลาดในภาวะนี้มักแสดงลักษณะชัดเจนที่บ่งบอกถึงอารมณ์บวกของผู้เล่นในตลาด

ราคาและการเคลื่อนไหวของสินทรัพย์
หนึ่งในสัญญาณที่เห็นได้ชัดในตลาด Bullish คือการเคลื่อนไหวของราคาและปริมาณการซื้อขาย สินทรัพย์ส่วนใหญ่จะปรับราคาขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยสร้างจุดสูงสุดที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ และจุดต่ำสุดที่ยังคงสูงกว่าก่อนหน้าในกราฟราคา ซึ่งยืนยันถึงแนวโน้มขาขึ้นที่มั่นคง นอกจากนี้ ปริมาณการซื้อขายมักพุ่งสูงในช่วงที่ราคากำลังขึ้น และลดลงเล็กน้อยเมื่อราคาพักตัวชั่วคราว สิ่งนี้บ่งชี้ถึงความสนใจที่เพิ่มขึ้นจากนักลงทุนที่เข้ามาซื้อสะสม
ปัจจัยที่ส่งผลต่ออารมณ์ตลาด Bullish
ภาวะ Bullish ไม่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่ได้รับแรงหนุนจากปัจจัยหลายประการที่สร้างความเชื่อมั่นและมุมมองเชิงบวกในตลาด เช่น เศรษฐกิจที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ตัวชี้วัดมหภาคอย่าง GDP ที่เติบโต อัตราการว่างงานที่ลดลง และการบริโภคของประชาชนที่สูงขึ้น นอกจากนี้ ผลประกอบการของบริษัทที่เกินความคาดหมายและมีแนวโน้มกำไรเพิ่มขึ้น ก็ช่วยกระตุ้นให้นักลงทุนมั่นใจในตลาดหุ้นมากยิ่งขึ้น ขณะที่นโยบายจากรัฐบาลหรือธนาคารกลาง เช่น การลดดอกเบี้ยหรือมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ก็เป็นตัวเร่งสำคัญที่ผลักดันตลาดให้เข้าสู่โหมดบวก ในทางกลับกัน ความเชื่อมั่นของนักลงทุนเองก็ช่วยสร้างวงจรเชิงบวก โดยยิ่งมั่นใจมากเท่าไหร่ การลงทุนก็ยิ่งเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ราคาพุ่งสูงต่อเนื่อง
Bullish ในตลาดการเงินประเภทต่างๆ (พร้อมตัวอย่างในไทย)
แนวคิด Bullish ไม่ได้จำกัดแค่ตลาดหุ้น แต่ยังขยายไปสู่ตลาดการเงินอื่น ๆ ด้วย โดยแต่ละตลาดจะมีลักษณะเฉพาะและปัจจัยขับเคลื่อนที่แตกต่าง เพื่อให้นักลงทุนไทยเข้าใจได้ชัดเจนยิ่งขึ้น เราจะยกตัวอย่างที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ในประเทศ
Bullish ในตลาดหุ้น
สำหรับตลาดหุ้นไทย ภาวะ Bullish เกิดขึ้นเมื่อดัชนี SET Index พุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่ง หุ้นส่วนใหญ่ในตลาดปรับตัวสูง และนักลงทุนแสดงความมั่นใจชัดเจน ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือช่วงที่เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวหลังวิกฤตต่าง ๆ หรือเมื่อมีนโยบายกระตุ้นขนาดใหญ่ ซึ่งทำให้ SET Index ทะลุแนวต้านและสร้างจุดสูงสุดใหม่ นักลงทุนสามารถติดตามข้อมูลล่าสุดได้จาก เว็บไซต์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อวิเคราะห์แนวโน้มได้อย่างแม่นยำ
Bullish ในตลาดทองคำ
ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่นักลงทุนมองว่าเป็นที่หลบภัย ในช่วงที่เกิดความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ การเมืองขัดแย้ง หรือเงินเฟ้อพุ่งสูง มักจะเห็นแนวโน้ม Bullish ชัดเจน เพราะผู้คนหันมาถือทองเพื่อรักษามูลค่า ตัวอย่างเช่น หากเกิดวิกฤตเศรษฐกิจโลกหรือค่าเงินบาทอ่อนค่าต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ราคาทองในไทยที่ร้านอย่าง ฮั่วเซ่งเฮง ก็มักปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว สิ่งนี้ช่วยให้นักลงทุนไทยใช้ทองคำเป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงในพอร์ต
