บทนำ: ทำความเข้าใจ “พันธบัตร” ตราสารหนี้พื้นฐานสำหรับนักลงทุน
ในวงการลงทุนที่เต็มไปด้วยตัวเลือกหลากหลาย พันธบัตรนับเป็นตราสารหนี้ตัวเลือกหลักที่ช่วยสร้างความมั่นคงให้กับผู้ลงทุน โดยเฉพาะคนที่ต้องการผลตอบแทนที่ค่อยเป็นค่อยไปและเสี่ยงน้อย การเริ่มต้นด้วยการศึกษาพันธบัตรจึงเป็นขั้นตอนสำคัญสำหรับนักลงทุนไทยทุกท่านที่อยากกระจายความเสี่ยงและจัดพอร์ตการลงทุนให้สมดุลยิ่งขึ้น

บทความนี้จะนำเสนอข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับพันธบัตร ตั้งแต่ความหมาย พันธบัตรแต่ละประเภท หลักการทำงาน ข้อดีข้อเสีย ไปจนถึงแนวทางลงทุนในตลาดไทย รวมถึงการเปรียบเทียบกับเครื่องมือลงทุนอื่นๆ ที่นิยม เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างรอบคอบและสอดคล้องกับแผนการเงินส่วนตัว

พันธบัตรหมายถึงอะไร? นิยามและลักษณะสำคัญ
พันธบัตรคือตราสารหนี้ชนิดหนึ่งที่หน่วยงานต่างๆ ออกมาเพื่อหาเงินทุนจากนักลงทุน ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล รัฐวิสาหกิจ หรือบริษัทเอกชน สรุปง่ายๆ ก็คือ นักลงทุนกำลังปล่อยกู้เงินให้กับผู้发行พันธบัตร ซึ่งผู้发行จะตอบแทนด้วยการจ่ายดอกเบี้ยเป็นประจำและคืนเงินต้นเมื่อถึงกำหนด

คุณสมบัติหลักของพันธบัตรที่นักลงทุนควรทำความรู้จักให้ดีมีดังนี้
- ผู้发行 / ผู้กู้: หน่วยงานที่ต้องการทุนและเป็นผู้สร้างพันธบัตร เช่น รัฐบาลผ่านกระทรวงการคลังสำหรับพันธบัตรรัฐบาล รัฐวิสาหกิจ หรือบริษัทเอกชนสำหรับหุ้นกู้
- ผู้ลงทุน / ผู้ปล่อยกู้: บุคคลหรือองค์กรที่ซื้อพันธบัตรและรับผลตอบแทนจากดอกเบี้ยกับเงินต้น
- มูลค่าที่ตราไว้: ยอดเงินต้นที่ผู้发行จะคืนเมื่อครบกำหนด โดยปกติตั้งไว้ที่ 1,000 บาทหรือ 100,000 บาทต่อหน่วย
- อัตราดอกเบี้ย: อัตราที่ผู้发行สัญญาจะจ่ายให้เป็นงวดๆ เช่น ทุก 3 เดือน 6 เดือน หรือปีละครั้ง ซึ่งคงที่ตลอดอายุพันธบัตร
- วันครบกำหนด: วันที่ผู้发行คืนเงินต้นตามมูลค่าที่ตราไว้ พันธบัตรมีอายุหลากหลาย ตั้งแต่สั้นไม่เกินปี กลาง 1-10 ปี ไปจนยาวเกิน 10 ปี
ด้วยคุณสมบัติเหล่านี้ พันธบัตรจึงกลายเป็นทางเลือกที่น่าไว้วางใจสำหรับผู้ที่ชื่นชอบรายได้แน่นอนและสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดทุนผันผวน
เจาะลึกประเภทของพันธบัตร: เลือกให้เหมาะกับคุณ
