66, Broklyn St, New York, USA
Turning big ideas into great services!

งบประมาณขาดดุล หมายถึง และความสำคัญต่อเศรษฐกิจในปี 2025

Home / ข่าวตลาดเงิน / งบป...

meetcinco_com | 29 6 月

งบประมาณขาดดุล หมายถึง และความสำคัญต่อเศรษฐกิจในปี 2025

งบประมาณขาดดุลคืออะไร และเหตุใดจึงสำคัญต่อเศรษฐกิจ?

ในโลกของการลงทุนและการเงินสาธารณะ คำว่า “งบประมาณขาดดุล” มักถูกกล่าวถึงบ่อยครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเศรษฐกิจอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ หรือเมื่อรัฐบาลจำเป็นต้องใช้เครื่องมือทางการคลังเพื่อกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจ แต่สำหรับนักลงทุนมือใหม่และผู้ที่สนใจการวิเคราะห์เศรษฐกิจมหภาค การทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่างบประมาณขาดดุลคืออะไร และมีผลกระทบอย่างไร ถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญยิ่ง

เรามาเริ่มกันที่คำจำกัดความพื้นฐาน: งบประมาณขาดดุล (Budget Deficit) คือสถานะที่ประมาณการ “รายจ่าย” ของภาครัฐมีจำนวนสูงกว่าประมาณการ “รายรับ” ที่คาดว่าจะเก็บได้จากภาษีและแหล่งรายได้อื่นๆ ในช่วงปีงบประมาณนั้นๆ ส่วนเกินของรายจ่ายที่เกิดขึ้นนี้ จำเป็นต้องอาศัยการกู้ยืมมาชดเชยรายรับที่ขาดไป ซึ่งอาจจะเป็นการออกพันธบัตร การกู้ยืมจากสถาบันการเงิน หรือแหล่งเงินทุนอื่นๆ

ตรงกันข้ามกับงบประมาณขาดดุล เรายังมีอีกสองสถานะที่ควรทำความเข้าใจ:

  • งบประมาณเกินดุล (Budget Surplus): เกิดขึ้นเมื่อรายรับของภาครัฐสูงกว่ารายจ่าย รัฐบาลมีเงินเหลือใช้ ซึ่งสามารถนำไปชำระหนี้สาธารณะ หรือสะสมเป็นเงินสำรองสำหรับอนาคตได้
  • งบประมาณสมดุล (Balanced Budget): เป็นสถานะที่รายรับและรายจ่ายของภาครัฐมีจำนวนเท่ากัน เป็นแนวคิดที่นักเศรษฐศาสตร์บางกลุ่มมองว่าดีต่อวินัยทางการคลังในระยะยาว

เหตุใดรัฐบาลจึงเลือกที่จะตั้งงบประมาณแบบขาดดุล? โดยหลักการแล้ว การตั้งงบประมาณขาดดุลมักถูกใช้เป็นเครื่องมือของ “นโยบายการคลังแบบขยายตัว” (Expansionary Fiscal Policy) ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงที่กำลังชะลอตัว หรือเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจ เมื่อภาคเอกชนอ่อนแอ การลงทุนและการบริโภคหดตัว รัฐบาลสามารถเข้ามามีบทบาทในการใช้จ่ายเพิ่มขึ้น เพื่อสร้างอุปสงค์รวม (Aggregate Demand) และขับเคลื่อนกิจกรรมทางเศรษฐกิจ การใช้จ่ายของรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นโครงการโครงสร้างพื้นฐาน การให้สวัสดิการ หรือการลงทุนในด้านต่างๆ ล้วนสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ สร้างงาน และเพิ่มรายได้ให้กับประชาชน ทำให้เศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัวและเติบโตได้อีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม การใช้งบประมาณขาดดุลก็เปรียบเสมือนดาบสองคม หากใช้ไม่ถูกจังหวะ หรือขาดความรับผิดชอบ ก็อาจนำไปสู่ปัญหาหนี้สาธารณะที่พอกพูน ซึ่งส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อเสถียรภาพทางการคลังและความน่าเชื่อถือของประเทศในระยะยาว นี่คือเหตุผลที่เราในฐานะนักลงทุน ควรให้ความสนใจและติดตามสถานการณ์งบประมาณของประเทศอย่างใกล้ชิด

แผนภาพแสดงตาชั่งที่มีสัญลักษณ์เงินและเศรษฐกิจ เพื่ออธิบายถึงงบประมาณขาดดุล

ทำความเข้าใจประเภทของงบประมาณและนโยบายการคลัง

เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้นถึงพลวัตของงบประมาณภาครัฐ เราจะมาเจาะลึกถึงประเภทของงบประมาณทั้งสามแบบ และทำความเข้าใจว่าสิ่งเหล่านี้เชื่อมโยงกับนโยบายการคลังอย่างไร

  • งบประมาณเกินดุล (Budget Surplus):

    เกิดขึ้นเมื่อรัฐบาลเก็บภาษีและมีรายได้อื่นๆ สูงกว่าค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่คาดการณ์ไว้ สภาพเช่นนี้มักเกิดขึ้นในช่วงที่เศรษฐกิจเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ประชาชนมีรายได้ดี บริษัททำกำไรได้มาก ทำให้รัฐบาลสามารถเก็บภาษีได้ในปริมาณมาก การมีงบประมาณเกินดุลแสดงถึงวินัยทางการคลังที่ดี รัฐบาลสามารถนำเงินส่วนเกินไปชำระคืนหนี้สาธารณะ ลดภาระดอกเบี้ยในอนาคต หรือสะสมเป็นเงินสำรองเพื่อใช้ในยามวิกฤต ซึ่งจะเพิ่มความยืดหยุ่นทางการคลังของประเทศ