Bullish ในตลาดคริปโตเคอร์เรนซี
ตลาดคริปโตมีเอกลักษณ์ด้วยความผันผวนสูง ทำให้ Bullish ในตลาดนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรง โดยเฉพาะในสกุลเงินหลักอย่าง Bitcoin และ Ethereum ที่มักนำร่องให้ Altcoin อื่น ๆ ขึ้นตาม ปัจจัยกระตุ้นหลัก ได้แก่ การยอมรับจากสถาบันการเงิน นวัตกรรมบล็อกเชนใหม่ ๆ หรือข่าวดีเรื่องกฎระเบียบ สำหรับนักลงทุนไทย สามารถติดตามแนวโน้มเหล่านี้ผ่านแพลตฟอร์มชั้นนำอย่าง Bitkub หรือ Binance ซึ่งช่วยให้เข้าถึงข้อมูลแบบเรียลไทม์
Bullish ในตลาด Forex
ในตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ หรือ Forex ภาวะ Bullish หมายถึงสกุลเงินของประเทศใดประเทศหนึ่งที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับคู่สกุลอื่น ตัวอย่างเช่น ถ้าเศรษฐกิจไทยเติบโตแข็งแกร่ง ดอกเบี้ยในประเทศสูงขึ้น หรือมีเงินทุนไหลเข้าจากต่างชาติ ค่าเงินบาท (THB) ก็จะแสดงแนวโน้ม Bullish ต่อดอลลาร์สหรัฐฯ (USD) ทำให้คู่ USD/THB ลดลง นักลงทุนสามารถตรวจสอบนโยบายและข้อมูลเศรษฐกิจจาก ธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อคาดการณ์การเคลื่อนไหวของค่าเงินได้ดีขึ้น
เจาะลึก Bullish Divergence และ Bullish Flag: สัญญาณขาขึ้นขั้นสูง
นอกเหนือจากการดูแนวโน้มพื้นฐานแล้ว นักลงทุนขั้นสูงมักอาศัยสัญญาณทางเทคนิคเพื่อหาจุดเข้า-ออกที่แม่นยำ โดยเฉพาะ Bullish Divergence และ Bullish Flag ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ช่วยยืนยันโอกาสในตลาดขาขึ้น
Bullish Divergence คืออะไรและดูอย่างไร
Bullish Divergence หรือสัญญาณกระทิงที่ขัดแย้งกัน เป็นตัวบ่งชี้การกลับตัวจากขาลงสู่ขาขึ้นที่สำคัญ มักปรากฏเมื่อราคาสินทรัพย์สร้างจุดต่ำสุดใหม่ แต่ตัวชี้วัดทางเทคนิคอย่าง RSI หรือ MACD กลับสร้างจุดต่ำสุดที่สูงขึ้นหรือไม่ลดลงตาม สิ่งนี้แสดงถึงแรงขายที่เริ่มอ่อนแอ และอาจมีแรงซื้อเข้ามาแทนที่ในเร็ววัน
วิธีสังเกต: บนแพลตฟอร์มซื้อขายในไทย เช่น Streaming by Settrade สำหรับหุ้น หรือ Bitkub สำหรับคริปโต ให้เปิดกราฟแท่งเทียนคู่กับ RSI หรือ MACD ถ้าคุณเห็นราคาลดลงต่อเนื่องแต่เส้นตัวชี้วัดยกขึ้น นั่นคือสัญญาณ Bullish Divergence ที่บอกถึงโอกาสพลิกกลับสู่ขาขึ้น โดยเฉพาะในตลาดหุ้นไทยที่มักมีสัญญาณนี้ก่อนการฟื้นตัวใหญ่
Bullish Flag คืออะไรและใช้เทรดอย่างไร
Bullish Flag หรือรูปแบบธงกระทิง เป็นแพทเทิร์นกราฟที่บ่งบอกถึงการสานต่อแนวโน้มขาขึ้น เกิดขึ้นหลังราคาพุ่งขึ้นแรง ๆ (ส่วน Pole) แล้วตามด้วยการพักตัวในช่องขนานที่เอียงลงเล็กน้อย (ส่วน Flag) ซึ่งเป็นช่วงที่แรงซื้อและขายสมดุลกันชั่วคราว