พันธบัตรแบ่งออกเป็นหลายประเภทตามผู้发行และระดับความเสี่ยง การรู้จักประเภทเหล่านี้จะช่วยให้คุณคัดเลือกได้ตรงกับเป้าหมายและระดับเสี่ยงที่ยอมรับ
ตัวอย่างเช่น ในบริบทของประเทศไทย พันธบัตรรัฐบาลมักถูกมองว่าเป็นฐานรากที่มั่นคง ขณะที่หุ้นกู้เอกชนอาจให้ผลตอบแทนสูงกว่าแต่ต้องพิจารณาความน่าเชื่อถือของบริษัทให้ดี
พันธบัตรรัฐบาล (Government Bonds)
พันธบัตรประเภทนี้เกิดจากการ发行โดยรัฐบาล โดยมี กระทรวงการคลัง เป็นผู้รับผิดชอบ เพื่อนำเงินไปพัฒนาประเทศ จัดการงบประมาณขาดดุล หรือรักษาสภาพคล่องเศรษฐกิจ
- คุณสมบัติเด่น: น่าเชื่อถือสูงสุดและเสี่ยงผิดนัดต่ำ เพราะรัฐบาลค้ำประกัน ผลตอบแทนอาจไม่สูงเท่าประเภทอื่น แต่เน้นความปลอดภัยเป็นหลัก
- ประเภทยอดนิยมในไทย:
- พันธบัตรออมทรัพย์: ออกแบบสำหรับบุคคลทั่วไป มูลค่าต่อหน่วยไม่แพงมาก ขายผ่านธนาคารในช่วงเวลาที่กำหนด เพื่อส่งเสริมการออม
- พันธบัตรระยะยาว: เหมาะสำหรับนักลงทุนสถาบันหรือรายย่อยที่มองหาการลงทุนยาวนาน โดยมักมีอายุ 10-30 ปี
พันธบัตรรัฐบาลยังช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจโดยรวม ทำให้เป็นตัวเลือกแรกสำหรับผู้เริ่มต้น
หุ้นกู้/พันธบัตรเอกชน (Corporate Bonds / Private Bonds)
หุ้นกู้คือพันธบัตรที่บริษัทเอกชน发行เพื่อหาทุนขยายธุรกิจ ลงทุนโครงการใหม่ หรือเสริมสภาพคล่อง
- คุณสมบัติเด่น: เสี่ยงมากกว่าพันธบัตรรัฐบาล ขึ้นกับฐานะการเงินของบริษัท แต่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าเพื่อชดเชยความเสี่ยงนั้น
- บทบาทของอันดับเครดิต: ควรตรวจสอบเรทติ้งจากหน่วยงานอย่าง TRIS Rating หรือ Fitch Ratings (Thailand) ซึ่งบ่งชี้ความสามารถชำระหนี้ของบริษัท ยิ่งเรทติ้งดี เสี่ยงยิ่งน้อย เช่น AAA ถือว่าปลอดภัยสูง
การเลือกลงทุนหุ้นกู้ควรศึกษารายงานการเงินของบริษัทให้ละเอียด เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่ไม่จำเป็น
ประเภทอื่นๆ ที่น่าสนใจ (Other Interesting Types)
นอกจากพันธบัตรรัฐบาลและหุ้นกู้ ยังมีพันธบัตรอื่นๆ ที่น่าติดตาม เช่น
- พันธบัตรองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น: ออกโดยหน่วยงานท้องถิ่นเพื่อทุนโครงการชุมชน เช่น สร้างโครงสร้างพื้นฐานในจังหวัด