  • งบประมาณสมดุล (Balanced Budget):

    คือสถานะที่รายรับและรายจ่ายของรัฐบาลมีจำนวนเท่ากันพอดี แนวคิดนี้สะท้อนถึงการบริหารการคลังที่รอบคอบ โดยพยายามที่จะใช้จ่ายเท่ากับที่หามาได้ เพื่อไม่ให้เกิดภาระหนี้ในอนาคต แม้ในทางปฏิบัติจะทำได้ยาก เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แต่การตั้งเป้าหมายสู่การสมดุลก็ถือเป็นหลักปฏิบัติที่ดีในระยะยาว ซึ่งจะช่วยรักษาเสถียรภาพทางการคลัง

  • งบประมาณขาดดุล (Budget Deficit):

    อย่างที่เราได้กล่าวไป งบประมาณขาดดุลคือสถานะที่รายจ่ายมากกว่ารายรับ ซึ่งจำเป็นต้องมีการกู้ยืมเพื่อชดเชยส่วนที่ขาด การใช้งบประมาณขาดดุลเป็นแกนหลักของ “นโยบายการคลังแบบขยายตัว” (Expansionary Fiscal Policy) ซึ่งมักถูกนำมาใช้ในยามที่เศรษฐกิจซบเซา มีอัตราการว่างงานสูง หรือเผชิญกับภาวะเงินฝืด รัฐบาลจะเพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐ เช่น การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน (ถนน, รถไฟ, โรงพยาบาล), การให้เงินอุดหนุน, หรือการลดภาษี เพื่อเพิ่มกำลังซื้อและกระตุ้นการลงทุนจากภาคเอกชน ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์แบบเคนส์ (Keynesian Economics) สนับสนุนแนวคิดนี้ โดยเชื่อว่าการใช้จ่ายของรัฐบาลจะช่วยผลักดันให้เศรษฐกิจกลับมาเติบโตได้อีกครั้ง

ในทางตรงกันข้าม “นโยบายการคลังแบบหดตัว” (Contractionary Fiscal Policy) คือการที่รัฐบาลลดการใช้จ่ายหรือเพิ่มการเก็บภาษี เพื่อชะลอเศรษฐกิจในช่วงที่เกิดภาวะเงินเฟ้อสูงเกินไป หรือเศรษฐกิจร้อนแรงเกินไป ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะฟองสบู่ได้ นโยบายนี้จะช่วยลดอุปสงค์รวมและลดแรงกดดันด้านราคา

การทำความเข้าใจความแตกต่างของงบประมาณแต่ละประเภทและนโยบายการคลังที่เกี่ยวข้อง จะช่วยให้เราสามารถวิเคราะห์ทิศทางเศรษฐกิจและนโยบายของรัฐบาลได้อย่างมีมิติมากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับนักลงทุนในการประเมินความเสี่ยงและโอกาสที่อาจเกิดขึ้น

นายกรัฐมนตรีนำเสนอแผนงบประมาณให้กับประชาชนในที่สาธารณะ

ร่างงบประมาณปี 2569: สถานการณ์ปัจจุบันและการชี้แจงของรัฐบาล

ในบริบทของประเทศไทย ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ได้กลายเป็นประเด็นร้อนที่ถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานะ “งบประมาณขาดดุล” ที่มีมูลค่าสูงเป็นประวัติการณ์ รัฐบาลชุดปัจจุบัน ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ได้เสนอร่างงบประมาณวงเงิน 3.78 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นการตั้งงบประมาณแบบขาดดุลต่อเนื่อง เพื่อเป้าหมายในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ฟื้นฟู และขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน

การชี้แจงจากฝ่ายบริหาร โดยเฉพาะจาก นายพิชัย ชุณหวิชร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และ นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการตั้งงบประมาณขาดดุลในครั้งนี้ พวกเขาระบุว่า เศรษฐกิจไทยยังคงต้องการแรงขับเคลื่อนจากการใช้จ่ายภาครัฐ เพื่อเร่งปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และลดการพึ่งพาเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน โดยหันมาพึ่งพาอุปสงค์ภายในประเทศมากขึ้น การขาดดุลครั้งนี้ถูกมองว่าเป็นการลงทุนเพื่ออนาคต เพื่อสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งและเสริมสร้างศักยภาพการเติบโตในระยะยาว

รัฐบาลได้ให้ความมั่นใจว่า การบริหารงบประมาณจะเป็นไปอย่างรับผิดชอบและมีวินัยทางการคลัง โดยมีแผนที่จะลดขนาดของการขาดดุลลงเรื่อยๆ ในปีต่อๆ ไป เมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง และรายได้ของรัฐบาลเพิ่มขึ้น การชี้แจงนี้มีจุดประสงค์เพื่อลดความกังวลเกี่ยวกับภาระหนี้สาธารณะที่อาจเกิดขึ้น และสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนและภาคส่วนต่างๆ ว่าการใช้จ่ายของรัฐบาลจะก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมและคุ้มค่ากับการลงทุน