วิธีเทรด: เมื่อราคาทะลุแนวต้านด้านบนของธง (Breakout) ถือเป็นสัญญาณยืนยันแนวโน้มต่อเนื่อง นักลงทุนสามารถเข้าซื้อตอน breakout และตั้งเป้าหมายโดยวัดจากความสูงของ Pole ก่อนหน้านี้ รูปแบบนี้มีประโยชน์สูงในการจับจังหวะซื้อตามเทรนด์ โดยเฉพาะในตลาดคริปโตที่การเคลื่อนไหวรวดเร็ว
Super Bullish คืออะไร? ความแตกต่างและนัยยะ
คำว่า Bullish หมายถึงแนวโน้มขาขึ้นทั่วไป แต่ Super Bullish คือเวอร์ชันที่เข้มข้นกว่า กับตลาดกระทิงที่รุนแรงและยาวนาน โดยราคาพุ่งขึ้นแบบก้าวกระโดดและนักลงทุนมีความเชื่อมั่นสูงสุด
ความแตกต่างจาก Bullish ธรรมดา:
- ความเร็วและขนาด: Super Bullish มีการขึ้นของราคาเร็วกว่าและรุนแรงกว่าปกติหลายเท่า
- ระยะเวลา: มักยืดเยื้อหลายเดือนหรือหลายปี
- อารมณ์ตลาด: เต็มไปด้วยความตื่นเต้นและ FOMO ที่ดึงดูดนักลงทุนรายย่อยจำนวนมาก
โอกาสและความเสี่ยง: ช่วง Super Bullish นำโอกาสกำไรยักษ์ใหญ่ แต่ก็เสี่ยงต่อฟองสบู่ที่ราคาสูงเกินมูลค่าจริง ถ้าฟองแตกอาจเกิดการปรับฐานหนัก นักลงทุนไทยควรระวัง โดยเฉพาะในตลาดคริปโตที่เคยเห็น Super Bullish มาก่อน หลีกเลี่ยงการตามกระแสโดยไม่วิเคราะห์ให้ถี่ถ้วน
กลยุทธ์การลงทุนในตลาด Bullish และการบริหารความเสี่ยง
แม้ตลาด Bullish จะเปิดโอกาสกำไรสูง แต่การลงทุนต้องอาศัยกลยุทธ์ที่ชาญฉลาดและการจัดการความเสี่ยงที่รัดกุม เพื่อให้คุณได้ประโยชน์สูงสุดโดยไม่พลาดท่าต่อความผันผวน
กลยุทธ์การลงทุน:
- ตามแนวโน้ม: เข้าซื้อเมื่อเห็นแนวโน้มขาขึ้นชัด และถือยาวตราบใดที่เทรนด์ยังอยู่
- ซื้อตอนย่อ: ใช้โอกาสราคาปรับฐานชั่วคราวในเทรนด์ขึ้นเพื่อเข้าซื้อเพิ่ม
- กระจายพอร์ต: แม้ตลาดบวก แต่ลงทุนหลายสินทรัพย์เพื่อลดความเสี่ยงเฉพาะตัว
- เลือกสินทรัพย์พื้นฐานดี: มุ่งเน้นบริษัทที่มีผลงานแข็งแกร่ง การเติบโตสูง และอนาคตสดใส
การบริหารความเสี่ยง:
- ตั้ง Stop Loss: กำหนดจุดตัดขาดทุนที่ยอมรับได้ เพื่อจำกัดความสูญเสียหากราคา掉头
- หลีกเลี่ยงเลเวอเรจเกิน: ใช้เงินกู้ยืมน้อย ๆ เพื่อป้องกันพอร์ตพังถ้าตลาดพลิกผัน
- ทยอย Take Profit: ขายทำกำไรบางส่วนเมื่อถึงเป้าหมาย เพื่อล็อกผลตอบแทน
- ควบคุมจิตใจ: อย่าให้ความโลภหรือ FOMO ครอบงำ ยึดแผนและวินัยเสมอ
- รู้กฎหมาย: นักลงทุนไทยควรศึกษากฎระเบียบจาก สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อลงทุนอย่างถูกต้องและปลอดภัย
สรุป: ทำความเข้าใจ Bullish เพื่อการลงทุนที่ชาญฉลาด
การรู้จัก Bullish และแนวโน้มขาขึ้นเป็นพื้นฐานที่ช่วยให้นักลงทุนนำทางในตลาดการเงินได้อย่างมั่นใจ การแยกแยะว่าตลาดอยู่ในช่วง Bullish หรือไม่ จะช่วยปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสม จับโอกาสกำไร และจัดการความเสี่ยงได้ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความหมายพื้นฐาน การเปรียบเทียบกับ Bearish สัญญาณในตลาดหุ้น ทองคำ คริปโต และ Forex รวมถึงเครื่องมือขั้นสูงอย่าง Bullish Divergence Bullish Flag และ Super Bullish ความรู้เหล่านี้จะยกระดับการตัดสินใจของคุณ ขอให้ทุกท่านนำไปใช้ในการวางแผนลงทุนอย่างมีสติ เพื่อบรรลุเป้าหมายทางการเงินที่ยั่งยืน
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Bullish (FAQ)
“บลูริช” แปลว่าอะไรในภาษาไทยแบบง่ายๆ สำหรับมือใหม่?