- พันธบัตรที่มีลักษณะเฉพาะ: มีโครงสร้างการจ่ายผลตอบแทนที่ซับซ้อน เช่น เชื่อมโยงกับดัชนีตลาด เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่น
ประเภทเหล่านี้อาจเหมาะสำหรับนักลงทุนที่มีประสบการณ์มากขึ้น โดยช่วยเพิ่มความหลากหลายในพอร์ต
พันธบัตรทำงานอย่างไร? กลไกการซื้อขายและผลตอบแทน
การรู้จักกลไกเบื้องหลังพันธบัตรจะทำให้คุณเข้าใจภาพรวมการลงทุนได้ดียิ่งขึ้น โดยเริ่มจากกระบวนการ发行ไปจนถึงการซื้อขายและคำนวณผลตอบแทน
การออกและตลาดแรก (Issuance and Primary Market)
เมื่อรัฐบาลหรือบริษัทต้องการทุน พวกเขาจะ发行พันธบัตรเพื่อขายครั้งแรกในตลาดหลัก โดยนักลงทุนจองซื้อตรงจากผู้发行หรือผ่านตัวแทนที่ได้รับอนุญาต เช่น ธนาคารหรือโบรกเกอร์ กระบวนการนี้มักเกิดในช่วงเวลาที่กำหนด เพื่อให้มั่นใจว่าทุนไหลเข้าอย่างมีประสิทธิภาพ
การซื้อขายในตลาดรอง (Trading in the Secondary Market)
หลังจาก発行แล้ว พันธบัตรสามารถซื้อขายระหว่างนักลงทุนได้ก่อนครบกำหนด ในตลาดรอง ราคาจะปรับตัวตามอุปสงค์-อุปทานและปัจจัยเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอัตราดอกเบี้ยที่ส่งผลโดยตรง
ในไทย สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางข้อมูลและแพลตฟอร์มซื้อขาย ช่วยให้นักลงทุนเข้าถึงข้อมูลเรียลไทม์และทำธุรกรรมได้สะดวก โดยมีโบรกเกอร์ที่ได้รับใบอนุญาตคอยสนับสนุน
ผลตอบแทนจากพันธบัตร: ดอกเบี้ยและกำไรจากราคา
ผลตอบแทนหลักจากพันธบัตรมาจากสองทาง
- ดอกเบี้ย: จ่ายตามอัตราที่กำหนดเป็นงวดๆ ตลอดอายุ สร้างรายได้ประจำที่คาดเดาได้ง่าย
- กำไรจากราคา: ถ้าขายในตลาดรองได้ราคาสูงกว่าที่ซื้อ ก็ได้กำไรจากส่วนต่าง แต่ถ้าต่ำกว้าก็อาจขาดทุน
สิ่งสำคัญคือความสัมพันธ์ระหว่างราคาพันธบัตรกับอัตราดอกเบี้ยตลาด เช่น ถ้าดอกเบี้ยตลาดขึ้น ราคาพันธบัตรเก่าที่ดอกเบี้ยต่ำจะตก ในทางตรงข้าม ถ้าดอกเบี้ยตลาดลง ราคาจะขึ้น ซึ่งนักลงทุนควรติดตามข่าวสารเศรษฐกิจเพื่อปรับกลยุทธ์
เปรียบเทียบพันธบัตรกับหุ้นและหุ้นกู้: ความแตกต่างที่สำคัญ
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น เรามาดูตารางเปรียบเทียบระหว่างพันธบัตร หุ้นกู้ และหุ้น ซึ่งเป็นเครื่องมือลงทุนยอดฮิตในตลาดไทยกัน
| คุณสมบัติ | พันธบัตร (โดยรวม) | หุ้นกู้ (พันธบัตรเอกชน) | หุ้น (Stock) |
|---|---|---|---|
| สถานะของผู้ลงทุน | เจ้าหนี้ | เจ้าหนี้ | เจ้าของกิจการ |
| ผลตอบแทนหลัก | ดอกเบี้ยคงที่ | ดอกเบี้ยคงที่ | เงินปันผล, กำไรจากส่วนต่างราคาหุ้น |
| ความเสี่ยง | ต่ำ-ปานกลาง (ขึ้นอยู่กับผู้ออก) | ปานกลาง-สูง (ขึ้นอยู่กับอันดับเครดิตบริษัท) | สูง (ขึ้นอยู่กับผลประกอบการบริษัทและสภาวะตลาด) |
| สิทธิในการโหวต | ไม่มี | ไม่มี | มี (ในฐานะเจ้าของ) |
| ลำดับการชำระหนี้เมื่อล้มละลาย | ได้รับคืนก่อนเจ้าของหุ้น | ได้รับคืนก่อนเจ้าของหุ้น | ได้รับคืนเป็นลำดับสุดท้าย |
| ความผันผวนของราคา | ต่ำกว่าหุ้น | ต่ำกว่าหุ้น | สูง |
จากตารางนี้จะเห็นว่าพันธบัตรและหุ้นกู้มีจุดร่วมในฐานะตราสารหนี้ แต่ต่างจากหุ้นชัดเจนในเรื่องสถานะ ผลตอบแทน และความเสี่ยง ซึ่งช่วยให้นักลงทุนเลือกผสมผสานได้เหมาะสม
ข้อดีและข้อเสียของการลงทุนในพันธบัตร
ก่อนลงทุนพันธบัตร ควรชั่งน้ำหนักข้อดีข้อเสียให้รอบคอบ เพื่อให้ตรงกับสถานการณ์ส่วนตัว
ข้อดี (Advantages)
- ความมั่นคงและรายได้สม่ำเสมอ: ได้รับดอกเบี้ยแน่นอนเป็นงวดๆ สร้างกระแสเงินสดที่คาดการณ์ได้ โดยเฉพาะในยามเศรษฐกิจไม่แน่นอน
- ความเสี่ยงต่ำกว่าหุ้น: พันธบัตรรัฐบาลแทบไม่เสี่ยงผิดนัด ทำให้เป็นที่พักพิงปลอดภัยยามตลาดหุ้นตก
- กระจายความเสี่ยง: การเพิ่มพันธบัตรในพอร์ตช่วยลดความผันผวน เพราะมักเคลื่อนไหวตรงข้ามกับหุ้นในช่วงวิกฤต
- รักษากำลังซื้อ: แม้ผลตอบแทนไม่หวือหวา แต่ดีกว่าฝากออมทรัพย์ทั่วไป โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาอัตราเงินเฟ้อ
ข้อเสีย (Disadvantages)
- ผลตอบแทนต่ำกว่าหุ้น: ในระยะยาว หุ้นมักให้ผลตอบแทนสูงกว่า ทำให้พันธบัตรเหมาะกับเป้าหมายอนุรักษ์นิยม
- ความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ย: ถ้าดอกเบี้ยตลาดขึ้น ราคาพันธบัตรที่ถือจะลด หากขายก่อนกำหนดอาจขาดทุน โดยเฉพาะพันธบัตรระยะยาว
- ความเสี่ยงด้านเครดิต: สำหรับหุ้นกู้ มีโอกาสที่บริษัทผิดนัด แม้พันธบัตรรัฐบาลจะเสี่ยงน้อย แต่ก็ควรติดตามข่าวสาร
- สภาพคล่อง: บางพันธบัตรอย่างหุ้นกู้บริษัทเล็กอาจขายยากในตลาดรอง ส่งผลให้ต้องยอมราคาต่ำกว่าค่า
โดยรวม ข้อดีของพันธบัตรเด่นชัดในด้านความปลอดภัย แต่ต้องจัดการความเสี่ยงอื่นๆ ให้ดี
คู่มือการลงทุนพันธบัตรสำหรับนักลงทุนไทย: เริ่มต้นอย่างไร?
หากคุณเป็นนักลงทุนไทยที่สนใจพันธบัตร นี่คือแนวทางปฏิบัติที่ครบถ้วน ตั้งแต่ช่องทางไปจนถึงข้อควรระวัง
ช่องทางการลงทุนพันธบัตรในประเทศไทย (Channels for Bond Investment in Thailand)
มีหลายวิธีเข้าถึงพันธบัตรในไทย
- ธนาคารพาณิชย์: ธนาคารส่วนใหญ่ขายพันธบัตรออมทรัพย์รัฐบาล และบางแห่งจัดการซื้อขายในตลาดรอง ติดต่อได้ที่ ธนาคารกสิกรไทย, ธนาคารกรุงไทย, หรือธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย ผ่านสาขา แอป หรือเว็บ
- บริษัทหลักทรัพย์: ให้บริการซื้อขายหุ้นกู้และพันธบัตรรัฐบาลทั้งตลาดหลักและรอง รวมถึงรับจอง发行ใหม่ เปิดบัญชีเพื่อเข้าถึง
- ตลาดรอง ThaiBMA: สำหรับนักลงทุนขั้นสูง สามารถเทรดผ่านโบรกเกอร์ที่ ThaiBMA รับรอง เพื่อความรวดเร็วและโปร่งใส
ขั้นตอนการซื้อพันธบัตรออมทรัพย์และพันธบัตรรัฐบาล (Steps to Buy Savings Bonds and Government Bonds)
สำหรับรายย่อย พันธบัตรออมทรัพย์คือจุดเริ่มต้นที่เข้าถึงง่าย
- ศึกษาข้อมูล: ติดตามประกาศจากกระทรวงการคลังหรือธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อรู้รายละเอียดรุ่น อัตราดอกเบี้ย และช่วงจอง
- เปิดบัญชี: เตรียมบัญชีออมทรัพย์หรือหลักทรัพย์กับธนาคารตัวแทน หากยังไม่มี
- จองซื้อ: ในช่วงที่กำหนด ใช้แอปมือถือ อินเทอร์เน็ตแบงก์ หรือสาขาธนาคาร
- ชำระเงิน: โอนเงินตามจำนวนที่จอง
- รับยืนยัน: ได้รับเอกสารยืนยันและข้อมูลสิทธิ์ในพันธบัตร
สำหรับพันธบัตรรัฐบาลหรือหุ้นกู้ในตลาดรอง ต้องเปิดบัญชีกับบริษัทหลักทรัพย์และเทรดผ่านแพลตฟอร์มของพวกเขา ซึ่งมักมีเครื่องมือวิเคราะห์ช่วยเหลือ
ข้อควรพิจารณาก่อนลงทุนสำหรับคนไทย (Considerations for Thai Investors Before Investing)
- เป้าหมายและระดับเสี่ยง: กำหนดชัดว่าลงทุนเพื่ออะไร เช่น เกษียณหรือออมระยะสั้น พันธบัตรเหมาะกับคนที่ชอบความมั่นคง
- ภาษีหัก ณ ที่จ่าย: ดอกเบี้ยพันธบัตรถูกหักภาษี 15% สำหรับบุคคลธรรมดา (ทั้งรัฐบาลและเอกชน) ควรคำนวณสุทธิให้ดี
- นโยบายอัตราดอกเบี้ยของ ธนาคารแห่งประเทศไทย: การปรับดอกเบี้ยนโยบายของ ธนาคารแห่งประเทศไทย ส่งผลต่อราคาพันธบัตร ถ้าดอกเบี้ยขึ้น ราคาในตลาดรองอาจลง
- สภาพคล่อง: เลือกพันธบัตรที่ขายง่าย หากอาจต้องใช้เงินด่วน
การพิจารณาเหล่านี้จะช่วยให้การลงทุนมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะในสภาพเศรษฐกิจไทยที่ผันผวนจากปัจจัยภายนอก
สรุป: พันธบัตรทางเลือกที่มั่นคงในการลงทุน
พันธบัตรคือเครื่องมือลงทุนที่มีคุณค่ามาก โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ให้ความสำคัญกับความมั่นคง รายได้ประจำ และการกระจายความเสี่ยง แม้ผลตอบแทนจะไม่สูงเท่าหุ้น แต่ก็เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้พอร์ตโดยรวม
ด้วยการเข้าใจนิยาม ประเภท กลไก ข้อดีข้อเสีย และปัจจัยเฉพาะในตลาดไทย คุณจะสามารถเลือกและจัดการพันธบัตรได้อย่างชาญฉลาด สู่การบรรลุเป้าหมายทางการเงินที่วางไว้
พันธบัตรกับหุ้นกู้ต่างกันอย่างไร? ควรเลือกลงทุนอะไรดี?
โดยทั่วไป พันธบัตรครอบคลุมตราสารหนี้ทั้งหมด แต่ในทางปฏิบัติมักหมายถึงพันธบัตรรัฐบาล ขณะที่หุ้นกู้คือพันธบัตรจากบริษัทเอกชน
- ความแตกต่างหลัก: ผู้发行 (รัฐบาลเทียบกับเอกชน) และระดับเสี่ยง (พันธบัตรรัฐบาลเสี่ยงต่ำกว่า)
- การเลือก:
- พันธบัตรรัฐบาล: เหมาะกับคนที่ต้องการความปลอดภัยสูง เสี่ยงน้อย แม้ผลตอบแทนไม่มาก
- หุ้นกู้: สำหรับผู้ยอมรับเสี่ยงเพิ่มเพื่อผลตอบแทนสูงกว่า โดยศึกษาอันดับเครดิตบริษัทให้ละเอียด
ซื้อพันธบัตรมีความเสี่ยงไหม? มีอะไรบ้างที่ต้องระวัง?
พันธบัตรเสี่ยงต่ำกว่าหุ้น แต่ก็มีจุดที่ต้องระวัง
- ความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ย: ถ้าดอกเบี้ยตลาดขึ้น ราคาพันธบัตรที่ถือจะลด หากขายก่อนกำหนด
- ความเสี่ยงด้านเครดิต/ผิดนัดชำระหนี้: โดยเฉพาะหุ้นกู้เอกชนที่บริษัทอาจชำระไม่ได้ (พันธบัตรรัฐบาลเสี่ยงน้อย)
- ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง: บางรุ่นขายยากในตลาดรอง อาจต้องยอมราคาต่ำ
พันธบัตรออมทรัพย์คืออะไร? มีวิธีการซื้ออย่างไรในประเทศไทย?
พันธบัตรออมทรัพย์คือพันธบัตรรัฐบาลที่ออกสำหรับบุคคลทั่วไป เพื่อส่งเสริมการออมและลงทุน
วิธีการซื้อในประเทศไทย:
- ติดตามประกาศ: กระทรวงการคลังประกาศช่วงจองและรายละเอียดทางสื่อ
- เปิดบัญชี: ใช้บัญชีกับธนาคารตัวแทน เช่น ธนาคารกรุงเทพ กสิกรไทย กรุงไทย ไทยพาณิชย์
- จองซื้อ: ในช่วงกำหนด ผ่านแอปมือถือ อินเทอร์เน็ตแบงก์ หรือสาขา
- ชำระเงิน: โอนตามจำนวนที่ต้องการ
มีขั้นต่ำและสูงสุดในการจอง และช่วงขายจำกัด
ผลตอบแทนจากการลงทุนพันธบัตรคิดอย่างไร? และต้องเสียภาษีไหม?
ผลตอบแทนหลักมีสองส่วน
- ดอกเบี้ย: จ่ายเป็นงวดตามอัตราที่กำหนด
- กำไรจากส่วนต่างราคา: จากการขายในตลาดรองที่ราคาสูงกว่าซื้อ
การเสียภาษี:
- ดอกเบี้ยพันธบัตร: หักภาษี ณ ที่จ่าย 15% สำหรับบุคคลธรรมดา (ทั้งรัฐบาลและหุ้นกู้)
- กำไรจากส่วนต่างราคา: โดยปกติไม่ต้องเสียภาษีสำหรับบุคคลธรรมดาในไทย
ถ้าต้องการขายพันธบัตรก่อนครบกำหนดไถ่ถอน ทำได้หรือไม่? และมีผลอย่างไร?
ทำได้: สามารถขายในตลาดรองก่อนครบกำหนด
ผลกระทบ:
- ราคาขึ้นอยู่กับตลาด: ขึ้นกับสภาวะ โดยเฉพาะดอกเบี้ย ถ้าดอกเบี้ยขึ้น ราคาลง อาจขาดทุน แต่ถ้าลง ราคาขึ้น ได้กำไร
- สภาพคล่อง: บางรุ่นหาผู้ซื้อยาก ต้องยอมราคาต่ำ
การขายก่อนจึงมีความเสี่ยงด้านราคาที่ต้องชั่งใจ
การลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลเหมาะกับใคร? และมีข้อดี-ข้อเสียอะไรบ้าง?
เหมาะกับ:
- ผู้ต้องการความมั่นคงสูงและเสี่ยงน้อย
- ผู้ต้องการรายได้ประจำจากดอกเบี้ย
- ผู้กระจายความเสี่ยงในพอร์ต
- ผู้วางแผนเกษียณหรือออมยาว
ข้อดี:
- เสี่ยงผิดนัดต่ำสุด
- ดอกเบี้ยสม่ำเสมอและคาดการณ์ได้
- ช่วยรักษากำลังซื้อ
ข้อเสีย:
- ผลตอบแทนต่ำกว่าหุ้น
- เสี่ยงจากดอกเบี้ยที่ทำให้ราคาผันผวนในตลาดรอง
พันธบัตรกับเงินฝากประจำ แตกต่างกันอย่างไร?
ทั้งคู่เสี่ยงต่ำและให้ดอกเบี้ย แต่ต่างกันตรง
- พันธบัตร: ซื้อขายได้ในตลาดรอง ราคาผันผวนตามดอกเบี้ยตลาด ขายก่อนอาจกำไรหรือขาดทุน มีเสี่ยงเครดิตสำหรับหุ้นกู้
- เงินฝากประจำ: ฝากธนาคารตรง ไม่เทรดได้ ได้ดอกเบี้ยตามตกลง ถอนก่อนอาจเสียดอกเบี้ย เสี่ยงต่ำเพราะมีกองทุนคุ้มครอง
พันธบัตรให้ผลตอบแทนสูงกว่าเล็กน้อยเพื่อชดเชยเสี่ยงด้านราคาและคล่องตัว
ควรเริ่มต้นลงทุนพันธบัตรด้วยเงินเท่าไหร่ดี? และหาข้อมูลจากที่ไหน?
จำนวนเงินเริ่มต้น:
- พันธบัตรออมทรัพย์: ขั้นต่ำต่ำ เช่น 1,000 หรือ 100,000 บาท ตามประกาศแต่ละรุ่น เข้าถึงง่ายสำหรับรายย่อย
- พันธบัตรรัฐบาล/หุ้นกู้ในตลาดรอง: ขั้นต่ำสูงกว่า เช่น 100,000 หรือ 1,000,000 บาท ต่อหน่วย ขึ้นกับรุ่น
แหล่งข้อมูล:
- สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA): ข้อมูลตลาด ข่าว และประกาศ
- กระทรวงการคลัง: ประกาศพันธบัตรรัฐบาลและออมทรัพย์
- ธนาคารแห่งประเทศไทย: อัตราดอกเบี้ยและนโยบายการเงิน
- เว็บธนาคารและบริษัทหลักทรัพย์: มีบทวิเคราะห์พันธบัตร
เริ่มด้วยเงินที่ไม่กระทบสภาพคล่องชีวิตประจำวัน เพื่อความสบายใจ