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการชี้แจงจากรัฐบาล แต่การขาดดุลในระดับสูงก็ยังคงเป็นที่ถกเถียงและสร้างข้อกังวลในหลายภาคส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาจากสถานการณ์หนี้สาธารณะของประเทศไทยที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และความท้าทายทางเศรษฐกิจที่รออยู่ข้างหน้า

เสียงวิจารณ์และข้อกังวล: เมื่อการขาดดุลพุ่งแตะเพดาน

แม้ว่ารัฐบาลจะชี้แจงถึงความจำเป็นในการใช้งบประมาณขาดดุลเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ร่างงบประมาณปี 2569 ก็เผชิญกับเสียงวิจารณ์และข้อกังวลอย่างหนักจากหลายฝ่าย โดยเฉพาะจากพรรคฝ่ายค้านและนักวิชาการ ซึ่งมองว่าระดับการขาดดุลที่สูงเป็นประวัติการณ์นี้ อาจนำพาประเทศไทยไปสู่ความเสี่ยงทางการคลังและบั่นทอนศักยภาพการเติบโตในระยะยาว

นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน และ นางสาวศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ได้แสดงความกังวลอย่างชัดเจน โดยชี้ว่างบประมาณปี 2569 ถือเป็นปีที่สองติดต่อกันที่รัฐบาลเพื่อไทยตั้งงบประมาณแบบขาดดุลในระดับสูงมาก จนเกือบชนเพดานที่กฎหมายกำหนดไว้ ทำให้รัฐบาลต้องกู้เงินสูงถึง 8.6 แสนล้านบาท เพื่อมาโปะส่วนที่ขาดหายไป

ประเด็นที่สร้างความกังวลอย่างยิ่งคือ การที่งบประมาณขาดดุลในระดับนี้ “ไม่มีแผนการลงทุนและหารายได้รองรับที่ชัดเจน” พวกเขาตั้งคำถามถึงความเชื่อมโยงระหว่างการใช้จ่ายงบประมาณกับการสร้างศักยภาพของประเทศในอนาคต หากการใช้จ่ายส่วนใหญ่เป็นงบประมาณประจำ หรือโครงการที่ไม่มีผลตอบแทนที่ยั่งยืน ก็จะกลายเป็นการเพิ่มหนี้โดยไม่สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับเศรษฐกิจในระยะยาว

นายอลงกรณ์ พลบุตร ประธานสถาบันเอฟเคไอไอ อดีต สส. และอดีตรัฐมนตรี ได้ตอกย้ำถึงปัญหาเชิงโครงสร้าง โดยระบุว่าประเทศไทยใช้งบประมาณแบบขาดดุลต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2550 หรือเกือบสองทศวรรษ ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้หนี้สาธารณะของประเทศพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และหากพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 2569 ที่ขาดดุลสูงสุดในรอบ 19 ปี (865,000 ล้านบาท) ก็ย่อมส่งสัญญาณเตือนที่ชัดเจนว่า ประเทศไทยกำลังเดินเข้าใกล้ “วิกฤตหนี้สาธารณะ” มากขึ้นทุกที หากไม่มีการแก้ไขอย่างจริงจัง ก็อาจส่งผลให้ประเทศสูญเสียศักยภาพในการเติบโตระยะยาว และเผชิญกับภาระดอกเบี้ยหนี้ที่สูงขึ้น ซึ่งจะยิ่งกดดันงบประมาณในอนาคต

การวิพากษ์วิจารณ์เหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความกังวลที่ลึกซึ้งกว่าเพียงแค่ตัวเลขงบประมาณ พวกเขาเรียกร้องให้รัฐบาลพิจารณาถึงความยั่งยืนทางการคลังในระยะยาว และสร้างสมดุลระหว่างการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นกับการสร้างรากฐานที่มั่นคงให้กับประเทศ

เจาะลึกสาเหตุหลักของการขาดดุลงบประมาณเรื้อรังในประเทศไทย

การที่ประเทศไทยเผชิญกับสถานการณ์ “งบประมาณขาดดุล” อย่างต่อเนื่องมาเกือบสองทศวรรษ ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของโชคร้ายหรือความบังเอิญ แต่สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาเชิงโครงสร้างที่หยั่งรากลึกในระบบการบริหารจัดการทางการคลัง ซึ่งส่งผลกระทบต่อความสามารถในการหารายได้และการใช้จ่ายของภาครัฐ เรามาดูกันว่าสาเหตุหลักๆ ของการขาดดุลเรื้อรังนี้คืออะไรบ้าง

  • โครงสร้างรายจ่ายภาครัฐที่ไม่สมดุล:

    นี่คือหัวใจสำคัญของปัญหา งบประมาณของประเทศไทยมีสัดส่วนของ “งบประจำ” (Fixed Expenditure) สูงเกินไป โดยคิดเป็นประมาณ 70% ของรายจ่ายทั้งหมด งบประมาณเหล่านี้ประกอบด้วยเงินเดือนข้าราชการและสวัสดิการ ซึ่งกินส่วนแบ่งถึง 23% ของงบประจำ และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐต่างๆ ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างคงที่และยากต่อการลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