“บลูริช” (Bullish) แปลว่า แนวโน้มขาขึ้น หรือ ตลาดกระทิง ครับ หมายถึงสภาวะที่ราคาของสินทรัพย์, ตลาดหุ้น, หรือเศรษฐกิจโดยรวมกำลังจะปรับตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ นักลงทุนส่วนใหญ่มีความเชื่อมั่นและคาดหวังว่าราคาจะขึ้นครับ
แนวโน้มขาขึ้น (Bullish Trend) มีสัญญาณอะไรบ้างที่นักลงทุนไทยควรรู้?
สัญญาณสำคัญของ Bullish Trend ได้แก่:
- ราคาทำจุดสูงสุดใหม่และจุดต่ำสุดที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องบนกราฟ
- ปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้นเมื่อราคาขึ้น
- ข่าวเศรษฐกิจเชิงบวก เช่น GDP โต, บริษัทมีกำไรดี
- ความเชื่อมั่นของนักลงทุนสูง
Bullish Divergence ดูยังไงในกราฟหุ้นไทย หรือกราฟคริปโตบน Bitkub?
Bullish Divergence เกิดขึ้นเมื่อ ราคาสินทรัพย์ทำจุดต่ำสุดใหม่ (Lower Low) แต่ อินดิเคเตอร์ RSI หรือ MACD กลับทำจุดต่ำสุดที่สูงขึ้น (Higher Low) ครับ สัญญาณนี้บอกว่าแรงขายเริ่มอ่อนตัวลงและมีโอกาสที่ราคาจะกลับตัวเป็นขาขึ้น ลองเปิดกราฟแท่งเทียนคู่กับอินดิเคเตอร์เหล่านี้บนแอป Streaming by Settrade หรือ Bitkub เพื่อฝึกสังเกตได้เลยครับ
Bullish Flag คืออะไร? มีประโยชน์ในการเทรดหุ้นหรือทองคำอย่างไร?
Bullish Flag คือ รูปแบบกราฟราคาที่บ่งชี้ถึงการต่อเนื่องของแนวโน้มขาขึ้น ครับ มันจะปรากฏหลังจากราคาพุ่งขึ้นแรง (เหมือนเสาธง) แล้วมีการพักตัวในกรอบแคบๆ ที่เอียงลง (เหมือนธง) ประโยชน์คือเมื่อราคาทะลุออกจากกรอบธงขึ้นไปได้ จะเป็นสัญญาณที่ดีในการเข้าซื้อเพื่อตามแนวโน้มขาขึ้นที่กำลังจะดำเนินต่อไป มักใช้คาดการณ์เป้าหมายราคาได้ด้วยครับ
Super Bullish คืออะไร? เราจะรู้ได้อย่างไรว่าตลาดกำลังอยู่ในช่วง Super Bullish?
Super Bullish คือ ตลาดกระทิงที่มีความรุนแรงและยาวนานเป็นพิเศษ ราคาพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วและต่อเนื่องกว่า Bullish ทั่วไป มีความตื่นเต้นและ FOMO สูงในหมู่นักลงทุน จะรู้ได้จากการที่ราคาปรับตัวขึ้นอย่างก้าวกระโดดเป็นระยะเวลานานหลายเดือนหรือเป็นปี พร้อมกับปริมาณการซื้อขายที่สูงมาก และข่าวสารเชิงบวกที่ถาโถมเข้ามาอย่างต่อเนื่องครับ
การลงทุนในตลาด Bullish มีความเสี่ยงอะไรบ้าง และนักลงทุนไทยควรบริหารความเสี่ยงอย่างไร?
