66, Broklyn St, New York, USA
Turning big ideas into great services!

Auction คือกลไกใหม่พลิกโฉมตลาดหุ้นไทยในปี 2025

Home / ข่าวตลาดเงิน / Auc...

meetcinco_com | 28 7 月

Auction คือกลไกใหม่พลิกโฉมตลาดหุ้นไทยในปี 2025

“Auction” กลไกใหม่พลิกโฉมตลาดหุ้นไทย: ควบคุมหุ้นร้อนแรง สร้างโอกาสตัดสินใจอย่างชาญฉลาด

ในฐานะนักลงทุน ไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่ที่เพิ่งก้าวเข้าสู่โลกของการลงทุน หรือเป็นเทรดเดอร์ผู้มากประสบการณ์ที่ต้องการขยายพรมแดนความรู้ หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ต้องให้ความสนใจเสมอคือ “กลไก” การทำงานของตลาด หลายครั้งที่ตลาดหุ้นไทยต้องเผชิญกับปรากฏการณ์ “หุ้นร้อน” หรือ “หุ้นซิ่ง” ซึ่งมีการเคลื่อนไหวของราคาที่ผันผวนรุนแรง และปริมาณการซื้อขายที่ผิดปกติ นำมาซึ่งความเสี่ยงและความท้าทายต่อนักลงทุนโดยรวม เพื่อแก้ไขปัญหานี้และยกระดับความเชื่อมั่น ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) จึงได้มีแนวคิดที่จะนำมาตรการ “Auction” หรือการประมูลหุ้นเป็นรอบเข้ามาใช้ ซึ่งนับเป็นการปรับเปลี่ยนครั้งสำคัญที่จะส่งผลกระทบต่อวิธีการซื้อขายและกลยุทธ์การลงทุนของเราทุกคน

บทความนี้จะนำพาคุณดำดิ่งลงไปในรายละเอียดของมาตรการ Auction ตั้งแต่รากฐานแนวคิด การทำงาน ไปจนถึงผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้นกับตลาดหุ้นไทย และที่สำคัญที่สุดคือ วิธีที่คุณจะสามารถปรับตัวและใช้ประโยชน์จากกลไกใหม่นี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เตรียมตัวให้พร้อม เพราะเราจะเปิดเผยทุกแง่มุมของการประมูลในตลาดหุ้น ที่จะช่วยให้คุณมองเห็นภาพรวมที่ชัดเจน และตัดสินใจลงทุนได้อย่างมีข้อมูลมากขึ้น

นักลงทุนกำลังตัดสินใจด้วยความมั่นใจ

การที่ตลาดหุ้นมีการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วทำให้เหล่านักลงทุนต้องมีความมั่นใจในตัวเองและการตัดสินใจเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด หนึ่งในกลไกใหม่ที่ถูกนำเสนอคือ Auction ซึ่งจะเป็นตัวช่วยให้ผู้ที่ลงทุนสามารถกระทำการได้อย่างชาญฉลาดมากขึ้น

“หุ้นร้อน” และมาตรการกำกับดูแลปัจจุบัน: ทำไม “Auction” จึงจำเป็น?

คุณเคยสงสัยไหมว่า อะไรคือต้นตอของคำว่า “หุ้นร้อน” หรือ “หุ้นซิ่ง” และทำไมหุ้นเหล่านี้จึงเป็นประเด็นที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด? โดยทั่วไปแล้ว หุ้นร้อนหมายถึงหุ้นที่มีราคาและปริมาณการซื้อขายปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ผิดปกติ และมักไม่สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานของบริษัท แรงซื้อและแรงขายที่เข้ามาอย่างหนาแน่นในช่วงเวลาสั้น ๆ สามารถนำไปสู่ความผันผวนที่รุนแรง ซึ่งอาจสร้างโอกาสทำกำไรสูงสำหรับบางคน แต่ก็เป็นความเสี่ยงมหาศาลสำหรับนักลงทุนส่วนใหญ่ที่อาจเข้ามาติดกับดักราคาในช่วงที่ตลาดเริ่มกลับตัว

ก่อนหน้านี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้มีมาตรการกำกับการซื้อขายหลักทรัพย์ 3 ระดับเพื่อควบคุมความร้อนแรงเหล่านี้ โดยมาตรการเหล่านี้จะถูกนำมาใช้เมื่อหุ้นมีพฤติกรรมการซื้อขายที่ผิดปกติอย่างต่อเนื่อง:

  • ระดับ 1: วางเงินสด 100% (Cash Balance)

    นี่คือมาตรการขั้นต้นที่กำหนดให้นักลงทุนที่ต้องการซื้อหุ้นที่ถูกควบคุมต้องวางเงินสดเต็มจำนวนก่อนการซื้อขาย หรือที่เรียกว่าบัญชี Cash Balance 100% ซึ่งหมายความว่าจะไม่สามารถใช้มาร์จิ้นหรือเงินกู้ยืมจากโบรกเกอร์ในการซื้อหุ้นตัวนั้นได้ วัตถุประสงค์คือเพื่อลดกำลังซื้อเก็งกำไร และลดสภาพคล่องการซื้อขายลงทันที

  • ระดับ 2: ห้าม Net Settlement เพิ่มเติม (Prohibit Net Settlement)

    เมื่อหุ้นยังคงมีพฤติกรรมผิดปกติหลังจากถูกควบคุมด้วยมาตรการระดับ 1 ตลาดหลักทรัพย์ฯ อาจยกระดับการควบคุมเป็นระดับ 2 ซึ่งนอกจากจะต้องวางเงินสด 100% แล้ว ยังห้ามการหักกลบราคาซื้อขายในวันเดียวกัน (Net Settlement) นั่นหมายความว่า ถ้าคุณซื้อหุ้นในตอนเช้า คุณจะต้องชำระเงินเต็มจำนวนในวันนั้น และถ้าคุณขายหุ้นในตอนบ่าย คุณก็ต้องรับเงินเต็มจำนวนในวันนั้นเช่นกัน ไม่สามารถนำมาหักลบกันได้ มาตรการนี้ยิ่งเพิ่มภาระด้านการเงินและลดความคล่องตัวในการซื้อขายระยะสั้น

  • ระดับ 3: ขึ้นเครื่องหมาย P (Precautionary) ห้ามซื้อขายชั่วคราว 1 วัน

    นี่คือมาตรการขั้นสูงสุดที่ใช้กับหุ้นที่มีความผิดปกติอย่างรุนแรงและต่อเนื่อง ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะขึ้นเครื่องหมาย P และสั่งห้ามการซื้อขายหุ้นตัวนั้นเป็นเวลา 1 วันทำการ เพื่อให้นักลงทุนมีเวลาในการพิจารณาข้อมูลและตัดสินใจอย่างรอบคอบมากขึ้น ตัวอย่างที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่นานมานี้คือกรณีของหุ้น บริษัท มิสแกรนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MGI ที่ราคาปรับตัวขึ้นแรงและถูก ตลท. ขึ้นเครื่องหมาย P ห้ามซื้อขายชั่วคราว มาตรการนี้มีจุดประสงค์เพื่อลดความตื่นตระหนกและลดความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นในวงกว้าง

ระดับ รายละเอียด ผลกระทบต่อนักลงทุน
1 วางเงินสด 100% (Cash Balance) ลดกำลังซื้อเก็งกำไรลงและลดสภาพคล่อง
2 ห้าม Net Settlement เพิ่มเติม (Prohibit Net Settlement) เพิ่มภาระด้านการเงินและลดความคล่องตัวในการซื้อขาย
3 ขึ้นเครื่องหมาย P (Precautionary) ห้ามซื้อขายชั่วคราว 1 วัน บังคับให้หยุดชะงักการซื้อขายและลดความตื่นตระหนก

แม้มาตรการทั้ง 3 ระดับนี้จะช่วยควบคุมสถานการณ์ได้ในระดับหนึ่ง แต่ก็ยังไม่สามารถป้องกันการเก็งกำไรที่เกินจริงได้อย่างสมบูรณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหุ้นที่มีปริมาณการซื้อขายสูงมากในเวลาอันสั้น หรือที่เรียกกันว่า “การสร้างราคา” (Price Manipulation) ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วจนมาตรการเดิม ๆ ตามไม่ทัน ด้วยเหตุนี้เอง ตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงมองเห็นความจำเป็นที่จะต้องนำกลไกที่ทรงประสิทธิภาพกว่าอย่าง “Auction” เข้ามาใช้ เพื่อเติมเต็มช่องว่างในการควบคุม และสร้างความต่อเนื่องของราคาที่สะท้อนมูลค่าแท้จริงของหุ้นมากขึ้น

การประมูลหุ้นในตลาด

เจาะลึกความหมายของ “Auction” ในบริบทตลาดหุ้น: การเปลี่ยนผ่านสู่กลไกการซื้อขายแบบรอบ

คำว่า “Auction” หรือการประมูลนั้น คุณอาจคุ้นเคยกับการประมูลสินค้าหายาก งานศิลปะ หรืออสังหาริมทรัพย์ แต่ในบริบทของตลาดหุ้น Auction มีความหมายและกลไกที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อถูกนำมาใช้เพื่อควบคุมความผันผวนและสร้างความโปร่งใส ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยกำลังพิจารณาที่จะเปลี่ยนระบบการซื้อขายหุ้นบางประเภท จากเดิมที่เป็น Automatic Order Matching (AOM) หรือการจับคู่คำสั่งซื้อขายแบบอัตโนมัติทันทีที่คำสั่งเข้ามา สู่ระบบการประมูลเป็นรอบ ๆ แทน

ลองจินตนาการดูว่า แทนที่จะจับคู่ซื้อขายกันตลอดเวลาเหมือนเดิม เมื่อหุ้นถูกกำหนดให้เข้าสู่มาตรการ Auction ระบบจะหยุดการจับคู่คำสั่งอัตโนมัติชั่วคราว และเปิดโอกาสให้นักลงทุนส่งคำสั่งซื้อขายเข้ามาใน “ช่วงเวลา” ที่กำหนดไว้ โดยจะยังไม่มีการจับคู่ทันที แต่คำสั่งเหล่านั้นจะถูกรวบรวมไว้ก่อน และเมื่อสิ้นสุดช่วงเวลาที่กำหนด ระบบจะทำการจับคู่ซื้อขายพร้อมกันทั้งหมด ณ ราคาเดียวหรือหลายราคาตามกฎเกณฑ์ที่กำหนดไว้ ซึ่งจะอธิบายในส่วนของ Call Auction ต่อไป

การประมูลนี้จะแบ่งออกเป็น 3 รอบหลักต่อวัน ซึ่งเป็นช่วงเวลาสำคัญที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ต้องการควบคุมการกำหนดราคา:

ช่วงเวลา รายละเอียด
ช่วงจับคู่ซื้อขายครั้งแรกของวัน (Pre-Open) ประมาณ 09:50 น. ก่อนตลาดเปิดจริงในช่วงเช้า
ช่วงก่อนเปิดทำการซื้อขายช่วงบ่าย (Pre-Open for Afternoon Session) ประมาณ 14:25 น. ก่อนตลาดเปิดช่วงบ่าย
ช่วงเสนอราคาปิดการซื้อขายประจำวัน (Pre-Close) ประมาณ 16:35 น. ก่อนตลาดปิดประจำวัน

วัตถุประสงค์หลักของการนำ Auction มาใช้ในตลาดหุ้นคือการ:

  • เพิ่มเวลาในการตัดสินใจของนักลงทุน: เมื่อมีช่วงเวลาให้ส่งคำสั่งและมีการรวบรวมคำสั่งก่อนจับคู่ นักลงทุนจะมีเวลาทบทวนข้อมูลและพิจารณาตัดสินใจมากขึ้น ไม่ต้องรีบเร่งซื้อขายในเสี้ยววินาที
  • ลดความเสี่ยงจากการสร้างราคาที่ผิดปกติ: การประมูลเป็นรอบจะช่วยลดโอกาสที่นักลงทุนรายใหญ่จะเข้ามา “ปั่นราคา” หรือสร้างราคาปลอมในเวลาอันสั้น เพราะทุกคำสั่งจะถูกรวบรวมและประมวลผลพร้อมกัน ทำให้การกำหนดราคาสะท้อนอุปสงค์และอุปทานที่แท้จริงของตลาดมากขึ้น
  • สร้างความโปร่งใสและยุติธรรม: การที่ราคาถูกกำหนดโดยการรวบรวมคำสั่งทั้งหมด ณ จุดเวลาหนึ่ง ทำให้ทุกคนเห็นภาพรวมของความต้องการซื้อและขาย ซึ่งช่วยสร้างความยุติธรรมในการซื้อขาย
วัตถุประสงค์ รายละเอียด
เพิ่มเวลาในการตัดสินใจ นักลงทุนมีเวลาทบทวนข้อมูลมากขึ้น
ลดความเสี่ยงจากการสร้าง价格 ช่วยลดการปั่นราคาจริง ๆ ในตลาด
สร้างความโปร่งใส ทุกคนเห็นภาพรวมของความต้องการอย่างชัดเจน

มาตรการ Auction จึงไม่ใช่แค่การเปลี่ยนแปลงทางเทคนิค แต่เป็นการปรับเปลี่ยนปรัชญาการซื้อขายบางส่วน เพื่อให้ตลาดหุ้นมีความเสถียรและเป็นธรรมสำหรับนักลงทุนทุกคน หากคุณกำลังมองหาแพลตฟอร์มที่หลากหลายและมีประสิทธิภาพสำหรับการเทรด การศึกษาการเปลี่ยนแปลงในตลาดอยู่เสมอจะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ดียิ่งขึ้น

กลไกการประมูลในตลาดหุ้น

กลไก “Call Auction”: หัวใจสำคัญของการกำหนดราคาเปิด-ปิดตลาดอย่างยุติธรรมและโปร่งใส

เมื่อพูดถึง Auction ในตลาดหุ้น เรามักจะพบกับคำว่า “Call Auction” ซึ่งเป็นรูปแบบการประมูลที่สำคัญที่สุดในการกำหนดราคาเปิด (ATO: At The Opening) และราคาปิด (ATC: At The Closing) ของหุ้นในแต่ละวัน กลไกนี้ถูกออกแบบมาเพื่อให้เกิดราคาซื้อขายที่ยุติธรรมที่สุด โดยรวบรวมคำสั่งซื้อและขายทั้งหมดในช่วงเวลาที่กำหนด (Pre-open หรือ Pre-close) และหาจุดที่ปริมาณการซื้อขายสูงสุดเกิดขึ้น

ลองนึกภาพว่า ช่วงเวลา 10-15 นาที ก่อนตลาดเปิด (Pre-open) และก่อนตลาดปิด (Pre-close) นักลงทุนสามารถส่งคำสั่งซื้อขายเข้ามาได้ตลอด แต่คำสั่งเหล่านั้นจะยังไม่ถูกจับคู่ทันที ระบบจะเก็บรวบรวมคำสั่งซื้อ (Bid) และคำสั่งขาย (Offer) ทั้งหมดที่เข้ามาในราคาต่างๆ จากนั้นเมื่อถึงเวลาที่กำหนด ระบบจะทำการคำนวณ “ราคาประมูล” หรือราคาเปิด/ปิด โดยใช้หลักการสำคัญ 3 ประการคือ:

  1. หลักลำดับความสำคัญด้านราคา (Price Priority):

    • สำหรับคำสั่งซื้อ (Bid): คำสั่งซื้อที่เสนอราคาสูงสุดจะถูกจัดลำดับความสำคัญก่อนเสมอ
    • สำหรับคำสั่งขาย (Offer): คำสั่งขายที่เสนอราคาต่ำสุดจะถูกจัดลำดับความสำคัญก่อนเสมอ

    นี่คือหลักการพื้นฐานที่ทำให้ตลาดมีประสิทธิภาพ เพราะผู้ที่ยอมจ่ายแพงกว่าย่อมได้ก่อน และผู้ที่ยอมขายถูกกว่าย่อมได้ขายก่อน

  2. หลักลำดับความสำคัญด้านเวลา (Time Priority):

    หากมีคำสั่งซื้อหรือขายหลายคำสั่งที่เสนอราคาเดียวกัน คำสั่งที่เข้ามาในระบบก่อน (First-in, First-out) จะถูกจัดลำดับความสำคัญก่อน

  3. หลักการเลือกราคาที่สร้างปริมาณการซื้อขายสูงสุด (Maximum Traded Volume):

    นี่คือหัวใจของ Call Auction ระบบจะพิจารณาทุกราคาที่เป็นไปได้ (โดยเรียงลำดับจากราคาสูงไปต่ำสำหรับคำสั่งซื้อ และต่ำไปสูงสำหรับคำสั่งขาย) แล้วเลือกราคาเดียวที่สามารถทำให้เกิด “ปริมาณการซื้อขายรวมที่มากที่สุด” ระหว่างคำสั่งซื้อและคำสั่งขาย ณ ราคานั้น

    • หากมีหลายราคาที่ให้ปริมาณการซื้อขายสูงสุดเท่ากัน: ระบบจะเลือกราคาที่ “ใกล้เคียงกับราคาปิดของวันทำการก่อนหน้ามากที่สุด” (สำหรับราคาเปิด) หรือ “ใกล้เคียงกับราคาอ้างอิงของวันนั้นมากที่สุด” (สำหรับราคาปิด) หลักการนี้เรียกว่า “กฎเสียงข้างมาก” (Majority Rule) เพื่อให้ราคาที่ได้ไม่โดดห่างจากราคาเดิมมากเกินไป และสะท้อนความต้องการส่วนใหญ่ของตลาด

    • หากมีหลายราคาที่ยังคงใกล้เคียงกัน: ระบบจะเลือกราคาที่ทำให้มีคำสั่งซื้อที่รอคอยการจับคู่ (Unmatched Buy Orders) เหลืออยู่สูงสุด (กรณีราคาเปิด) หรือต่ำสุด (กรณีราคาปิด) เพื่อให้เกิดความสมดุลในตลาดมากที่สุด

ด้วยกลไก Call Auction นี้ คุณจะเห็นได้ว่า การกำหนดราคาเปิดและปิดของตลาดไม่ใช่แค่การสุ่ม แต่เป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและมีหลักเกณฑ์ที่ชัดเจน เพื่อให้ราคาที่ได้นั้นเป็นราคาที่ยุติธรรม โปร่งใส และสะท้อนความต้องการของตลาดส่วนใหญ่มากที่สุด เป็นการลดโอกาสของการสร้างราคาเทียม และเพิ่มเสถียรภาพให้กับตลาดหุ้นในระยะยาว

ประวัติศาสตร์อันยาวนานของ “การประมูล”: จากบาบิโลนโบราณสู่ตลาดทุนยุคใหม่

ก่อนที่เราจะลงลึกไปถึงผลกระทบและการปรับตัวของนักลงทุน เรามาทำความเข้าใจรากฐานของ “การประมูล” กันสักนิด การประมูลไม่ใช่แนวคิดใหม่เอี่ยมในโลกของการเงิน แต่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานย้อนกลับไปหลายพันปี แสดงให้เห็นถึงบทบาทสำคัญของกลไกนี้ในการกำหนดมูลค่าและจัดสรรทรัพยากรมาทุกยุคสมัย

การประมูลครั้งแรก ๆ ในประวัติศาสตร์:

  • บาบิโลนโบราณ (ประมาณ 500 ปีก่อนคริสตกาล): นักประวัติศาสตร์ชาวกรีก Herodotus (เฮโรโดตัส) ได้บันทึกถึงการประมูลหญิงสาวที่สามารถแต่งงานได้ โดยจะประมูลจากคนสวยที่สุดก่อน และใช้เงินที่ได้จากการประมูลคนสวย ไปเป็นสินสอดให้ผู้หญิงที่ไม่สวยมากนัก เพื่อให้แน่ใจว่าทุกคนจะมีโอกาสแต่งงาน นี่อาจเป็นรูปแบบการประมูลเพื่อวัตถุประสงค์ทางสังคมที่เก่าแก่ที่สุดเท่าที่บันทึกไว้

  • อาณาจักรโรมัน: การประมูลเป็นเรื่องที่พบเห็นได้ทั่วไปในกรุงโรม ไม่ว่าจะเป็นการขายเชลยศึกจากสงคราม (ซึ่งมักจะถูกประมูลขายเป็นทาส) หรือการประมูลทรัพย์สินของลูกหนี้ที่ไม่สามารถชำระหนี้ได้ แม้กระทั่งอำนาจสูงสุดอย่างตำแหน่งจักรพรรดิก็ยังเคยถูกประมูลขาย โดยในปี ค.ศ. 193 หลังจากที่จักรพรรดิ Pertinax ถูกสังหาร องครักษ์ผู้ทรงอิทธิพลได้จัดให้มีการประมูลตำแหน่งจักรพรรดิ ซึ่งสุดท้าย Didius Julianus ได้ประมูลตำแหน่งนี้ไปในราคาสูงถึง 25,000 เดรคมาต่อองครักษ์หนึ่งคน แต่ก็ครองราชย์ได้เพียง 66 วันก่อนจะถูก Septimius Severus โค่นล้มและประหารชีวิต

  • กรีกโบราณและยุคกลาง: การประมูลยังคงใช้กันอย่างแพร่หลายเพื่อขายสินค้าและทรัพย์สินต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุโรป และต่อมาก็แพร่หลายไปทั่วโลก รวมถึงในเอเชีย

วิวัฒนาการของการประมูลในยุคใกล้:

  • การประมูลเทียนไข (Candle Auction): ในศตวรรษที่ 17-18 ในประเทศอังกฤษ มีการประมูลสินค้าที่น่าสนใจอย่างหนึ่งเรียกว่า “Candle Auction” โดยจะจุดเทียนไขเล่มเล็ก ๆ ขึ้นมา และการประมูลจะสิ้นสุดลงเมื่อเปลวเทียนดับลงเอง ไม่ว่าจะใช้เวลานานเท่าใดก็ตาม ถือเป็นวิธีการสร้างความตื่นเต้นและยุติธรรมในอีกรูปแบบหนึ่ง Samuel Pepys นักบันทึกเหตุการณ์ชื่อดังชาวอังกฤษเคยบันทึกถึงการประมูลเรือรบด้วยวิธีนี้

  • การประมูลในยุคปัจจุบัน: ตลาดประมูลสินค้าที่มีชื่อเสียงอย่าง Sotheby’s ก่อตั้งในปี 1744 และ Christie’s ก่อตั้งในปี 1766 โดย James Christie ล้วนเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่าการประมูลได้กลายเป็นส่วนสำคัญของการค้าและวัฒนธรรมทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นงานศิลปะ โบราณวัตถุ อสังหาริมทรัพย์ หรือแม้แต่คลื่นความถี่สำหรับโทรศัพท์มือถือ

จากประวัติศาสตร์อันยาวนาน เราจะเห็นได้ว่าหลักการพื้นฐานของการประมูลที่ว่า “ผู้เสนอราคาสูงสุดย่อมได้ไป” หรือ “ผู้เสนอราคาที่ดีที่สุดสำหรับผู้ขายย่อมได้ขาย” ได้ถูกนำมาปรับใช้ในบริบทที่หลากหลายอย่างต่อเนื่อง และในที่สุดก็มาถึงตลาดหลักทรัพย์ที่เราคุ้นเคยกันในปัจจุบัน โดยเฉพาะในรูปแบบของ Call Auction ที่ใช้ในการกำหนดราคาหลักของตลาด

มาตรการกำกับการซื้อขายหลักทรัพย์ 3 ระดับ: เข้าใจบริบทก่อน “Auction” เข้ามาเสริมทัพ

เพื่อทำความเข้าใจถึงความสำคัญของ Auction ในบริบทปัจจุบัน คุณควรทำความเข้าใจมาตรการกำกับการซื้อขายหลักทรัพย์ 3 ระดับที่ ตลท. ใช้อยู่ในปัจจุบันให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น มาตรการเหล่านี้ถูกออกแบบมาเพื่อสร้างสมดุลระหว่างการส่งเสริมสภาพคล่องและการป้องกันการเก็งกำไรที่ผิดปกติ โดยมีหลักเกณฑ์การพิจารณาที่ละเอียดอ่อน และมีผลกระทบต่อนักลงทุนที่แตกต่างกัน

  • มาตรการระดับ 1: บัญชี Cash Balance 100%

    นี่คือด่านแรกของการควบคุม เมื่อหุ้นตัวใดเข้าข่ายที่มีการซื้อขาย “ผิดปกติ” ตามเกณฑ์ที่กำหนด (เช่น อัตราส่วนการหมุนเวียนหลักทรัพย์ (Turnover Ratio) สูงกว่าปกติ, มีราคาเปลี่ยนแปลงมากโดยไม่มีเหตุผลทางพื้นฐานที่ชัดเจน หรือมีข้อมูลข่าวสารที่อาจทำให้เกิดการเก็งกำไร) ตลท. จะกำหนดให้ต้องซื้อขายด้วยบัญชี Cash Balance 100% ซึ่งหมายถึงผู้ซื้อต้องมีเงินสดในบัญชีเท่ากับมูลค่าหุ้นที่ต้องการซื้อทันที ห้ามใช้บัญชีเครดิตหรือมาร์จิ้นเด็ดขาด

    ผลกระทบต่อนักลงทุน: ลดอำนาจซื้อเก็งกำไรลงอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้สภาพคล่องโดยรวมของหุ้นลดลง แต่ก็ช่วยให้นักลงทุนระมัดระวังมากขึ้นในการตัดสินใจลงทุน

  • มาตรการระดับ 2: ห้าม Net Settlement เพิ่มเติม และยังคง Cash Balance 100%

    หากหุ้นยังคงแสดงพฤติกรรมผิดปกติอย่างต่อเนื่องหลังจากถูกควบคุมด้วยระดับ 1 ตลท. จะยกระดับเป็นระดับ 2 ซึ่งเพิ่มข้อจำกัดเข้าไปอีก การห้าม Net Settlement หมายความว่า ไม่สามารถนำยอดซื้อและยอดขายในวันเดียวกันมาหักลบกันได้ (เช่น ซื้อตอนเช้า 1,000 หุ้น แล้วขายตอนบ่าย 1,000 หุ้น ปกติจะจ่ายแค่ส่วนต่างถ้ามี แต่ตอนนี้ต้องชำระเต็มจำนวนทั้งซื้อและขาย) ซึ่งบังคับให้นักลงทุนต้องมีวินัยทางการเงินมากขึ้นในการบริหารกระแสเงินสด

    ผลกระทบต่อนักลงทุน: ยิ่งลดความคล่องตัวในการซื้อขายระยะสั้น (Day Trade) หรือการเก็งกำไรแบบเร็ว ทำให้การหมุนเวียนของหุ้นยากขึ้นและเพิ่มความเสี่ยงทางการเงินจากการต้องเตรียมเงินสดสำหรับทุกธุรกรรม

  • มาตรการระดับ 3: ขึ้นเครื่องหมาย P (Precautionary) ห้ามซื้อขาย 1 วันทำการ และยังคงมาตรการเดิม

    นี่คือระดับสูงสุดที่ใช้กับหุ้นที่มีความผิดปกติรุนแรงถึงขั้นอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อภาพรวมของตลาด ตลท. จะประกาศขึ้นเครื่องหมาย P และสั่งห้ามซื้อขายหุ้นตัวนั้นเป็นเวลา 1 วันทำการเต็ม ๆ เพื่อให้นักลงทุนมีเวลา “หยุดคิด” และตรวจสอบข้อมูลอย่างละเอียด

    ผลกระทบต่อนักลงทุน: เป็นการบังคับให้หยุดชะงักการซื้อขายชั่วคราว ทำให้การเก็งกำไรไม่สามารถดำเนินต่อไปได้ และเป็นการส่งสัญญาณเตือนอย่างชัดเจนถึงความเสี่ยงที่แฝงอยู่

มาตรการ รายละเอียด ผลกระทบต่อนักลงทุน
ระดับ 1 บัญชี Cash Balance 100% ลดอำนาจซื้อเก็งกำไร และลดสภาพคล่อง
ระดับ 2 ห้าม Net Settlement ลดความคล่องตัวในการซื้อขายระยะสั้น
ระดับ 3 ขึ้นเครื่องหมาย P หยุดการซื้อขายชั่วคราว

คุณจะเห็นได้ว่า มาตรการทั้ง 3 ระดับนี้มีจุดประสงค์เพื่อลดการเก็งกำไรและเพิ่มความระมัดระวัง อย่างไรก็ตาม การทำงานของระบบ AOM (Automatic Order Matching) ที่จับคู่คำสั่งซื้อขายทันที อาจทำให้เกิดการ “สปอตไลต์” ราคาอย่างรวดเร็วได้ในบางช่วงเวลา โดยเฉพาะช่วงก่อนเปิด-ปิดตลาด หรือเมื่อมีข่าวสารสำคัญเข้ามาอย่างกะทันหัน ซึ่งเป็นที่มาของความจำเป็นที่ Auction จะเข้ามาเป็นอีกหนึ่งกลไกสำคัญในการควบคุม เพื่อลดช่องว่างและเพิ่มความต่อเนื่องของราคาให้สะท้อนความเป็นจริงมากที่สุด

ผลกระทบและโอกาสสำหรับนักลงทุน: ปรับกลยุทธ์อย่างไรในยุค “Auction”?

การนำมาตรการ Auction มาใช้ย่อมส่งผลกระทบโดยตรงต่อกลยุทธ์การลงทุนของนักลงทุนทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เน้นการเทรดระยะสั้นหรือการเก็งกำไร เรามาดูกันว่าผลกระทบเหล่านี้มีอะไรบ้าง และคุณจะสามารถปรับตัวเพื่อรับมือกับมันได้อย่างไร

ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น:

  • ลดโอกาสการเก็งกำไรระยะสั้น: สำหรับนักลงทุนที่เคยอาศัยจังหวะการเคลื่อนไหวของราคาในเสี้ยววินาทีเพื่อทำกำไร การที่ระบบเปลี่ยนจากการจับคู่อัตโนมัติเป็นการประมูลเป็นรอบ จะทำให้การทำกำไรจากความผันผวนระยะสั้นทำได้ยากขึ้น หรือแม้กระทั่งเป็นไปไม่ได้ในบางช่วงเวลา

  • สภาพคล่องในบางช่วงเวลาอาจลดลง: ในช่วงการประมูล (Pre-open, Pre-close) คำสั่งซื้อขายจะถูกรวบรวมไว้ก่อนที่จะจับคู่พร้อมกันทั้งหมด ซึ่งอาจทำให้ดูเหมือนว่าสภาพคล่อง “หายไปชั่วคราว” ในช่วงเวลานั้น อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการจับคู่แล้ว สภาพคล่องจะกลับมา

  • ความสำคัญของการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานเพิ่มขึ้น: เมื่อการเก็งกำไรยากขึ้น นักลงทุนจะถูกผลักดันให้ต้องพิจารณาปัจจัยพื้นฐานของบริษัทมากขึ้น การตัดสินใจลงทุนจะมาจากข้อมูลที่รอบด้านและมีเหตุผล มากกว่าแค่การตามกระแสราคา

  • ความแม่นยำในการวางแผนคำสั่งซื้อขาย: คุณจะต้องวางแผนคำสั่งซื้อขายอย่างรอบคอบมากขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องของราคา เพราะในการประมูลแบบ Call Auction ราคาที่จับคู่ได้อาจไม่ใช่ราคาที่คุณตั้งไว้เป๊ะ ๆ หากไม่ใช่ราคาที่ดีที่สุดที่ระบบคำนวณได้

โอกาสที่คุณจะได้รับ:

  • ตลาดมีเสถียรภาพและโปร่งใสมากขึ้น: การลดความผันผวนจากหุ้นร้อนแรงจะช่วยสร้างบรรยากาศการลงทุนที่ดีขึ้น ทำให้ตลาดโดยรวมมีความน่าเชื่อถือและดึงดูดนักลงทุนระยะยาวมากขึ้น

  • มีเวลาตัดสินใจมากขึ้น: กลไก Auction โดยเฉพาะช่วง Pre-open และ Pre-close จะให้เวลาคุณในการพิจารณาคำสั่งและข้อมูลก่อนการจับคู่จริง ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับนักลงทุนที่ต้องการความรอบคอบ

  • ลดความเสี่ยงจากการถูก “ปั่นราคา”: การที่ราคาถูกกำหนดโดยการรวบรวมคำสั่งทั้งหมด ณ จุดเวลาหนึ่ง จะช่วยลดอิทธิพลของนักลงทุนรายใหญ่ที่พยายามสร้างราคาเทียม ทำให้ราคาที่เกิดขึ้นสะท้อนอุปสงค์และอุปทานที่แท้จริง

  • โอกาสในการกระจายความเสี่ยง: การปรับตัวของตลาดอาจทำให้คุณพิจารณาการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทอื่น ๆ ที่มีกลไกและโอกาสแตกต่างกันไป นอกจากการปรับตัวในตลาดหุ้นไทยแล้ว คุณอาจมองหาโอกาสในการกระจายความเสี่ยงไปยังสินทรัพย์ประเภทอื่น ๆ เช่น ตลาดฟอเร็กซ์ หรือ CFD ซึ่งต้องการแพลตฟอร์มที่มีประสิทธิภาพสูง หากคุณกำลังพิจารณาเริ่มต้นการเทรดฟอเร็กซ์หรือสำรวจผลิตภัณฑ์ CFD เพิ่มเติม Moneta Markets เป็นแพลตฟอร์มที่น่าสนใจจากออสเตรเลีย ซึ่งนำเสนอผลิตภัณฑ์ทางการเงินกว่า 1,000 ชนิด ครอบคลุมความต้องการของทั้งนักลงทุนมือใหม่และมืออาชีพ

เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงนี้ สิ่งสำคัญคือการเรียนรู้และทำความเข้าใจกลไกใหม่ ๆ อย่างถ่องแท้ และปรับกลยุทธ์การลงทุนให้สอดคล้องกับสภาพตลาดที่เปลี่ยนไป การมีข้อมูลที่เพียงพอและการวิเคราะห์ที่แม่นยำจะเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในยุค Auction

มุมมองผู้บริหารและนักวิเคราะห์: เสียงสะท้อนจากผู้เชี่ยวชาญต่อมาตรการ “Auction”

เพื่อให้คุณมองเห็นภาพที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น เรามาฟังมุมมองจากผู้ที่อยู่ในแวดวงตลาดทุนโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นผู้บริหารระดับสูงของตลาดหลักทรัพย์ฯ หรือนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ผู้คร่ำหวอดในวงการ ซึ่งล้วนมีข้อคิดเห็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับมาตรการ Auction นี้

คุณรองรักษ์ พนาปวุฒิกุล รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานกฎหมายและกำกับธุรกิจ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้เคยให้ความเห็นเกี่ยวกับแนวคิดการนำ Auction มาใช้ โดยเน้นย้ำถึงวัตถุประสงค์หลักว่า “เป็นการแก้ไขปัญหาหุ้นร้อนแรงและลดปริมาณการหมุนเวียนของหุ้น” ท่านยังได้อธิบายว่า การประมูลจะช่วย “ตัดอำนาจการสร้างราคาที่ผิดปกติ” ในขณะเดียวกันก็ยัง “เปิดโอกาสให้นักลงทุนสามารถซื้อขายได้ แต่มีเวลาในการตัดสินใจมากขึ้น” ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายของ ตลท. ในการสร้างตลาดที่มีคุณภาพและโปร่งใสยิ่งขึ้น

ทางด้านนักวิเคราะห์เองก็มองเห็นถึงประโยชน์ของมาตรการนี้เช่นกัน คุณกิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการอาวุโสและผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี (ประเทศไทย) ได้ให้มุมมองผ่านทาง ไทยรัฐมันนี่ ว่า “Auction” จะเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการ “ควบคุมความร้อนแรงและเพิ่มความต่อเนื่องของราคาในตลาด” โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับหุ้นที่มีมูลค่าการซื้อขายหมุนเวียนสูงเกินกว่าปัจจัยพื้นฐานที่แท้จริง พร้อมระบุว่า การประมูลนี้จะถูกนำมาใช้เมื่อมาตรการระดับ 1 และ 2 (Cash Balance และห้าม Net Settlement) ไม่สามารถควบคุมพฤติกรรมของหุ้นได้

ความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้ช่วยยืนยันว่า Auction ไม่ใช่มาตรการที่ใช้สุ่มสี่สุ่มห้า แต่เป็นเครื่องมือที่ผ่านการพิจารณามาอย่างรอบคอบ โดยมีเป้าหมายที่ชัดเจนในการ:

  • จำกัดปริมาณการหมุนเวียนของหุ้นที่ผิดปกติ: ลดการซื้อขายที่ไม่ใช่จากพื้นฐานที่แท้จริง
  • ยับยั้งการสร้างราคา: ป้องกันการปั่นราคาโดยกลุ่มบุคคลหรือนักลงทุนรายใหญ่
  • เสริมสร้างความยุติธรรมและโปร่งใส: ทำให้ราคาที่เกิดขึ้นสะท้อนอุปสงค์และอุปทานที่แท้จริงมากขึ้น

และสิ่งที่สำคัญคือ มาตรการนี้จะมีการหารือกับสมาชิกและเปิดรับฟังความคิดเห็นจากสาธารณะก่อนนำมาใช้จริง ซึ่งคาดว่าจะเห็นผลในครึ่งปีหลัง การเตรียมความพร้อมและทำความเข้าใจจากมุมมองของผู้เกี่ยวข้องจึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับนักลงทุนอย่างเรา

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ “Auction” และ Call Auction: ไขข้อข้องใจที่คุณควรรู้

เพื่อช่วยให้คุณเข้าใจกลไก Auction และ Call Auction ได้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น เราได้รวบรวมคำถามที่พบบ่อย พร้อมคำตอบที่กระชับและชัดเจน มาดูกันว่ามีอะไรบ้างที่คุณควรรู้เพิ่มเติม

Q1: มาตรการ Auction จะใช้กับหุ้นทุกตัวในตลาดเลยหรือไม่?

A1: โดยหลักการแล้ว มาตรการ Auction จะไม่ได้ถูกใช้กับหุ้นทุกตัว แต่จะถูกนำมาใช้กับหุ้นที่มีพฤติกรรมการซื้อขายที่ผิดปกติอย่างรุนแรง หรือหุ้นที่เข้าข่าย “หุ้นร้อน” ซึ่งมาตรการกำกับดูแลเดิม 3 ระดับ (Cash Balance, ห้าม Net Settlement, P Mark) ไม่สามารถควบคุมความผันผวนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Q2: ถ้าหุ้นถูกเข้าสู่มาตรการ Auction ฉันยังสามารถซื้อขายได้อยู่ไหม?

A2: คุณยังสามารถส่งคำสั่งซื้อขายได้ตามปกติ แต่กลไกการจับคู่จะเปลี่ยนไปเป็นการประมูลเป็นรอบ ๆ (Call Auction) แทนการจับคู่ทันที (AOM) ทำให้การซื้อขายในแต่ละวันถูกจำกัดอยู่ในช่วงเวลาประมูลหลัก 3 รอบ (เปิดตลาดเช้า, เปิดตลาดบ่าย, ปิดตลาด) และคุณจะมีเวลาในการตัดสินใจนานขึ้นก่อนการจับคู่จริง

Q3: “Call Auction” แตกต่างจาก “Automatic Order Matching (AOM)” อย่างไร?

A3:

  • AOM: เป็นระบบที่จับคู่คำสั่งซื้อและขายโดยอัตโนมัติและทันทีเมื่อมีคำสั่งที่ราคาและปริมาณตรงกันเข้ามาในระบบ
  • Call Auction: เป็นระบบที่รวบรวมคำสั่งซื้อและขายทั้งหมดในช่วงเวลาที่กำหนด (เช่น ช่วง Pre-open หรือ Pre-close) จากนั้นจึงนำคำสั่งทั้งหมดมาประมวลผลพร้อมกัน เพื่อหา “ราคาเดียว” ที่สร้างปริมาณการซื้อขายสูงสุดและมีความสมดุลที่สุดในการจับคู่ ทำให้เกิดราคาที่ยุติธรรมและโปร่งใสมากขึ้น

Q4: การนำ Auction มาใช้จะช่วยลดความผันผวนของราคาหุ้นได้อย่างไร?

A4: การประมูลเป็นรอบและใช้กลไก Call Auction จะช่วยลดความสามารถในการ “ปั่นราคา” หรือ “สร้างราคาเทียม” ในเวลาอันสั้น เพราะทุกคำสั่งจะถูกรวบรวมและประมวลผลพร้อมกัน แทนที่จะเป็นการจับคู่ทันทีที่อาจถูกใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างราคาที่ผิดปกติได้ นอกจากนี้ยังช่วยให้นักลงทุนมีเวลาในการตัดสินใจ ไม่ต้องรีบตามกระแส ทำให้การตัดสินใจเป็นไปอย่างมีเหตุผลมากขึ้น

Q5: “กฎเสียงข้างมาก” ใน Call Auction คืออะไร?

A5: หากมีหลายราคาที่สามารถทำให้เกิดปริมาณการซื้อขายสูงสุดเท่ากันในระบบ Call Auction ระบบจะเลือกราคาที่ “ใกล้เคียงกับราคาปิดของวันทำการก่อนหน้ามากที่สุด” (สำหรับราคาเปิด) หรือ “ใกล้เคียงกับราคาอ้างอิงของวันนั้นมากที่สุด” (สำหรับราคาปิด) เพื่อให้ราคาที่ได้ไม่โดดห่างจากราคาเดิมมากเกินไป และสะท้อนฉันทามติของตลาดส่วนใหญ่

Q6: มาตรการ Auction จะส่งผลต่อการวิเคราะห์ทางเทคนิคของนักลงทุนอย่างไร?

A6: การนำ Auction มาใช้ อาจทำให้การวิเคราะห์ทางเทคนิคบางรูปแบบที่เน้นการเคลื่อนไหวของราคาแบบเรียลไทม์หรือ Time & Sales (โปรแกรมแสดงข้อมูลการซื้อขายแบบละเอียด) มีความท้าทายมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงเวลาประมูล อย่างไรก็ตาม การวิเคราะห์รูปแบบกราฟใหญ่ ๆ หรือแนวโน้มระยะกลางถึงยาว จะยังคงมีความสำคัญ และนักลงทุนอาจต้องให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานประกอบการตัดสินใจมากขึ้น

การเข้าใจคำตอบเหล่านี้จะช่วยให้คุณเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงและปรับกลยุทธ์การลงทุนให้เหมาะสมกับยุคใหม่ของตลาดหุ้นไทยได้อย่างมั่นใจ

สรุปและก้าวต่อไป: “Auction” กับอนาคตที่มั่นคงของตลาดหุ้นไทย

ในท้ายที่สุดแล้ว มาตรการ Auction ที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยกำลังจะนำมาใช้นับเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการพัฒนาตลาดหุ้นไทยให้มีเสถียรภาพ โปร่งใส และน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้มุ่งเพียงแค่การควบคุม “หุ้นร้อน” หรือลดความผันผวนเท่านั้น แต่ยังเป็นการยกระดับคุณภาพของตลาดในระยะยาว เพื่อให้นักลงทุนทุกคนสามารถซื้อขายได้อย่างมั่นใจ และได้รับข้อมูลที่สะท้อนความเป็นจริงมากที่สุด

คุณและเราในฐานะนักลงทุน อาจต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจและปรับตัวเข้ากับกลไกใหม่นี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่คุ้นเคยกับการซื้อขายแบบ AOM ตลอดเวลา แต่ด้วยวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนในการเพิ่มเวลาตัดสินใจ ลดความเสี่ยงจากการสร้างราคาที่ผิดปกติ และสร้างความยุติธรรม การทำความเข้าใจและเรียนรู้กลไก Auction และ Call Auction จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในปัจจุบัน เพื่อให้คุณสามารถใช้ประโยชน์จากมันได้อย่างเต็มที่

อนาคตของตลาดหุ้นไทยภายใต้กลไก Auction จะเป็นอย่างไรนั้น ยังคงเป็นสิ่งที่ต้องติดตาม แต่สิ่งหนึ่งที่แน่นอนคือ ตลาดจะมุ่งสู่ความมีประสิทธิภาพและความน่าเชื่อถือที่สูงขึ้น การเตรียมความพร้อมด้วยความรู้ความเข้าใจที่ลึกซึ้ง การปรับกลยุทธ์การลงทุนให้ยืดหยุ่น และการให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน จะเป็นกุญแจสำคัญที่จะนำพาคุณไปสู่ความสำเร็จในการลงทุนในยุคที่ตลาดมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ

ไม่ว่าคุณจะเลือกเส้นทางการลงทุนในตลาดหุ้นไทย หรือมองหาโอกาสในตลาดอื่นๆ เช่น ตลาดฟอเร็กซ์ หรือ CFD การเลือกแพลตฟอร์มการเทรดที่เหมาะสมและน่าเชื่อถือเป็นสิ่งสำคัญ หากคุณกำลังมองหาโบรกเกอร์ฟอเร็กซ์ที่มีการกำกับดูแลและสามารถเทรดได้ทั่วโลก Moneta Markets ซึ่งได้รับการรับรองจาก FSCA, ASIC, FSA และมีบริการดูแลลูกค้าตลอด 24/7 รวมถึงการจัดเก็บเงินทุนในรูปแบบ Trust Account จะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับคุณ ให้คุณมั่นใจได้ว่าการลงทุนของคุณจะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับauction คือ

Q:มาตรการ Auction จะใช้กับหุ้นทุกตัวในตลาดเลยหรือไม่?

A:มาตรการ Auction จะไม่ได้ถูกใช้กับหุ้นทุกตัว แต่จะถูกนำมาใช้กับหุ้นที่มีพฤติกรรมการซื้อขายที่ผิดปกติอย่างรุนแรง

Q:ถ้าหุ้นถูกเข้าสู่มาตรการ Auction ฉันยังสามารถซื้อขายได้อยู่ไหม?

A:คุณยังสามารถส่งคำสั่งซื้อขายได้ตามปกติ แต่กลไกการจับคู่จะเปลี่ยนไปเป็นการประมูลเป็นรอบ

Q:การนำ Auction มาใช้จะช่วยลดความผันผวนของราคาหุ้นได้อย่างไร?

A:การประมูลจะช่วยลดความสามารถในการ “ปั่นราคา” หรือ “สร้างราคาเทียม” ในเวลาอันสั้น

發佈留言