    ในขณะเดียวกัน “งบลงทุน” (Investment Expenditure) ซึ่งมีความสำคัญต่อการสร้างศักยภาพการเติบโตในระยะยาว กลับมีสัดส่วนที่น้อยเกินไป และมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยลดลงเหลือเพียง 22.7% ในปี 2569 การที่งบลงทุนน้อยเกินไป ทำให้ประเทศขาดการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การวิจัยและพัฒนา รวมถึงการลงทุนในทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้ก้าวหน้า

  • หนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและภาระดอกเบี้ย:

    การขาดดุลที่ต่อเนื่องนำไปสู่การกู้ยืมเพื่อชดเชย ซึ่งทำให้ “หนี้สาธารณะ” พุ่งสูงขึ้นอย่างน่าเป็นห่วง จากประมาณ 40% ของ GDP ในช่วงก่อนวิกฤตโควิด-19 สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ได้เพิ่มขึ้นเป็น 66.93% ในปี 2568 และคาดการณ์ว่าจะแตะเพดานที่ 70% ภายใน 2 ปี การเพิ่มขึ้นของหนี้สาธารณะไม่เพียงแต่จำกัดความสามารถในการกู้ยืมของรัฐบาลในอนาคตเท่านั้น แต่ยังเพิ่มภาระ “ดอกเบี้ยหนี้สาธารณะ” ที่รัฐบาลต้องจ่ายในแต่ละปี ซึ่งเป็นอีกหนึ่งรายจ่ายประจำที่บีบรัดงบประมาณ

  • นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นและประชานิยม:

    นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่มุ่งเน้นผลในระยะสั้น หรือโครงการประชานิยมที่ให้เงินช่วยเหลือโดยตรงแก่ประชาชน มักถูกนำมาใช้เพื่อบรรเทาปัญหาเฉพาะหน้า หรือเพื่อสร้างคะแนนนิยมทางการเมือง แม้จะมีประโยชน์ในการช่วยพยุงกำลังซื้อ แต่บ่อยครั้งที่นโยบายเหล่านี้ “ไม่สามารถแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง” ที่แท้จริงของเศรษฐกิจได้ และขาดความยั่งยืนในระยะยาว ทำให้ต้องมีการใช้งบประมาณเพื่อกระตุ้นซ้ำๆ และก่อให้เกิดภาระทางการคลังตามมา

  • ระบบภาษีที่ไม่มีประสิทธิภาพ:

    ปัญหาอีกประการหนึ่งคือระบบภาษีของประเทศไทยที่มี “ฐานภาษีค่อนข้างแคบ” และมีปัญหาเรื่อง “การหลีกเลี่ยงภาษี” ที่ยังคงมีอยู่มาก ทำให้รัฐบาลไม่สามารถเก็บภาษีได้เต็มศักยภาพ รายได้ที่เข้ารัฐไม่เพียงพอต่อรายจ่ายที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ต้องพึ่งพาการกู้ยืมมากขึ้นเพื่อรักษาสมดุล

ปัญหาเหล่านี้ล้วนเชื่อมโยงกันเป็นวงจร ทำให้การแก้ไขปัญหางบประมาณขาดดุลเรื้อรังเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและต้องอาศัยความมุ่งมั่นในการปฏิรูปอย่างจริงจัง

นโยบายกระตุ้นระยะสั้น: ประชานิยมและผลกระทบต่อโครงสร้างเศรษฐกิจ

เราได้พูดถึงสาเหตุสำคัญของการขาดดุลงบประมาณเรื้อรังไปแล้ว หนึ่งในปัจจัยที่ไม่อาจมองข้ามได้คือบทบาทของ “นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น” และ “โครงการประชานิยม” ซึ่งมักถูกนำมาใช้เพื่อตอบสนองความต้องการเร่งด่วนของประชาชนหรือแก้ปัญหาเศรษฐกิจเฉพาะหน้า แต่ในระยะยาวกลับส่งผลกระทบต่อโครงสร้างการคลังของประเทศ

นโยบายกระตุ้นระยะสั้น เช่น โครงการช็อปช่วยชาติ การแจกเงินผ่านบัตรคนจน หรือมาตรการบรรเทาภาระค่าครองชีพต่างๆ เป็นต้น มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มกำลังซื้อในระบบเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว และช่วยพยุงผู้ที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ แต่ปัญหาคือบ่อยครั้งที่นโยบายเหล่านี้มุ่งเน้นไปที่การสร้างอุปสงค์เทียม โดยไม่ได้ส่งเสริมการเพิ่มผลิตภาพ (Productivity) หรือการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญต่อการเติบโตอย่างยั่งยืน การใช้จ่ายเพื่อการบริโภคเหล่านี้มักเป็นเม็ดเงินที่หมดไปอย่างรวดเร็ว และไม่ได้ก่อให้เกิดการลงทุนใหม่ๆ ที่สร้างผลตอบแทนในระยะยาวให้กับประเทศ

นอกจากนี้ การที่นโยบายเหล่านี้มักถูกนำมาใช้ซ้ำๆ หรือกลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมการเมืองแบบ “ขาดดุลนิยม” (Deficit-ism) กล่าวคือ การที่ผู้กำหนดนโยบายมองว่าการใช้งบประมาณขาดดุลเป็นเรื่องปกติ หรือจำเป็นต้องทำเพื่อพยุงเศรษฐกิจอยู่เสมอ โดยไม่ได้ให้ความสำคัญกับการปฏิรูปโครงสร้างเพื่อเพิ่มรายได้ หรือลดรายจ่ายที่ไม่มีประสิทธิภาพ สิ่งนี้ยิ่งทำให้การขาดดุลกลายเป็นภาวะปกติ และสร้างแรงกดดันต่อหนี้สาธารณะอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

โครงการประชานิยมหลายโครงการ มักจะมีการอุดหนุนราคาหรือให้สิทธิประโยชน์ที่ต้องใช้งบประมาณสูงอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดภาระผูกพันทางการคลังระยะยาว ซึ่งยากที่จะยกเลิกหรือปรับลดลงได้ง่ายๆ เนื่องจากการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง เมื่อโครงการเหล่านี้ไม่ได้สร้างรายได้กลับคืนมาอย่างเพียงพอ หรือไม่ได้ช่วยยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ก็จะกลายเป็นการเพิ่มรายจ่ายประจำที่บั่นทอนความสามารถในการจัดสรรงบประมาณเพื่อการลงทุนที่สำคัญในอนาคต

ดังนั้น แม้ว่านโยบายเหล่านี้อาจมีความจำเป็นในบางสถานการณ์ แต่หากขาดการวางแผนอย่างรอบคอบ ขาดกลไกการติดตามประเมินผล และไม่มีการเชื่อมโยงกับการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างในระยะยาว ก็อาจกลายเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ประเทศติดอยู่ในวงจรการขาดดุลงบประมาณและหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

ปัญหาการทุจริตและระบบภาษีที่ไร้ประสิทธิภาพ: ปัจจัยเสริมที่กัดกร่อนงบประมาณ

นอกเหนือจากสาเหตุเชิงโครงสร้างที่กล่าวมาแล้ว ยังมีปัจจัยเสริมสำคัญอีกสองประการที่บั่นทอนความมั่นคงทางการคลังและทำให้การแก้ไขปัญหางบประมาณขาดดุลเป็นไปได้ยาก นั่นคือ “ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน” และ “ระบบภาษีที่ขาดประสิทธิภาพ”

ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน

การทุจริตคอร์รัปชันถือเป็นมะเร็งร้ายที่กัดกินงบประมาณของประเทศอย่างเงียบๆ การทุจริตเกิดขึ้นได้ในหลายขั้นตอนของวงจรงบประมาณ ตั้งแต่การจัดทำแผนงาน การจัดซื้อจัดจ้าง การดำเนินโครงการ ไปจนถึงการเบิกจ่ายงบประมาณ เมื่อเกิดการทุจริต:

  • ต้นทุนโครงการสูงเกินจริง: โครงการภาครัฐมักถูกประเมินราคาเกินจริง เพื่อเปิดช่องให้มีการเรียกรับผลประโยชน์ ทำให้รัฐบาลต้องใช้เงินมากขึ้นสำหรับโครงการเดียวกัน ซึ่งหมายถึงการใช้งบประมาณอย่างไม่มีประสิทธิภาพและเสียเปล่า
  • การจัดสรรงบประมาณเพื่อกลุ่มผลประโยชน์: งบประมาณอาจถูกจัดสรรให้แก่โครงการที่ไม่จำเป็น หรือโครงการที่มีผลประโยชน์ทับซ้อน เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มบุคคลหรือเครือข่ายบางกลุ่ม แทนที่จะจัดสรรให้แก่โครงการที่สร้างผลตอบแทนสูงสุดต่อส่วนรวม
  • การรั่วไหลของงบประมาณ: งบประมาณบางส่วนอาจถูกยักยอกไปอย่างผิดกฎหมาย ทำให้เงินที่ควรจะนำไปใช้ในการพัฒนาประเทศไม่ถึงมือผู้ที่ควรได้รับ หรือไม่ถูกนำไปใช้ตามวัตถุประสงค์

ปัญหาการทุจริตไม่เพียงแต่ทำให้งบประมาณรั่วไหล แต่ยังบั่นทอนความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อภาครัฐ และลดประสิทธิภาพในการบริหารจัดการประเทศโดยรวม เมื่อการทุจริตแพร่หลาย รัฐบาลก็จำเป็นต้องกู้ยืมมากขึ้นเพื่อชดเชยเงินที่หายไป ซึ่งยิ่งซ้ำเติมปัญหางบประมาณขาดดุลและหนี้สาธารณะ

ระบบภาษีที่ขาดประสิทธิภาพ

การหารายได้ของรัฐบาลส่วนใหญ่มาจากการเก็บภาษี หากระบบภาษีไม่มีประสิทธิภาพ ก็ย่อมส่งผลกระทบโดยตรงต่อรายรับของประเทศ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้เกิดการขาดดุลเรื้อรัง ปัญหาหลักๆ ได้แก่:

  • ฐานภาษีแคบ: ประเทศไทยยังมีสัดส่วนของผู้เสียภาษีต่อประชากรทั้งหมดค่อนข้างน้อย โดยเฉพาะในภาคส่วนเศรษฐกิจที่ไม่เป็นทางการ หรือผู้ที่มีรายได้สูงบางกลุ่มยังคงมีช่องทางในการหลีกเลี่ยงภาษี
  • การหลีกเลี่ยงและเลี่ยงภาษี: แม้กฎหมายจะกำหนดไว้ แต่การบังคับใช้และการตรวจสอบยังไม่ครอบคลุม ทำให้มีการหลีกเลี่ยงภาษี (Tax Evasion) และการเลี่ยงภาษี (Tax Avoidance) ที่ลดรายได้เข้ารัฐอย่างมหาศาล
  • โครงสร้างภาษีที่อาจไม่เหมาะสม: ภาษีบางประเภทอาจไม่เอื้อต่อการสร้างรายได้ที่ยั่งยืน หรืออาจไม่สอดคล้องกับโครงสร้างเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง หรือภาษีมรดก ที่ยังไม่สามารถเก็บได้อย่างเต็มศักยภาพ

เมื่อรายได้ไม่เพียงพอต่อรายจ่าย รัฐบาลก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องพึ่งพาการกู้ยืม ซึ่งเป็นการผลักภาระหนี้สินไปให้คนรุ่นหลัง การแก้ไขปัญหาเหล่านี้จึงต้องควบคู่ไปกับการปฏิรูปทั้งระบบการจัดเก็บภาษีและการปราบปรามการทุจริตอย่างจริงจัง เพื่อสร้างความโปร่งใสและประสิทธิภาพให้กับการบริหารงบประมาณของชาติ

ความท้าทายใหม่: ภาระงบประมาณจากสังคมสูงวัยและภูมิรัฐศาสตร์โลก

นอกเหนือจากปัญหาเชิงโครงสร้างและปัจจัยภายในประเทศที่ทำให้เกิดการขาดดุลงบประมาณเรื้อรังแล้ว ประเทศไทยยังต้องเผชิญกับ “ความท้าทายใหม่” ที่มาจากภายนอก ซึ่งล้วนแล้วแต่เพิ่มภาระให้กับงบประมาณภาครัฐ และทำให้การบริหารจัดการทางการคลังยิ่งซับซ้อนยิ่งขึ้น เรามาดูกันว่าความท้าทายเหล่านี้คืออะไรบ้าง

สังคมสูงวัย (Aging Society)

ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่การเป็นสังคมสูงวัยอย่างรวดเร็ว ซึ่งหมายความว่าสัดส่วนของประชากรสูงอายุจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ในขณะที่ประชากรวัยแรงงานมีแนวโน้มลดลง การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรนี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาระงบประมาณในหลายมิติ:

  • ค่าใช้จ่ายด้านสวัสดิการผู้สูงอายุ: รัฐบาลต้องจัดสรรงบประมาณเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องสำหรับเบี้ยยังชีพ สวัสดิการด้านสุขภาพ และบริการสาธารณะอื่นๆ ที่จำเป็นสำหรับผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นทุกปี
  • แรงกดดันต่อระบบบำนาญและประกันสังคม: จำนวนผู้สูงอายุที่เกษียณเพิ่มขึ้น ขณะที่ผู้จ่ายเงินสมทบเข้าสู่ระบบลดลง ทำให้เกิดแรงกดดันต่อความยั่งยืนของกองทุนบำนาญและระบบประกันสังคมในระยะยาว
  • ผลกระทบต่อผลิตภาพแรงงานและรายได้ภาษี: เมื่อสัดส่วนประชากรวัยแรงงานลดลง อาจส่งผลกระทบต่อผลิตภาพรวมของประเทศ และลดฐานภาษีที่รัฐบาลสามารถจัดเก็บได้

สงครามการค้าและภูมิเศรษฐศาสตร์ (Trade Wars & Geo-economics)

ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างมหาอำนาจ เช่น สงครามการค้าภายใต้นโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ (Trump 2.0) หรือการแข่งขันด้านเทคโนโลยีระหว่างประเทศต่างๆ ส่งผลให้เกิดการปรับตัวของห่วงโซ่อุปทานโลก และสร้างความผันผวนให้กับเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ประเทศไทยในฐานะประเทศที่พึ่งพาการส่งออกสูง ย่อมได้รับผลกระทบจากความไม่แน่นอนเหล่านี้ การที่เศรษฐกิจโลกชะลอตัวหรือมีความขัดแย้งทางการค้า ย่อมส่งผลให้รายได้จากการส่งออกของไทยลดลง และกระทบต่อรายได้ภาษีของรัฐบาล

ภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics)

ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ เช่น สงคราม หรือความตึงเครียดในภูมิภาคต่างๆ ของโลก ไม่เพียงแต่ส่งผลต่อราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์เท่านั้น แต่ยังกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน การท่องเที่ยว และห่วงโซ่อุปทาน สิ่งเหล่านี้ล้วนส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทย และเพิ่มแรงกดดันต่องบประมาณภาครัฐในการจัดสรรงบประมาณเพื่อความมั่นคง หรือเพื่อรองรับผลกระทบทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้น

การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ (Climate Change)

วิกฤตสภาพภูมิอากาศที่ทวีความรุนแรงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นภัยแล้ง น้ำท่วม หรือพายุที่รุนแรงขึ้น ก่อให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างมหาศาล รัฐบาลต้องจัดสรรงบประมาณจำนวนมากเพื่อการบรรเทาสาธารณภัย การฟื้นฟู และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่ทนทานต่อสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง ซึ่งเป็นภาระงบประมาณที่เพิ่มขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ความท้าทายเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยภายนอกที่ควบคุมได้ยาก แต่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อสถานะทางการคลังของประเทศ ทำให้การบริหารงบประมาณมีความซับซ้อนมากขึ้น และตอกย้ำถึงความจำเป็นในการปฏิรูปการคลังอย่างรอบด้านเพื่อรับมือกับอนาคต

หนทางแก้ไขที่ยั่งยืน: ปฏิรูปโครงสร้างเพื่ออนาคตทางการคลังที่แข็งแกร่ง

เมื่อเราเข้าใจถึงสาเหตุและผลกระทบของการขาดดุลงบประมาณเรื้อรังแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการแสวงหา “หนทางแก้ไขที่ยั่งยืน” ซึ่งไม่เพียงแต่แก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่ยังเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางการคลังของประเทศในระยะยาว การแก้ไขปัญหานี้ต้องอาศัยการปฏิรูปเชิงโครงสร้างอย่างจริงจังในหลายมิติ ดังนี้:

หัวข้อ อธิบาย
ลดรายจ่ายภาครัฐ ควบคุมและลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นของภาครัฐ
เพิ่มรายได้รัฐบาล พิจารณาแหล่งรายได้ใหม่ และปรับปรุงระบบภาษี
ปฏิรูประบบงบประมาณ ทำให้การจัดสรรทรัพยากรมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ป้องกันการทุจริต เพิ่มความโปร่งใส โดยมีการตรวจสอบที่เข้มงวด

1. ลดรายจ่ายภาครัฐและปฏิรูปขนาดภาครัฐ

สิ่งแรกที่ต้องทำคือการควบคุมและลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นของภาครัฐ ซึ่งรวมถึง:

  • ปฏิรูปและลดขนาดภาครัฐ: พิจารณาทบทวนบทบาท ภารกิจ และขนาดของหน่วยงานภาครัฐ หากหน่วยงานใดไม่มีประสิทธิภาพ ทำงานซ้ำซ้อน หรือขาดทุนต่อเนื่อง ควรพิจารณาปรับโครงสร้าง ยกเลิก หรือควบรวม เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายประจำ
  • ทบทวนโครงการที่ไม่จำเป็น: ตรวจสอบโครงการลงทุน หรือโครงการที่ใช้งบประมาณสูงที่ไม่มีความคุ้มค่า หรือไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ที่ยั่งยืนต่อประเทศ เพื่อพิจารณาชะลอ ยกเลิก หรือปรับเปลี่ยน
  • เพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่าย: นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ในการบริหารจัดการภาครัฐ เพื่อลดความซ้ำซ้อน ลดขั้นตอน และเพิ่มความโปร่งใสในการใช้จ่าย

2. เพิ่มรายได้งบประมาณและปฏิรูประบบภาษี

ในขณะที่ควบคุมรายจ่าย การเพิ่มรายได้ของรัฐบาลก็เป็นสิ่งสำคัญ รัฐบาลควรพิจารณา:

  • ปฏิรูประบบภาษีและขยายฐานภาษี: ทบทวนโครงสร้างภาษีให้มีความเป็นธรรมและมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น พิจารณาภาษีทรัพย์สิน ภาษีมรดก หรือภาษีลาภลอย เพื่อให้การจัดเก็บภาษีสะท้อนถึงความมั่งคั่งที่แท้จริง และขยายฐานภาษีให้ครอบคลุมผู้มีรายได้และทรัพย์สินมากขึ้น
  • ป้องกันและปราบปรามการทุจริตภาษี: เพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจสอบและบังคับใช้กฎหมาย เพื่อป้องกันการหลีกเลี่ยงและเลี่ยงภาษีอย่างจริงจัง ซึ่งจะช่วยเพิ่มรายได้เข้ารัฐได้เป็นจำนวนมาก
  • เพิ่มรายได้จากแหล่งอื่น: สำรวจศักยภาพในการเพิ่มรายได้จากภาคส่วนอื่นๆ เช่น การเพิ่มรายได้จากการส่งออกสินค้าและบริการ การส่งเสริมการท่องเที่ยว หรือการบริหารจัดการทรัพย์สินของรัฐให้เกิดประโยชน์สูงสุด

3. ปฏิรูประบบงบประมาณสู่ความโปร่งใสและประสิทธิภาพ

การปรับปรุงกระบวนการจัดทำและบริหารงบประมาณจะช่วยให้การจัดสรรทรัพยากรมีประสิทธิภาพมากขึ้น:

  • ใช้ระบบงบประมาณฐานศูนย์ (Zero-Based Budgeting – ZBB): เป็นการจัดทำงบประมาณโดยเริ่มต้นจากศูนย์ในแต่ละปี โดยต้องมีการทบทวนและให้เหตุผลสำหรับทุกกิจกรรมและทุกรายจ่ายใหม่ทั้งหมด ไม่ใช่แค่การเพิ่มหรือลดจากงบประมาณปีก่อน ซึ่งจะช่วยตัดโครงการที่ไม่จำเป็นหรือไม่ก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่คุ้มค่าออกไป
  • เพิ่มความโปร่งใสและเปิดเผยข้อมูล: เปิดเผยข้อมูลการใช้จ่ายงบประมาณแบบ Real-Time ให้สาธารณชนเข้าถึงและตรวจสอบได้ เพื่อเพิ่มความรับผิดชอบและลดโอกาสในการทุจริต

4. ป้องกันและปราบปรามการทุจริตงบประมาณอย่างจริงจัง

มาตรการปราบปรามการทุจริตต้องเป็นหัวใจสำคัญของการปฏิรูป:

  • บังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด: ดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดอย่างเด็ดขาด โดยไม่เลือกปฏิบัติ เพื่อสร้างบรรทัดฐานและลดการทุจริต
  • เสริมสร้างกลไกการตรวจสอบ: เพิ่มอำนาจและศักยภาพให้กับหน่วยงานตรวจสอบ เช่น สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อให้สามารถตรวจสอบและป้องกันการทุจริตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน: เปิดโอกาสให้ภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณ และแจ้งเบาะแสการทุจริต

การปฏิรูปเหล่านี้ต้องอาศัยความมุ่งมั่นทางการเมือง วิสัยทัศน์ และความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เพื่อนำพาประเทศไทยก้าวข้ามวิกฤตงบประมาณและสร้างความมั่นคงทางการคลังสำหรับคนรุ่นต่อไป

บทสรุป: ความรับผิดชอบร่วมกันเพื่อความมั่นคงทางการคลังของชาติ

การวิเคราะห์สถานการณ์ “งบประมาณขาดดุล” ของประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งร่างงบประมาณปี 2569 ที่แสดงให้เห็นถึงระดับการขาดดุลที่สูงเป็นประวัติการณ์ สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายเชิงโครงสร้างที่ซับซ้อนของเศรษฐกิจและระบบการคลังของชาติ ตลอดเกือบสองทศวรรษที่ผ่านมา ประเทศไทยได้ใช้งบประมาณแบบขาดดุลอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแม้ในบางช่วงเวลาอาจมีความจำเป็นเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่การขาดดุลเรื้อรังนี้ได้นำไปสู่การสะสมของ “หนี้สาธารณะ” ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และเริ่มส่งสัญญาณเตือนถึงความเสี่ยงต่อความมั่นคงทางการคลังในอนาคต

เราได้สำรวจไปแล้วถึงสาเหตุหลักของการขาดดุลเรื้อรัง ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างรายจ่ายภาครัฐที่ไม่สมดุลซึ่งงบประจำมีสัดส่วนสูงเกินไป ในขณะที่งบลงทุนกลับมีน้อยเกินไป ปัญหาหนี้สาธารณะที่พอกพูน นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นและโครงการประชานิยมที่ไม่ได้แก้ปัญหาเชิงโครงสร้างอย่างยั่งยืน ความไร้ประสิทธิภาพของระบบภาษี ไปจนถึงปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันที่กัดกินงบประมาณ และความท้าทายใหม่ๆ จากภายนอกประเทศ เช่น สังคมสูงวัย และความผันผวนทางภูมิรัฐศาสตร์โลก

แม้รัฐบาลจะยืนยันถึงความจำเป็นในการใช้งบประมาณขาดดุลเพื่อเป็นเครื่องมือกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างรากฐานการเติบโตในระยะยาว แต่หากการใช้จ่ายยังคงมุ่งเน้นไปที่การบริโภค ไม่ได้สร้างมูลค่าเพิ่มที่ยั่งยืน และขาดการปฏิรูปเชิงโครงสร้างอย่างแท้จริง งบประมาณขาดดุลที่เพิ่มขึ้นนี้อาจนำพาประเทศไทยเข้าสู่วิกฤตหนี้สาธารณะในที่สุด ซึ่งจะบั่นทอนศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจ และส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนในระยะยาว

ดังนั้น สิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งคือการดำเนินมาตรการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจังและรอบด้าน ซึ่งรวมถึงการปฏิรูปโครงสร้างรายจ่ายภาครัฐ ลดความฟุ่มเฟือย และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่าย การปฏิรูประบบภาษีเพื่อเพิ่มรายได้และขยายฐานภาษี การนำระบบงบประมาณฐานศูนย์ (Zero-Based Budgeting) มาใช้เพื่อสร้างวินัยทางการคลัง และที่สำคัญที่สุดคือการป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชันอย่างเด็ดขาด

ความมั่นคงทางการคลังของชาติไม่ใช่เรื่องของรัฐบาลเพียงฝ่ายเดียว แต่เป็นความรับผิดชอบร่วมกันของทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นผู้กำหนดนโยบาย ภาคเอกชน และภาคประชาชน ทุกคนล้วนมีบทบาทในการสร้างความเข้าใจ ติดตามตรวจสอบ และร่วมกันหาทางออกที่เหมาะสม เพื่อให้ประเทศไทยมีฐานะทางการคลังที่แข็งแกร่ง สามารถรับมือกับความท้าทายในอนาคต และสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนได้อย่างแท้จริง

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับงบประมาณขาดดุล หมายถึง

Q:งบประมาณขาดดุลคืออะไร?

A:งบประมาณขาดดุลหมายถึงสถานะที่รายจ่ายของรัฐบาลเกินกว่ารายรับที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาหนึ่ง โดยจะต้องมีการกู้ยืมเพื่อชดเชยส่วนที่ขาด

Q:ทำไมนโยบายขาดดุลถึงมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจ?

A:นโยบายขาดดุลสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงที่เศรษฐกิจซบเซา โดยช่วยสร้างอุปสงค์รวมและเพิ่มการจ้างงาน

Q:มีความเสี่ยงอะไรบ้างในการตั้งงบประมาณแบบขาดดุล?

A:การตั้งงบประมาณแบบขาดดุลอาจนำไปสู่การสะสมหนี้สาธารณะที่สูงขึ้น และอาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการเงินในระยะยาว

發佈留言