แม้เป็นตลาดขาขึ้น แต่ก็มีความเสี่ยง เช่น:
- ความเสี่ยงจากการเข้าซื้อที่ราคาสูงเกินไป: อาจติดดอยหากตลาดกลับตัว
- ความเสี่ยงจากฟองสบู่: โดยเฉพาะใน Super Bullish
- ความผันผวน: แม้แนวโน้มขึ้น แต่ก็มีช่วงย่อตัว
การบริหารความเสี่ยงควรทำโดย ตั้ง Stop Loss, ทยอยทำกำไร, ไม่ใช้เลเวอเรจเกินตัว, และ กระจายความเสี่ยง ครับ
ถ้าตลาดเป็น Bullish ควรลงทุนในสินทรัพย์ประเภทไหน เช่น หุ้น, ทองคำ, Forex หรือคริปโตดี?
ขึ้นอยู่กับสภาวะตลาดและเป้าหมายของคุณครับ:
- หุ้น: เหมาะเมื่อเศรษฐกิจเติบโตแข็งแกร่ง
- ทองคำ: เหมาะเมื่อมีความกังวลเรื่องเงินเฟ้อหรือเศรษฐกิจไม่แน่นอน
- Forex: ขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจของประเทศนั้นๆ
- คริปโต: มีความผันผวนสูง เหมาะกับผู้ที่รับความเสี่ยงได้มากและศึกษาข้อมูลมาอย่างดี
การกระจายการลงทุนในหลายประเภทสินทรัพย์เป็นสิ่งสำคัญครับ
มีเครื่องมือหรือแอปพลิเคชันไหนที่แนะนำสำหรับนักลงทุนไทยในการวิเคราะห์สัญญาณ Bullish?
สำหรับหุ้นไทย: Streaming by Settrade หรือ Settrade App มีฟังก์ชันกราฟและอินดิเคเตอร์ครบครัน
สำหรับคริปโต: Bitkub App หรือ Binance App มีกราฟและเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคในตัว
สำหรับทองคำและ Forex: แพลตฟอร์มของโบรกเกอร์ที่คุณใช้บริการ หรือเว็บไซต์ข่าวสารการเงินต่างๆ ก็มักจะมีเครื่องมือวิเคราะห์ให้ครับ
ตลาด Bullish จะสิ้นสุดเมื่อไหร่? มีสัญญาณกลับตัวเป็น Bearish ที่ควรรู้ไหม?
ไม่มีใครบอกได้แน่นอนว่าตลาด Bullish จะสิ้นสุดเมื่อไหร่ครับ แต่มีสัญญาณที่อาจบ่งชี้ถึงการกลับตัวเป็น Bearish เช่น:
- ราคาเริ่มทำจุดสูงสุดที่ต่ำลง และจุดต่ำสุดที่ต่ำลง (Lower High, Lower Low)
- ปริมาณการซื้อขายลดลงเมื่อราคาขึ้น และเพิ่มขึ้นเมื่อราคาลง
- ข่าวเศรษฐกิจเริ่มแย่ลง หรือนโยบายการเงินตึงตัวขึ้น
- ความเชื่อมั่นของนักลงทุนเริ่มลดลง
- เกิดรูปแบบกราฟกลับตัว เช่น Head and Shoulders หรือ Double Top
ตลาดหุ้นไทย (SET) เคยมีช่วง Bullish ที่โดดเด่นในอดีตอย่างไรบ้าง?
ตลาดหุ้นไทยเคยมีช่วง Bullish ที่โดดเด่นหลายครั้งครับ เช่น หลังวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 ที่ SET Index ค่อยๆ ฟื้นตัวและปรับขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงต้นทศวรรษ 2000 หรือช่วงหลังวิกฤตการเงินโลกปี 2551-2552 ที่ตลาดหุ้นไทยก็มีการฟื้นตัวและเป็นขาขึ้นยาวนานหลายปี ปัจจัยหลักมักมาจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศครับ